ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -อ่วมอรทัยทันทีที่ประเด็น “ซื้อขายตำแหน่งตำรวจ” ถูกโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต โดนทั้งทหารตำรวจไล่บี้จ้าละหวั่นโดนพุ่งเป้าข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ซึ่งล่าสุดตำรวจเตรียมการออกหมายเรียกในฐานความผิด มาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ทั้งยังถูกเชื่อมโยงขยายผลกรณี พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป สมาชิก สปท. ที่เคยโพสต์ข้อความลักษณะเดียวกัน ขณะที่ บิ๊กป้อม - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถึงกับออกปากท้าชน เพราะเกรงว่าข้อเท็จจริงที่ไร้การพิสูจน์ของ ดร.อาทิตย์ โพสต์เข้าสู่โซเชียลมีเดียจะไปสร้างความกินแหนงแคลงใจแก่ประชาชน
อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่า ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ นั้นได้รับการขนานนามว่า “วีรบุรุษประชาธิปไตย” จากช่วงเหตุการณ์ความรุนแรง พฤษภาทมิฬ 2535 ขณะเป็นประธานรัฐสภาและตัดสินใจเปลี่ยนชื่อนายกรัฐมนตรีกลางอากาศ โดยเสนอชื่อ นายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นทูลเกล้าฯ กระทั่ง ยับยั้งความพังพินาศของบ้านเมืองในครั้งนั้นได้สำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เปิดเผยใน “แกะดำโลกสวย” หนังสืออัตชีวประวัติและยุทธศาสตร์จัดการความล้มเหลวผ่านประสบการณ์จริง
ดังนั้น การออกมา “สาดแสง” แสดงความคิดเห็น “ชนบิ๊กบราเธอร์” ครั้งนี้ จึงไม่ธรรมดา
และ “ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์” จะมาประกาศเจตนารมณ์ของโพสต์ต้นเหตุเรื่องการซื้อขายตำแหน่งตำรวจที่สร้างความขุ่นข้องหมองใจแก่คนระดับบิ๊ก และมองการเมืองผ่านสายตาแกะดำโลกสวยผ่านบทสัมภาษณ์แบบลึกสุดใจ ชนิดที่ต้องใช้คำว่า EXCLUSIVE INTERVIEW กันเลยทีเดียว
ข้อเท็จจริงประเด็นซื้อขายตำแหน่งตำรวจที่ ดร. อาทิตย์โพสต์ในเฟซบุ๊กมีที่มาที่ไปอย่างไร
ผมพูดด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ได้เป็นศัตรูกับท่าน ผมหวังดี อยากจะแนะอยากจะบอกด้วยซ้ำว่าตรงนี้มันมีปัญหานะ เขาก็ควรจะหาทางแก้ และมันก็มีทางแก้ถ้าเกิดทำให้ถูก ผม ไม่ได้คิดว่าเขาจะคิดว่าผมเป็นศัตรูกับเขาทำลายเขา ไม่ใช่! ผมไม่ได้อะไรจากตรงนี้เลย
คือคนบ่นมาเยอะครับ ครอบครัวตำรวจนั่นแหละ ทั้งตำรวจ ทั้งที่สมหวังไม่สมหวัง ทั้งครอบครัวตำรวจที่เขาก็เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่พอสมควร เขาก็บอกสงสารสามีเป็นคนดีแต่โดนคนข้ามหน้าไปหมด เพราะเราเป็นตำรวจดีแต่ไม่มีเงินลักษณะนี้ ก็บ่นมาเยอะแยะ ผมก็เป็นห่วงว่า เอ๊ะ! เขามองไม่เห็นหรืออย่างไร เป็นที่รู้กันทั่วไป เราก็อยากจะเห็นรัฐบาลนี้ทำสำเร็จ ผมก็เอาใจช่วยเขา อยากจะบอกว่าให้ทำอย่างไร อย่างเรื่องต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น เช่น เหมืองทองคำ ก็น่าจะใช้มาตรา 44 ได้เลย แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับประชาชนกับประเทศชาติ ก็อยากจะเอาใจช่วยเขาทุกเรื่องนะครับเท่าที่เราคิดออก
