**อาจเป็นเรื่องน่าแปลกใจไม่น้อยสำหรับปรากฏการณ์ใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นทั้งในและต่างประเทศในเวลานี้ จนกลายเป็นเรื่องที่ประจวบเหมาะกันพอดี นั่นคือหลังจากที่ประเทศไทยกำลังถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนจากนานาชาติ ที่อยู่ภายใต้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งคราวนี้จัดขึ้นที่นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส นำคณะโดย ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
แม้ว่าในการประชุมดังกล่าว ฝ่ายไทยก็เป็นการตอบคำถามและรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นกระบวนการทางการทูตระหว่างประเทศในแบบเท่ๆ ที่ทุกคำถามทุกคำตอบล้วนเป็นการ "อ่านตามบท" ที่แต่ละประเทศเขียนกันมา ก็ว่ากันไป
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ก่อให้เกิดปฏิริยาตอบโต้กลับไปอย่างรุนแรง และถือว่าเป็นอีกครั้งสำคัญก็ว่าได้ ที่มีคนไทยแสดงท่าทีแบบนี้ นั่นคือ อาการตอบโต้ ประณามเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เกลน เดวีส์ ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การบังคับใช้กฎหมายของไทยว่า เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ ละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ที่สำคัญก็คือ คำพูดของเขาที่แสดงท่าทีคัดค้านการใช้ มาตรา 112 โดยมีการตำหนิที่มีการดำเนินคดี ควบคุม คุมขังผู้ต้องหาในประเทศ
**กรณีหลังนี่แหละที่สร้างความเดือดแค้นให้กับคนไทยนัก เพราะเห็นว่า นี่คือการแทรกแซงกิจการภายในของไทย เป็นการย่ำยีหัวใจ และที่สำคัญนี่คือการแสดงออกแบบที่เรียกว่า "ไร้มารยาท" อย่างรุนแรง แน่นอนว่าคำพูดดังกล่าวของทูตสหรัฐฯ ดังกล่าวอาจมองได้ว่า นี่คือท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะหลังจากที่มีการเข้าพบ ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เขาก็ได้อ่านแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐที่ตำหนิไทยในเรื่องสิทธิมนุษยชน
แต่การพูดวิจารณ์พาดพิงถึงเรื่องการใช้กฎหมายอาญา มาตรา 112 นี่แหละที่ทำท่าจะเกิดเป็นเรื่องบานปลาย ทำให้คนไทยจำนวนมากรู้สึกที่เป็นลบต่อสหรัฐฯ เพราะการที่สหรัฐฯ ตำหนิไทยเรื่องการใช้มาตรา 112 เป็นลักษณะปกป้องคนที่จาบจ้าง พระมหากษัตริย์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยอ้างว่ารัฐบาลไทยกำลังละเมิดสิทธิมนุษยชน คุกคามสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น ทั้งที่ในบริบทมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โดยเฉพาะกับสถาบันเบื้องสูง ที่ใครจะละเมิดมิได้ มีกฎหมายบัญญัติรองรับไว้ชัดเจน และบทบัญญัติดังกล่าว ก็มีที่มาจากความรัก ความจงรักภักดีของคนไทยที่ผูกพันกับสถาบันฯ มาอย่างช้านานนับหลายร้อยปีแล้ว ก่อนที่จะมีรัฐอเมริกาขึ้นมาเสียอีก
และที่ต้องอธิบายให้ชัดเจนก็คือ เรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับสิทธิ เสรีภาพ เพราะในเรื่องทั่วไปทั้งเรื่องการเมือง เรื่องเสรีภาพอื่นก็ยังมีตามสมควร และโดยสุจริต การวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็ยังสามารถทำได้ หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะ และความเป็นธรรม ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ก็สามารถสิทธิตอบโต้ได้หลายรูปแบบในทางกฎหมาย นั่นคือเขาและคนอื่นสามารถปกป้องตัวเองได้
ต่างกับสถาบันเบื้องสูงที่อยู่เหนือการเมือง เหนือความขัดแย้งทั้งปวง และกรณีที่เกิดขึ้นถูกดำเนินคดีทุกคนล้วนเป็นการ "จาบจ้วง" ทั้งสิ้น ซึ่งคนไทยยอมรับไม่ได้เป็นอันขาด และที่สำคัญก็คือ มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปพาดพิง เพราะหากไม่พอใจ ไม่ถูกใจรัฐบาล ไม่ถูกใจคสช. ก็สามารถวิจารณ์ตำหนิ แม้ว่าอาจเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีตามกฎหมายพิเศษ ซึ่งก็ว่ากันไปตามสถานการณ์ แต่การไปกล่าวถึงสถาบันฯ ถือว่าไม่เป็นธรรม เพราะไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะตอบโต้ ชี้แจงได้
