ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถือเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง สำหรับคำสั่งจาก “กองทัพบก” โดย “กองทัพภาคที่ 2” ย้ายฟ้าผ่า “ผู้การไก่-พ.อ.ธนศักดิ์ มิตรภานนท์ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 6 (ผบ.ร.6) ออกจากตำแหน่งและเข้ากรุไปรั้งตำแหน่ง “นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา”
ที่ใช้คำว่า “ไม่ธรรมดา” เนื่องเพราะ พ.อ.ธนะศักดิ์คือผู้ดำเนินการสร้าง “ศูนย์การเรียนรู้อุทยานประวัติศาสตร์เขาพระวิหาร” หรือ “ประสาทพระวิหารจำลอง” บริเวณผามออีแดง อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ แถมคำสั่งย้ายผู้การไก่ก็มาพร้อมกับคำสั่งปิดปราสาทพระวิหารจำลองอีกต่างหาก
หนักไปกว่านั้นก็คือ ไม่ใช่แค่ปิดเฉยๆ หากแต่ยังมีทหารนำ “ผ้าดำ” มาปิดคลุมในบริเวณนั้นทั้งหมด และไม่ให้ประชาชนหรือนักท่องเที่ยวเข้าชม แถมมีข่าวออกมาด้วยว่าจะมีการ “ทุบทิ้ง” ซึ่งก็คงต้องลุ้นว่าสุดท้ายจะทุบหรือไม่ทุบทิ้ง
ดังนั้น แม้ “ปาก” จะปฏิเสธว่า คนละเรื่องเดียวกัน แต่โดยข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ยากที่จะปฏิเสธถึงความเชื่อมโยงกันได้
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ทำไมกองทัพบกถึงตัดสินใจมีคำสั่งปิดปราสาทพระวิหารจำลองที่ผู้การไก่ร่วมกับภาคเอกชนในพื้นที่ดำเนินการสร้างขึ้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา
เหล่านี้เป็น “ข้ออ้าง” ที่ฟังไม่ขึ้น เพราะปราสาทพระวิหารจำลองที่สร้างขึ้นนั้น สร้างขึ้นในแผ่นดินของราชอาณาจักรไทย
ขณะที่ความพยายามจะอ้างเรื่อง “ความขัดแย้งส่วนตัว” ในการย้ายผู้การไก่ ด้วยเหตุสร้างปราสาทพระวิหารจำลองโดยไม่รายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ก็เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงไม่แปลกใจอะไรกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขรมไปทั่วทั้งแผ่นดินไทยในทำนอง “ย่ำยีหัวใจคนไทย เพื่อเอาใจเขมร” ยิ่งในระยะหลังๆ “สมเด็จฯ ฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา รวมทั้งบุคคลสำคัญในรัฐบาลกัมพูชาเดินทางมาเชื่อมสัมพันธไมตรีกับรัฐบาลทหารหลายต่อหลายครั้ง ก็ยิ่งต่อจิ๊กซอว์ให้เห็นถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นไม่ได้
ทำไมต้องกลัวเขมร? .
ทำไมต้องกลัวฮุนเซน?
นี่คือคำถามที่ดังกึกก้องในหัวใจของคนไทยที่รักชาติเวลานี้
หรือว่า ผามออีแดงซึ่งเป็นดินแดนของราชอาณาจักรไทยได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร” ตามแนวเส้นเขตแดนที่ราชอาณาจักรกัมพูชาอ้างเอาไว้ต่อศาลโลกไปแล้วเช่นนั้น
“ผู้การไก่” จาก “ฮีโร่(Hero)” กลายเป็น “ซีโร่(Zero)”
ย้อนหลังกลับไปก่อนหน้านี้....
การดำเนินการก่อสร้าง “ประสาทพระวิหารจำลอง” ของทหารไทยบริเวณผามออีแดงปรากฏเป็นข่าวท่ามกลางเสียชื่นชมของผู้ที่พบเห็นหรือทราบข่าวคราวว่าเป็นแนวคิดที่เข้าท่า และส่งผลทำให้ “ผู้การไก่-พ.อ.ธนศักดิ์ มิตรภานนท์ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 6 (ผบ.ร.6)” ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม
ทั้งนี้ เนื่องเพราะ พ.อ.ธนะศักดิ์นำเงินเดือนจากการที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) จำนวน 3 ล้านมาบริจาคเป็นค่าใช้ในการก่อสร้าง ร่วมกับบรรดาเจ้าของร้านวัสดุก่อสร้างในพื้นที่ที่เห็นดีเห็นงามนำวัสดุก่อสร้างมาร่วมด้วยช่วยกันสร้างปราสาทพระวิหารจำลอง บนผามออีแดง รวมงบประมาณทั้งสิ้นราว 5 ล้านบาท เพื่อหวังให้เป็น “ศูนย์การเรียนรู้ประวัติศาสตร์” และให้เป็น “แหล่งท่องเที่ยว” เพื่อรองรับการท่องเที่ยวในอนาคตหากฝ่ายกัมพูชาเปิดทางขึ้นจากฝั่งไทยให้ขึ้นไปชมปราสาทของจริงในฝั่งกัมพูชา
พร้อมกับการปรับปรุง “บังเกอร์ทหาร” ในพื้นที่เสียใหม่ โดยเปลี่ยนจาก “กระสอบทราย” มาเป็น “บังเกอร์ปูน”
สำหรับการก่อสร้างนั้น ทหารและทหารพรานของหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี กว่า 100 นาย ได้ตรากตรำทำงานกลางแดดโดยใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 5 เดือนจึงแล้วเสร็จและเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็ได้รับเสียงชื่นชมจากสังคมอย่างล้นหลาม