วงการตำรวจเขาก็อัดอั้นตันใจ ตำรวจฆ่าตัวตายกันเยอะแยะ เพราะอะไรกันบ้าง สายสอบสวน สายปราบปราม สายที่ไม่ได้ขึ้น คนที่ได้ขึ้นก็เป็นพวกที่เข้าถึง พวกที่ไม่ได้เติบโตเป็นพวกที่เข้าไม่ถึง อะไรทำนองนี้ ปัญหาโดยทั่วไปครับ ผมไม่รู้ในรายละเอียดหรอก แต่ว่าเสียงมันมามันก็เป็นที่รู้กันว่าตำรวจเองก็งานหนัก เขาควรทำงานด้วยอย่างมีเกียรติมีศรีมีสวัสดิการที่ดี มีเครื่องไม้เครื่องมือมีประสิทธิภาพที่ดี มันถึงจะเป็นที่พึงของประชาชนได้ ถ้าเกิดเขาเองเขาเดือดร้อนไปหาเงินไปรีดไถ่จากประชาชนจากสิ่งผิดกฎหมายมันก็ไปอุ้มชูสิ่งผิดกฎหมายทำให้ตำรวจไม่เป็นที่พึงของประชาชน
ในอดีต ดร.อาทิตย์เข้าไปมีบทบาทสำคัญทางการเมือง แม้สอบตกอยู่หลายครั้งแต่ทุ่มเทสุดตัวเสมอ
อุบัติเหตุครับ ไม่ได้ตั้งใจ และไม่ได้เป็นแผน ต้องเล่าตอนนั้นคือเพิ่งเรียนหนังสือจบกลับมาจากต่างประเทศ ก็ต้องมาทำงานชดใช้ทุน ยังชดใช้ทุนไม่ครบเลย ผมไป 6 ปี ผมต้องกลับมาใช้ทุน 12 ปี นะครับ ผมทำได้ 8 ปีมั้งตอนนั้น พอปี 2518 มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเกิดขึ้น เขาก็พยายามให้ลงสมัครแต่ผมก็ยืนยันปฏิเสธไม่ลง สุดท้ายก็ตกกระไดพลอยโจนวันที่ไปสมัครวันสุดท้าย ในนามพรรคพลังใหม่ ก็เลยลงการเมือง และก็กลับมาอีกที คุณประมาณ อดิเรกสาร ท่านก็ตั้งสำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติก็ให้ผมไปเป็นรองเลขาธิการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ก็รอว่าท่าน ดร.พร้อม พานิชภักดิ์ จะเกษียณอายุในเดือนกันยายนปีนั้น ก็ไม่ได้อยู่นาน
คืออย่างนี้ครับ สื่อมวลชนบอกว่า ผมไม่มีอุดมการณ์ โลเล ชักเข้าชักออก เดี๋ยวก็เข้าเดี๋ยวก็ออก ผมก็เลยออกเลย แล้วก็มีการเลือกตั้งปี 2519 ส.ส. กรุงเทพมหานคร ผมก็ลงทีมพลังใหม่ลงสมัครอีก กับ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช (ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะนั้น) คือทุกครั้งมันไม่ได้มีแผนว่าทำอย่างโน้นอย่างนี้ ฉุดกระชากลากถูไป แล้วก็ไปทำทุกครั้ง แต่ทำแล้วมันก็ต้องทำให้เต็มที่ ทำสิ่งที่คิดว่ามันจะทำให้เป็นประโยชน์ที่สุดนะครับ ฉะนั้น มันถึงเรียกว่าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และผมลงเลือกตั้งต้องเรียกว่าสอบตกทั้ง 3 ครั้ง ไม่ใช่ว่าลงแล้วจะต้องพร้อม มีเงิน มีอำนาจ ก็ว่ากันไปซื่อๆ เนี้ยแหละครับ ไปปราศรัย ไม่ได้ก็ไม่ได้ ให้คนอื่นเขาได้ก่อนก็ดี เป็นแบบนั้นแหละครับ
เหตุผลที่ ดร.อาทิตย์ตัดสินใจประกาศวางมือทางการเมือง