**นี่คือความหมาย และบริบทของ กฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ต้องมีไว้เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ให้ใครล่วงละเมิด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิเสรีภาพ หรือการคุกคามสิทธิมนุษยชนใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งแต่ละคดี สามารถย้อนกลับไปพิจารณาผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีและถูกจำคุกทุกรายว่ามีความเป็นมาอย่างไร และมีความจำเป็นอะไรถึงต้องไป "จาบจ้วง" ทั้งที่รู้ว่ามีกฎหมายบังคับไว้แล้ว
จะด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้คนไทยมีปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงกับฝ่ายสหรัฐฯ กับทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ที่แสดงท่าทีปกป้องคนที่จาบจ้างสถาบันฯ ซึ่งจะว่าไปแล้วหากมีการตำหนิรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ บางแง่มุมก็อาจพอรับฟังได้ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ กับคณะ สามารถตอบโต้และชี้แจงได้ ว่ากันไป แต่เมื่อมีการล้ำเส้นแบบนี้ มันก็เหมือนกับมีเจตนา"ซ่อนเร้น" ชัดเจนขึ้น จนสร้างความรังเกียจให้กับคนไทยมากขึ้น เพราะโลกสมัยใหม่มันเปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งนาทีนี้บางทีสหรัฐฯ ก็อาจจะเข้าใจมากขึ้นแล้วก็ได้ว่า ทำไมในยุคนี้ช่างมีคนไทยออกมาร่วมต่อต้านสหรัฐฯ มากเหลือเกิน มีการแสดงข้อมูลหลักฐานตอบโต้กันแบบมีอารยะ รู้เท่าทัน แม้ว่าไทยเป็นประเทศเล็กคงไม่สะเทือน แต่การท่าทีเฉยเมย บางทีมันก็อาจจะรู้สึกเจ็บปวดในใจไม่น้อยเหมือนกัน
ขณะเดียวกันมองในด้านการเมืองภายใน ซึ่งถือว่าเชื่อมโยงกันโดยเฉพาะกับฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร กลายเป็นว่าสอดคล้องกัน กลายเป็น "เครือข่ายล้มเจ้า" ที่ทำให้พลังการเคลื่อนไหวของพวกเขาอ่อนแอลงไป กลายเป็นว่ายิ่งคนพวกนี้ยิ่งเคลื่อนไหว ยิ่งทำให้ พล.อ.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แข็งแกร่งขึ้นแบบทันตาเห็น ไม่เชื่อก็ลองไปสำรวจความเห็นตามโลกโซเชียลฯ ที่ต่างรุมประณามสหรัฐฯ และทูตสหรัฐฯ กันขรม
**เสียงดังกว่าพวกที่เรียกตัวเองว่า "ฝ่ายประชาธิปไตย" ที่พัฒนามาจาก"ไพร่" เมื่อไม่กี่ปีก่อน ซึ่งก็น่าแปลกใจที่ชาวบ้านรู้ทันมากขึ้นเหมือนกัน !!
แม้ว่าในการประชุมดังกล่าว ฝ่ายไทยก็เป็นการตอบคำถามและรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นกระบวนการทางการทูตระหว่างประเทศในแบบเท่ๆ ที่ทุกคำถามทุกคำตอบล้วนเป็นการ "อ่านตามบท" ที่แต่ละประเทศเขียนกันมา ก็ว่ากันไป
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ก่อให้เกิดปฏิริยาตอบโต้กลับไปอย่างรุนแรง และถือว่าเป็นอีกครั้งสำคัญก็ว่าได้ ที่มีคนไทยแสดงท่าทีแบบนี้ นั่นคือ อาการตอบโต้ ประณามเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เกลน เดวีส์ ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การบังคับใช้กฎหมายของไทยว่า เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ ละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ที่สำคัญก็คือ คำพูดของเขาที่แสดงท่าทีคัดค้านการใช้ มาตรา 112 โดยมีการตำหนิที่มีการดำเนินคดี ควบคุม คุมขังผู้ต้องหาในประเทศ
**กรณีหลังนี่แหละที่สร้างความเดือดแค้นให้กับคนไทยนัก เพราะเห็นว่า นี่คือการแทรกแซงกิจการภายในของไทย เป็นการย่ำยีหัวใจ และที่สำคัญนี่คือการแสดงออกแบบที่เรียกว่า "ไร้มารยาท" อย่างรุนแรง แน่นอนว่าคำพูดดังกล่าวของทูตสหรัฐฯ ดังกล่าวอาจมองได้ว่า นี่คือท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะหลังจากที่มีการเข้าพบ ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เขาก็ได้อ่านแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐที่ตำหนิไทยในเรื่องสิทธิมนุษยชน
แต่การพูดวิจารณ์พาดพิงถึงเรื่องการใช้กฎหมายอาญา มาตรา 112 นี่แหละที่ทำท่าจะเกิดเป็นเรื่องบานปลาย ทำให้คนไทยจำนวนมากรู้สึกที่เป็นลบต่อสหรัฐฯ เพราะการที่สหรัฐฯ ตำหนิไทยเรื่องการใช้มาตรา 112 เป็นลักษณะปกป้องคนที่จาบจ้าง พระมหากษัตริย์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยอ้างว่ารัฐบาลไทยกำลังละเมิดสิทธิมนุษยชน คุกคามสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น ทั้งที่ในบริบทมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โดยเฉพาะกับสถาบันเบื้องสูง ที่ใครจะละเมิดมิได้ มีกฎหมายบัญญัติรองรับไว้ชัดเจน และบทบัญญัติดังกล่าว ก็มีที่มาจากความรัก ความจงรักภักดีของคนไทยที่ผูกพันกับสถาบันฯ มาอย่างช้านานนับหลายร้อยปีแล้ว ก่อนที่จะมีรัฐอเมริกาขึ้นมาเสียอีก
