นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นประธานรับฟังคำชี้แจงจาก นายสกล วรรณพงษ์ ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร อุปนายกสมาคมกีฬาเทนนิสลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จากกรณีที่นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา กรรมการอำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมฯ และนายภราดร ศรีชาพันธุ์ นักเทนนิสชื่อดัง ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบกระบวนการแต่งตั้งนายกสมาคม และคณะกรรมการอำนวยการสมาคมลอนเทนนิส สมาคมแห่งประเทศไทย
ภายหลังการประชุม นายรักษเกชา กล่าวว่า นายสกล ยืนยันว่าได้ดำเนินการชอบด้วยกฎหมายแล้ว ตามที่สมาคมฯ ยืนยันมา มีการรับรองประธานอย่างถูกต้อง สมาชิกภาพครบถ้วน ซึ่งได้รับการยืนยันจากคณะกรรมการสมาคมฯ ชุดเก่า ซึ่งผู้ตรวจการฯ ได้ซักถามว่า แม้จะมีการรับรองคุณสมบัติของสมาชิกที่เข้าประชุมว่าถูกต้อง แต่ถ้าต่อมาพบว่าขาดคุณสมบัติ จะทำให้การประชุมครั้งนั้นโมฆะหรือไม่ ซึ่งมีการกล่าวอ้างแนวทางปฏิบัติกรมการปกครองมหาดไทย เคยมีคำวินิจิฉัยลักษณะนี้ว่า ไม่ทำให้การประชุมเป็นโมฆะ แต่ผู้ตรวจการฯ ยังไม่ปักใจเชื่อ ต้องดูรายละเอียด
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พูดถึงการครบวาระของนายกสมาคมฯ ซึ่งหมดวาระในวันที่ 25 ม.ค.59 แต่กลับมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นก่อน คือในวันที่ 23 ม.ค.59 จึงมีประเด็นว่า สามารถประชุมเพื่อเลือกประธานได้ก่อนหรือไม่ อย่างไร
จากข้อบังคับสมาคมฯ ข้อที่ 35 ระบุว่า คณะกรรมการสมาคมฯ พ้นวาระก่อนถึงวาระการเลือกตั้งใหม่ โดยนายกสมาคมถึงแก่กรรม ลาออก แต่ข้อเท็จจริงนายกสมาคมยังไม่ถึงแก่กรรม และลาออก ซึ่งเป็นข้อมูลใหม่ที่จะมาพิจารณาโดยกกท.ก็บอกว่า สมาคมฯดำเนินการตามความต้องการของสมาคมทั้งสิ้น
"ผู้ตรวจการฯ ก็จะดูว่าการเรียกประชุมโดยผู้มีอำนาจได้ทำถูกต้องหรือไม่ เพราะจะมีผลต่อการดำรงตำแหน่งของนายกสมาคมคนใหม่ ซึ่งข้อบังคับข้อที่ 26 เขียนไว้ว่า กรรมการอำนวยการดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ได้รับเลือกตั้ง หรือแต่งตั้ง ดังนั้น ถ้าเลือกตั้งวันที่ 23 ม.ค. ก็จะมีผลในวันดังกล่าว ซึ่งวันนั้นนายกสมาคมคนเก่ายังไม่พ้นวาระ จะซ้ำซ้อนกัน กลายเป็นว่า มีนายกสมาคม 2 คนพร้อมกัน หรือไม่ เป็นประเด็นข้อกฎหมายที่จะพิจารณากันต่อไป รวมถึงการไปจดทะเบียน เพื่อให้เกิดผลสมบูรณ์ จะมีประเด็นว่าใครต้องไปจด ที่ผ่านมาคือ คนเก่าไปจด แต่ขณะนี้นายกสมาคมคนใหม่ จดทะเบียนเองตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค. ดังนั้นวันนี้เป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงให้ปรากฏ ผู้ตรวจการฯได้ขอความร่วมมือ กกท.ให้ชี้แจงข้อมูลในประเด็นที่กกท.ได้เคยวินิจฉัยไปแล้ว ซึ่งหลังรับข้อมูลใหม่แล้ว จะมีผลต่อคำวินิจฉัยที่เคยวินิจฉัยไว้แล้วหรือไม่ ก็ให้ชี้แจงมาอีกครั้ง โดยฝาก กกท.ให้เร่งส่งข้อมูล เชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นาน เพราะมีข้อมูลในมือแล้ว แต่อาจจะไปทบทวนอีกครั้ง และไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยหรือไม่ โดยผู้ตรวจการฯก็จะดูว่า กกท.ดำเนินการตามหน้าที่หรือไม่"