จริงๆ แล้วควรจะวางมือตั้งแต่เสนอชื่อตั้ง คุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วนะครับ (เหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ 2535 : ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้น พล.อ.สุจินดา คราประยูร ประกาศลาออก ฝ่ายพรรคร่วมเสียงข้างมากสนับสนุน พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ หัวหน้าพรรคชาติไทย เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ ดร.อาทิตย์ ตัดสินใจเสนอชื่อ อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกฯ จนได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญจากสื่อมวลชนและประชาชนว่าเป็น วีรบุรุษประชาธิปไตย) คือตรงนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่พร้อมที่จะร่วมมือกับพรรคการเมืองใดอีกแล้ว เพราะมันก็เปลี่ยนมาหลายพรรคแล้ว แต่การร่วมแต่ละพรรคมันไม่ได้เพราะเหตุผลที่ทราบๆ กันอยู่ ผมลงการเมืองด้วยเหตุผลในแนวทางที่หวังว่าจะได้เล่นการเมืองแบบดีๆ แต่มันก็ไม่เจอเสียที จนถึงกระทั่งวันที่จะเลิก แต่เมื่อพี่น้องทางแปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา เขาบอกไม่ให้เลิกไม่สนใจพรรคการเมืองก็อยู่ต่อต้องตั้งพรรคใหม่ ก็ตั้งพรรคเสรีธรรม ทีนี้ มาถึงตรงช่วงนั้นหลังจากอยู่พรรคประชาธิปัตย์ จนกระทั่งรู้สึกว่าเวลาก็ผ่านไปเยอะแล้ว ผมลงเสนอตัวเป็นหัวหน้าพรรคฯ เราก็ซื่อๆ ไม่ได้คิดอะไร ผมไม่ต้องการเล่นการเมืองกับใครไม่ได้อะไรกับใคร อยู่ที่ไหนก็เป็นพวกได้ทุกคนนะครับ และชีวิตในการเมืองก็ไม่ค่อยเป็นประโยชน์เท่าไหร่ หมายความว่ามันเสียเวลาเยอะ เล่นการเมืองที่ไม่ค่อยมีสาระเยอะ ฉะนั้น ผมก็มาหาอะไรทำที่มันเป็นประโยชน์มากกว่าดีกว่า
ดร.อาทิตย์เคยรับราชการในสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) พิจารณาดูแล้วระบบราชการไทยยังย่ำอยู่กับที่หรือเปล่า
ไม่ค่อยดีขึ้นครับ ผมว่าเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ค่อยเป็นประโยชน์ ที่พูดๆ กันมา ไม่รู้พูดอะไรเยอะ แต่มันไม่เป็นสาระ เป็นขั้นตอน มันเป็นระเบียบวิธีการ พูดมาพูดไปไม่รู้จะเอายังไง ต้องฟันฉับออกมาว่าอยากเห็นเป็นอย่างไร ด้วยการตัดสินใจ ด้วยเหตุด้วยผล อยากเห็นอย่างนั้น
เกิดการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลหลายยุคหลายสมัย ณ วันนี้มองการเมืองของประเทศไทยอย่างไร
การเมืองช่วงนั้นดี ดีกว่าช่วงนี้นะ คือช่วงตอนแรกที่ผมลงเลือกตั้งไม่มีเรื่องซื้อเสียงบริสุทธิ์เลย ประชาชนเหมือนกับเราได้ใจประชาชน เขาเลื่อมใสเรา เขาก็เลือกเรานะครับ แต่มันก็มีเล่ห์เหลี่ยมมีอะไรทางเกมการเมืองที่ทำให้เราแพ้นะครับ เราก็ไม่ค่อยเป็น ทีนี้ พอมาเป็นการเมืองจริงๆ แล้ว มันไม่ค่อยได้ทำงานที่เป็นเนื้อหาสาระมากเท่าไหร่ มันเล่นการเมืองกันมากกว่า เดี๋ยวนี้ยิ่งแย่กว่านั้นเยอะ พูดอะไรที่มันตอแหล พูดไม่จริง ดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ พวกใครพวกมัน ช่วงหลังมันโกงกิน คอร์รัปชั่นทั้งนั้นเลยนะ ยุคหลังๆ ยิ่งยุคทักษิณ ชินวัตร ชัดเลย หรือก่อนยุคคลองด่านเนี่ยก็เหมือนกัน ยุคคลองด่านนี่ชัดเจน มันมีแต่พวกนี้ น่าเบื่อ!