และที่ต้องอธิบายให้ชัดเจนก็คือ เรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับสิทธิ เสรีภาพ เพราะในเรื่องทั่วไปทั้งเรื่องการเมือง เรื่องเสรีภาพอื่นก็ยังมีตามสมควร และโดยสุจริต การวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็ยังสามารถทำได้ หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะ และความเป็นธรรม ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ก็สามารถสิทธิตอบโต้ได้หลายรูปแบบในทางกฎหมาย นั่นคือเขาและคนอื่นสามารถปกป้องตัวเองได้
ต่างกับสถาบันเบื้องสูงที่อยู่เหนือการเมือง เหนือความขัดแย้งทั้งปวง และกรณีที่เกิดขึ้นถูกดำเนินคดีทุกคนล้วนเป็นการ "จาบจ้วง" ทั้งสิ้น ซึ่งคนไทยยอมรับไม่ได้เป็นอันขาด และที่สำคัญก็คือ มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปพาดพิง เพราะหากไม่พอใจ ไม่ถูกใจรัฐบาล ไม่ถูกใจคสช. ก็สามารถวิจารณ์ตำหนิ แม้ว่าอาจเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีตามกฎหมายพิเศษ ซึ่งก็ว่ากันไปตามสถานการณ์ แต่การไปกล่าวถึงสถาบันฯ ถือว่าไม่เป็นธรรม เพราะไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะตอบโต้ ชี้แจงได้
**นี่คือความหมาย และบริบทของ กฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ต้องมีไว้เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ให้ใครล่วงละเมิด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิเสรีภาพ หรือการคุกคามสิทธิมนุษยชนใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งแต่ละคดี สามารถย้อนกลับไปพิจารณาผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีและถูกจำคุกทุกรายว่ามีความเป็นมาอย่างไร และมีความจำเป็นอะไรถึงต้องไป "จาบจ้วง" ทั้งที่รู้ว่ามีกฎหมายบังคับไว้แล้ว
จะด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้คนไทยมีปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงกับฝ่ายสหรัฐฯ กับทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ที่แสดงท่าทีปกป้องคนที่จาบจ้างสถาบันฯ ซึ่งจะว่าไปแล้วหากมีการตำหนิรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ บางแง่มุมก็อาจพอรับฟังได้ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ กับคณะ สามารถตอบโต้และชี้แจงได้ ว่ากันไป แต่เมื่อมีการล้ำเส้นแบบนี้ มันก็เหมือนกับมีเจตนา"ซ่อนเร้น" ชัดเจนขึ้น จนสร้างความรังเกียจให้กับคนไทยมากขึ้น เพราะโลกสมัยใหม่มันเปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งนาทีนี้บางทีสหรัฐฯ ก็อาจจะเข้าใจมากขึ้นแล้วก็ได้ว่า ทำไมในยุคนี้ช่างมีคนไทยออกมาร่วมต่อต้านสหรัฐฯ มากเหลือเกิน มีการแสดงข้อมูลหลักฐานตอบโต้กันแบบมีอารยะ รู้เท่าทัน แม้ว่าไทยเป็นประเทศเล็กคงไม่สะเทือน แต่การท่าทีเฉยเมย บางทีมันก็อาจจะรู้สึกเจ็บปวดในใจไม่น้อยเหมือนกัน
ขณะเดียวกันมองในด้านการเมืองภายใน ซึ่งถือว่าเชื่อมโยงกันโดยเฉพาะกับฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร กลายเป็นว่าสอดคล้องกัน กลายเป็น "เครือข่ายล้มเจ้า" ที่ทำให้พลังการเคลื่อนไหวของพวกเขาอ่อนแอลงไป กลายเป็นว่ายิ่งคนพวกนี้ยิ่งเคลื่อนไหว ยิ่งทำให้ พล.อ.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แข็งแกร่งขึ้นแบบทันตาเห็น ไม่เชื่อก็ลองไปสำรวจความเห็นตามโลกโซเชียลฯ ที่ต่างรุมประณามสหรัฐฯ และทูตสหรัฐฯ กันขรม
**เสียงดังกว่าพวกที่เรียกตัวเองว่า "ฝ่ายประชาธิปไตย" ที่พัฒนามาจาก"ไพร่" เมื่อไม่กี่ปีก่อน ซึ่งก็น่าแปลกใจที่ชาวบ้านรู้ทันมากขึ้นเหมือนกัน !!