ภายหลังการประชุม นายรักษเกชา กล่าวว่า นายสกล ยืนยันว่าได้ดำเนินการชอบด้วยกฎหมายแล้ว ตามที่สมาคมฯ ยืนยันมา มีการรับรองประธานอย่างถูกต้อง สมาชิกภาพครบถ้วน ซึ่งได้รับการยืนยันจากคณะกรรมการสมาคมฯ ชุดเก่า ซึ่งผู้ตรวจการฯ ได้ซักถามว่า แม้จะมีการรับรองคุณสมบัติของสมาชิกที่เข้าประชุมว่าถูกต้อง แต่ถ้าต่อมาพบว่าขาดคุณสมบัติ จะทำให้การประชุมครั้งนั้นโมฆะหรือไม่ ซึ่งมีการกล่าวอ้างแนวทางปฏิบัติกรมการปกครองมหาดไทย เคยมีคำวินิจิฉัยลักษณะนี้ว่า ไม่ทำให้การประชุมเป็นโมฆะ แต่ผู้ตรวจการฯ ยังไม่ปักใจเชื่อ ต้องดูรายละเอียด
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พูดถึงการครบวาระของนายกสมาคมฯ ซึ่งหมดวาระในวันที่ 25 ม.ค.59 แต่กลับมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นก่อน คือในวันที่ 23 ม.ค.59 จึงมีประเด็นว่า สามารถประชุมเพื่อเลือกประธานได้ก่อนหรือไม่ อย่างไร
จากข้อบังคับสมาคมฯ ข้อที่ 35 ระบุว่า คณะกรรมการสมาคมฯ พ้นวาระก่อนถึงวาระการเลือกตั้งใหม่ โดยนายกสมาคมถึงแก่กรรม ลาออก แต่ข้อเท็จจริงนายกสมาคมยังไม่ถึงแก่กรรม และลาออก ซึ่งเป็นข้อมูลใหม่ที่จะมาพิจารณาโดยกกท.ก็บอกว่า สมาคมฯดำเนินการตามความต้องการของสมาคมทั้งสิ้น
"ผู้ตรวจการฯ ก็จะดูว่าการเรียกประชุมโดยผู้มีอำนาจได้ทำถูกต้องหรือไม่ เพราะจะมีผลต่อการดำรงตำแหน่งของนายกสมาคมคนใหม่ ซึ่งข้อบังคับข้อที่ 26 เขียนไว้ว่า กรรมการอำนวยการดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ได้รับเลือกตั้ง หรือแต่งตั้ง ดังนั้น ถ้าเลือกตั้งวันที่ 23 ม.ค. ก็จะมีผลในวันดังกล่าว ซึ่งวันนั้นนายกสมาคมคนเก่ายังไม่พ้นวาระ จะซ้ำซ้อนกัน กลายเป็นว่า มีนายกสมาคม 2 คนพร้อมกัน หรือไม่ เป็นประเด็นข้อกฎหมายที่จะพิจารณากันต่อไป รวมถึงการไปจดทะเบียน เพื่อให้เกิดผลสมบูรณ์ จะมีประเด็นว่าใครต้องไปจด ที่ผ่านมาคือ คนเก่าไปจด แต่ขณะนี้นายกสมาคมคนใหม่ จดทะเบียนเองตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค. ดังนั้นวันนี้เป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงให้ปรากฏ ผู้ตรวจการฯได้ขอความร่วมมือ กกท.ให้ชี้แจงข้อมูลในประเด็นที่กกท.ได้เคยวินิจฉัยไปแล้ว ซึ่งหลังรับข้อมูลใหม่แล้ว จะมีผลต่อคำวินิจฉัยที่เคยวินิจฉัยไว้แล้วหรือไม่ ก็ให้ชี้แจงมาอีกครั้ง โดยฝาก กกท.ให้เร่งส่งข้อมูล เชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นาน เพราะมีข้อมูลในมือแล้ว แต่อาจจะไปทบทวนอีกครั้ง และไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยหรือไม่ โดยผู้ตรวจการฯก็จะดูว่า กกท.ดำเนินการตามหน้าที่หรือไม่"