อย่างตอนเข้าพรรคพลังใหม่ ผู้คนมันคิดเหมือนกันหมด มันพูดกันด้วยเหตุด้วยผลแบบแนวใหม่ ผู้คนดีๆ ทั้งนั้นที่เข้าไปร่วม คนที่มีอุดมการณ์ทั้งนั้น ตอนนั้นน่ะชอบมาก คือผมต้องการทำงานไง มันมีความรู้สึกกว่าการเมืองมันต้องทำงานแต่ปรากฏว่ามันไม่ค่อยได้ทำเท่าไหร่ อย่างไปนั่งประชุมสภาฯ ก็ประชุมมันไม่เกิดเรื่องไม่เกิดผลประโยชน์ ประท้วงกันไปประท้วงกันมาแล้วเมื่อถึงเวลาเลิกดีกว่า
สถานการณ์บ้านเมืองในยุค คสช. เข้ามาปฏิรูปประเทศ
ตอนนี้มันเละมาพอสมควร ผมก็คาดหวังว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะได้ปฏิรูป สังคายนากันใหม่ เหมือนกับเป็นการปฏิวัติประเทศอีกสักครั้งหนึ่ง เพื่อที่ว่าเราประชาชนจะได้มีความสุข เป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าทุกทางอีกสักครั้งหนึ่ง แต่ว่ามาถึงก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เขามาเล่นกันแบบราชการ ยังยึดติดกันอยู่ พวกใครพวกมัน มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องอะไรแบบนี้ คืออยากเห็นความชัดเจน การปฏิรูปคืออะไรก็ต้องมาตีความกันก่อนใช่ไหมครับ เข้าใจตรงกันหรือเปล่าปฏิรูปคืออะไร ท่านนายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาก็บอกว่าปฏิรูปอยู่ ก็ต้องขอถามก่อนว่าปฏิรูปมันคืออะไร? ผมก็เลยไปถามอยู่เรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องตำรวจเนี่ย เขาก็ร้องเรียนกันมาเยอะนะครับเรื่องตำรวจ ครอบครัวตำรวจ อยากจะเห็นการสังคายนาบ้านเมืองกันอีกสักครั้งหนึ่งให้จริงจัง
ถือเสียว่า 70 - 80 ปี ตั้งแต่ปี 2475 ตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองมาทีหนึ่งแล้วมันก็น่าจะเป็นโอกาสมาถึงครั้งนี้แล้ว ยิ่งประเทศอื่นๆ เขาก้าวกันไปไกลเราก็น่าจะปรับปรุงปฏิรูปของเราให้ก้าวตามทันเขา เพื่อที่ว่าประเทศจะได้เจริญ ประชาชนจะได้อยู่ดีกินดี สู้เขาได้
สำหรับ คสช. เราเองต้องทำความเข้าใจว่า ทุกคนมันมีขีดจำกัดใช่ไหม? ไม่มีใครที่จะเพอร์เฟกต์ที่สุด ทหารเขาก็เข้ามาแก้สถานการณ์หนึ่ง แต่จะไปคาดหวังว่าเขาจะทำได้ทุกอย่างมันก็เกินไป ผมคิดว่ามันก็จะเป็นโอกาสให้ประชาชนเข้ามาร่วมกันทั้งหมด ประชาชนมีส่วนร่วมทำได้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องล้มล้างต่อต้านระบบอะไรนะครับ สมมติเป้าหมายของเราพูดเป็นระบอบเรียกว่า “สังคมนิยมธรรมาธิปไตยอันมีมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” คือไม่รังเกียจอะไรเลย ไม่ได้บอกเราเป็นสังคมนิยม ไม่ได้บอกเราต้องเป็นประชาธิปไตย เราต้องเป็น เพราะเรามีคนจนเยอะ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เยอะ เพราะฉะนั้นระบอบดูแลสังคมนิยมยังต้องมีอยู่ ทุนนิยมต้องมี แต่ต้องไม่มีเลยเถิดถึงขนาดผูกขาดมือใครยาวสาวได้สาวเอารวยก็รวยไปจนก็จนเลยอย่างนี้ไม่ใช่ ประชาธิปไตยไม่ได้หมายความว่าเสียงข้างมากแล้วก็ชนะไปเลยไม่ใช่ มันต้องมีธรรมมาธิปไตย ก็คืออะไรที่มันถูกต้องชอบธรรม มันก็ไม่ถึงกับต้องใช้เสียงโหวตเป็นเสียงชนะอย่างเดียว
และไม่ได้หมายความต้องยกเลิกกษัตริย์ ไม่ใช่ครับ! กษัตริย์ต้องมีเพราะว่าประเทศไทย วัฒนธรรมของเราต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องมีสิ่งที่เราเคารพบูชาเป็นหลัก ถ้าเกิดเป็นประชาธิปไตยทุกคนเท่าเทียมก็ได้ ลูบหัวกันได้หมดมันก็กลียุค บ้านเมืองแตกสาแหรกขาด ฉะนั้น มันต้องมีสิ่งเทิดทูนเคารพบูชา เพราะว่าวัฒนธรรมเราเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น เราไม่มีพระมหากษัตริย์ไม่ได้ เรามีมาตลอดชีพของประเทศไทย นี่คือเอกลักษณ์ของเรา ฉะนั้น ระบอบที่น่าจะเหมาะสมที่สุดก็คือ สังคมนิยมธรรมาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่วนรายละเอียดก็ว่าไป ก็อยากจะเห็นการปฏิรูปประเทศที่มันเป็นแบบนั้น
แล้วการปฏิรูปในความหมายของ ดร.อาทิตย์มีนัยสำคัญอย่างไร
ผมว่าปฏิรูปเราก็ต้องตั้งเป้าหมายว่ามันมีปัญหาอะไรบ้าง สังคมมันเป็นอย่างไร ทั้งการเมือง การบริหารเศรษฐกิจ การเกษตร การศึกษา สาธารณสุข พลังงาน ฯลฯ มันควรจะเป็นอย่างไร เป็นอย่างนี้หรือไม่ ถ้าไม่ควรเป็นอย่างนี้แล้วเป็นอย่างไร นั้นแหละครับ ต้องปฏิรูปทั้งโครงการทั้งรูปแบบทั้งระบบทั้งอำนาจอะไรต่ออะไรเพื่อให้ดีที่สุด ไม่ใช่มาแย่งชิงกันให้เป็นของพวกนั้นพวกนี้อยู่ตลอดร่ำไป คืออกยากให้ไม่มี Hidden agenda ของใครอยากจะให้เป็นหลอมรวมความต้องการความคิดของประชาชนในฝันของเขาอยากให้เป็นอย่างไร เดือดร้อนอย่างไรก็ว่ามา การปฏิรูปครับ เปลี่ยนแปลงได้ทุกระบอบไม่ใช่เปลี่ยนแปลงแบบตัดแปะ คือมันเปลี่ยนได้หมดเลยทั้งโครงการ ตั้งแต่ส่วนกลางตัวระบบท้องถิ่น ตำบล อำเภอ เปลี่ยนได้หมด อะไรที่มันดีที่สุด ปรับปรุงให้มันดีทุกอย่างให้คนมีความสุขจริงๆ
รัฐบาลทหารบริหารประเทศซ้ำรอยเดิมหรือไม่
ผมว่าซ้ำรอยเดิมนะ ก็คือเขามุมมองไม่กว้างพอ ไม่เข้าใจพอ ที่จะปฏิรูปประเทศ และ อีกอย่างหนึ่งบางทีอาจจะไปยึดอยู่กับของเก่าๆ บางอย่างก็ได้ ผลประโยชน์บางอย่างก็เป็นไปได้ทำให้ใจไม่เปิด ดังนั้นต้องปลดปล่อยพันธนาการ ทำจิตว่าง และก็สร้างใหม่เลยได้
การที่ คสช. อยู่ยาวจะเกิดผลอย่างไรกับประเทศไทย
มันก็แล้วแต่นะครับ ถ้าบริหารที่ถูกทางมันก็ดี แต่ถ้าเผื่อท่านบริหารอย่างนี้ ท่านก็ติดยึด ท่านก็ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น อะไรก็ตามในหลักเกณฑ์ทั่วๆ ไป ก็ควรกำหนดระยะเวลา ไม่ควรจะนานเกินไป 2 ปี ผมว่าก็น่าจะพอแล้ว ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการก็ต้องเปลี่ยนแปลงให้แนวทางใหม่มา ท่านอาจจะต้องหารัฐบาลใหม่เข้ามา ท่านอาจจะบอกว่าท่านอยู่ 2 ปีแล้วท่านไม่สามารถปฏิรูปได้ ก็ต้องตั้งรัฐบาลใหม่มาปฏิรูป ไม่ต้องไปรอเลือกตั้งครับ เลือกตั้งมามันจะไม่ได้ตามนั้น ก็ลองดูสิว่าท่านจะคิดทำมันได้ไหม
และถ้าการปฏิรูปประเทศครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ
คสช. ควรจะตั้งใจที่จะทำ เอาใครมาทำก็แล้วแต่ที่ตัวเองคุมอยู่ แต่ว่าถ้าเกิดไม่ทำปล่อยให้เปลี่ยนผ่านไปเฉยๆ เหมือนกับทุกครั้ง คือมีเลือกตั้ง ทำมาทุกครั้ง ตั้งรัฐธรรมนูญ ประชามติหรือล้ม หรือเลือกตั้งออกมาอย่างเดิม ผมว่ามันก็ไม่ได้อะไร มันก็เละอย่างเดิม คราวนี้ผมว่ายิ่งกว่าเดิมอีก เพราะคราวนี้มันไม่มีแนวทางที่มันดีอยู่เลย มันไม่มีใครคิดนอกกรอบ คือคิดอยู่ในแนวทางที่คุ้นเคย ทหารก็คือข้าราชการ ข้าราชการก็คิดแบบนี้ ก็คือทำตามคำสั่ง มุ่งเพื่อที่จะได้ตำแหน่งใหญ่โตขึ้น ฉะนั้น เขาสั่งอะไรก็ทำ หรือว่ามีเล่ห์เหลี่ยมอย่างไรให้สูงขึ้นเขาก็ทำอย่างนั้น แต่ไม่ได้คิดว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้ประเทศมันเจริญขึ้น ตอนนี้ที่ทำกันอยู่ไม่ได้นึกถึงประชาชนเลย ผมมองอย่างนั้น
การปฏิรูปผมคาดหวังอยู่เรื่อยนะ แต่ว่ามันยังไม่เกิดเลย ถ้าเกิดมันไม่เริ่มจากรัฐบาลนี้ มองไม่เห็นรอยต่อข้างหน้าเลย ถ้าเกิดรัฐบาลนี้ล้มเหลวมองไม่เห็นข้างหน้าเลย ผมมองว่าความร่วมมือรัฐบาลต้องเริ่มทำในแนวทางที่ถูกต้อง คือต้องมีการปฏิรูปกล้าที่จะปฏิรูป ผมไม่เห็นเขากล้าเรื่องปฏิรูปเลย ทำมา 2 ปีก็ไม่เห็นความสำคัญตรงนี้เลยนะครับ สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) เดิมที่มีอยู่ยุบไปแล้ว เขาก็มีผลงานเยอะ แต่ก็ไม่เคยออกมาใช้มาตรา 44 ฟันให้มันเป็นอย่างนั้น บางเรื่องไม่ควรใช้มาตรา 44 ด้วยซ้ำ ก็ใช้เยอะเลย เช่น สั่งโยกย้ายมันไม่ต้องใช้หรอกครับ มันไม่ควรมันใช้อำนาจปกติก็ใช้ได้อำนาจการบริหารราชการแผ่นดินของนายกฯ ก็ใช้ได้ มันมีอยู่แล้ว ให้กล้าสิ เราไปเป็นศรีธนญชัยมากเกินไป มาตรา 44 ต้องใช้อย่างกล้าหาญสิ อย่างเช่น ปฏิรูปตำรวจ โครงสร้างต่างๆ ทำได้
คนไทยอยากเห็นการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ส่วนตัวผมคิดว่าอย่างนั้นนะ เพราะมันไม่มีโอกาสอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตคนรุ่นผม ไม่มีโอกาสอีกแล้วถ้าไม่ทำเดี๋ยวนี้ก็ไม่เห็นอีกแล้ว
ประเด็นเร่งด่วนที่ ดร.อาทิตย์อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง
อยากเห็นที่พูดๆ กันมาหมดทุก อย่างทางมหาวิทยาลัยรังสิต ก็ทำคู่ขนานมาเรื่อยนะครับเรื่องปฏิรูปประเทศไทย อย่างคุณสุริยะใส กตะศิลา เขาเป็นผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย แต่ผมคิดว่าก็ยังไม่พอและก็กำลังคิดว่าจะตั้งสมัชชาประชาชนปฏิรูประเทศไทย เชิญผู้ก่อตั้งกันมาแล้ว 60 - 70 คน ถือว่าเวทีนี่ต้องเป็นของประชาชนทั้งหมดไม่เห็นต้องไปกีดกันใครเลย ใครสนใจด้านไหน อยากจะปรับปรุงอะไรอย่างไร เข้ามาเลยนะครับ มาช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ดูเรื่องง่ายๆ เรื่องที่เราตกต่ำมากเรื่องการเกษตร เรื่องกล้วย เราตกต่ำมาก เราไม่เห็นความสำคัญเลย โอ้โห! มันเป็นเงินเป็นทองของชาวจีนเข้ามาหากินในเมืองไทย นี่แหละทุกอย่างต้องปฏิรูปให้หมด ทุกอย่างมันเป็นเงินเป็นทองได้
การศึกษาถือเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม
แน่นอนที่สุดครับ มันทุกอย่างมันควรจะปฏิรูปทั้งนั้นนะครับ มันมีจุดที่ผิดทิศผิดทางทั้งสิ้นเลย ทางราชการพยายามควบคุมให้มันเป็นตามกติกา ซึ่งบางทีกติกาไม่รู้ว่าเพื่ออะไร ไม่รู้ว่าวัตถุประสงค์ใดมันก็เลยทำให้ไม่ได้ อย่างที่เห็น อย่างกรณีเกิดเหตุ ดร. ยิ่งกันตาย ผมอยากจะฝากว่าบ้านเมืองของเราไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากมายอย่างนี้เลย ทั้งๆ ที่คนของเราก็มีสติปัญญา มีความสามารถ แต่ทำไมมันดูไม่ค่อยทะลุทะลวง ปลอดโปร่งมองเห็น มันติดยึดอะไรกันอยู่ ระยะสั้นๆ ระยะที่มองเห็นทำให้มีปัญหาเกิดขึ้นเยอะแยะ ซึ่งมันน่าจะไปได้ไกลกว่านี้ในทุกด้าน อาจจะเพราะเรามาแบ่งส่วนแยกแยะเฉพาะตัวเฉพาะหน้ามากไป การศึกษาก็แยกแยะมากมายจนกระทั่งไม่คิดในองค์รวมทำให้สังคมมีปัญหาพูดกันไม่เข้าใจ อยากจะเห็นมันดีกว่านี้มันเร็วกว่านี้มันไปกันได้ดีกว่านี้ครับ
สำหรับบทบาทผู้บริหารมหาวิทยาลัยเอกชนชั้นนำของประเทศไทยมีวิสัยทัศน์อย่างไร
มหาวิทยาลัยรังสิต เราเป็นสถาบันการศึกษาที่ต้องการสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ เราถือว่าเราต้องการสร้างคนที่มีสติปัญญาให้กับประเทศชาติเพื่อจะไปปฏิรูปประเทศ ให้ประเทศเป็นสังคมนิยมธรรมาธิปไตยอย่างที่ผมกล่าวไป ฉะนั้น มันต้องเชื่อมโยงกัน มหาวิทยาลัยมันต้องเชื่อมโยงกับเรื่องการเมืองไม่ใช่สอนหนังสือจบไปแล้วก็ไม่เกี่ยวกับอะไร เรื่องนี้มันจะต้องเป็นแหล่งหลอมรวมสร้างคนที่เข้มแข็งทุกด้านสำหรับประเทศชาติ
...อ่านและฟังความคิดของ ดร.อาทิตย์แล้ว หลายคนอาจวาดฝันไปว่า วีรบุรุษประชาธิปไตย ผู้นี้อาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยหลังจาก คสช.ถอยไปจากอำนาจแล้วก็ได้