ณ ขณะนั้น ดร.กัลยาณี ธรรมจารีย์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ด้านการท่องเที่ยว และประธานเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ ถึงกับกล่าวชื่นชมว่า การก่อสร้างศูนย์เรียนรู้ปราสาทพระวิหารจำลองที่ริมผามออีแดงแห่งนี้นับว่าเป็นสิ่งที่ดีงามและน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
ทว่า หลังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมความสวยงามที่เกิดจากความตั้งใจและแรงศรัทธาแค่ไม่กี่วัน กองทัพบกก็มีคำสั่งปิดศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์และปราสาทพระวิหารจำลองแห่งนี้ พร้อมทั้งนำผ้าสีดำมาปิดคลุมเพื่อไม่ให้มองเห็น รวมถึงนำเอาต้นไม้ เถาวัลย์ มาพราง ให้ปลูกหญ้า ต้นไม้ให้ปกคลุม ทั้งๆที่ มีข่าวออกมาสัปดาห์ก่อนว่า ทหารพรานสร้างเสร็จแล้ว พร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยว โดยทางทหาร แจ้งกับนักท่องเที่ยวว่า ยังไม่เสร็จดี ต้องรอให้มีการเปิดอย่างเป็นทางการเสียก่อน
และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ มีรายงานถ้วยว่า สถานะของปราสาทพระวิหารจำลองแห่งนี้คือ “รอการทุบทำลายทิ้ง”
ขณะที่ตัว พ.อ.ธนศักดิ์ ซึ่งเป็นคนคิดริเริ่มและลงมือก่อนสร้างปราสาทพระวิหารจำลองเองก็ประสบกับชะตากรรมอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน เมื่อ บิ๊กหมู-พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก คนปัจจุบัน ลงนามคำสั่งกองทัพบก ที่ 210/2559. เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2559 เรื่อง “ให้นายทหารรับราชการและปรับระดับเงินเดือน” ด้วยการ “เด้งฟ้าผ่า” ย้าย พ.อ.ธนศักดิ์จากตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 6 (ผบ.ร.6) เข้ากรุ เป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา พร้อมทั้ง ให้ พ.อ.จักรพงศ์ จันทร์สุทธิประภา รอง ผบ.ร.6 ขยับเป็น ผบ.ร.6 แทน จากนั้นตัว “บิ๊กหมู” ก็หายเงียบเข้ากลีบเมฆด้วยการเดินทางไปต่างประเทศ
พ.อ.ธนศักดิ์กล่าวถึงความรู้สึกสั้นๆ หลังคำสั่งย้ายว่า “ผมทำตามคำสั่งนาย สั่งให้ไปตาย ผมก็ต้องไป”
ท่ามกลางความสับสนและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า อะไรคือเหตุผลที่แท้จริงในการย้าย พ.อ.ธนศักดิ์ นอกเหนือจากเรื่องความเหมาะสมซึ่งมักกล่าวอ้างราวกับเป็นยาวิเศษ ทั้งๆ ที่ถ้าจะว่าไปแล้ว ตัว พ.อ.ธนศักดิ์เองก็เป็นนายทหารที่ทำงานในพื้นที่มาอย่างยาวนาน รวมทั้งเคยสร้างวีรกรรมให้เป็นที่จารึกอยู่ไม่น้อย ในฐานะอดีต “ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 23” ที่ทำศึกเขาพระวิหารกับทหารกัมพูชาเมื่อปี 2554 ซึ่งทำให้ฝ่ายกัมพูชา สูญเสีย จำนวนไม่น้อย และเป็นนายทหาร ที่ทำงานในพื้นที่มายาวนาน
กระนั้นก็ดี ภายหลังคำสั่งย้าย พ.อ.ธนศักดิ์ออกมา มีข่าวสะพัดในพื้นที่ ด้วยว่า เป็นผลมาจากความขัดแย้งภายใน ด้วยเหตุเพราะ พ.อ.ธนศักดิ์ไม่ได้รายงาน พลตรีสนธยา ศรีเจริญ ผบ.พล.ร.6 และผู้บังคับการกองกำลังสุรนารี ถึงเรื่องการก่อสร้างปราสาทพระวิหารจำลองก่อน ซึ่งไม่เป็นไปตามลำดับการบังคับบัญชา ดังที่ พล.ท.วิชัย แชจอหอ แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่า “เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ไม่ได้มีการทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น” แต่ก็ดูเหมือนว่า เป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก
เพราะโดยข้อเท็จจริงก็คือ มีการยอมรับออกมาจากปากของทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมถึงพล.ท.วิชัย แชจอหอ แม่ทัพภาคที่ 2 ตั้งแต่ตอนเป็น แม่ทัพน้อยที่2 “ด้วยวาจา” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ได้ทำเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะเห็นว่า เป็น โครงการเล็กๆ
“เขาไม่ได้ถามผมก่อน เป็นอำนาจเขา ผบ.ร.6 รายงานด้วยวาจาก่อนแล้ว ก่อนสร้าง”พล.อ.ประวิตรตอบคำถาม
นอกจากนี้ พ.อ.ธนศักดิ์ยังได้เรียนเชิญ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณมาตรวจเยี่ยมชายแดน เยี่ยมทหาร และจะมาทำพิธีเปิดศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์ เขาพระวิหารแห่งนี้ด้วย
ที่สำคัญคือการย้าย พ.อ.ธนศักดิ์ในครั้งนี้มาพร้อมๆ กับคำสั่งปิดปราสาทพระวิหารจำลอง ดังนั้น นี่จึงเป็นเรื่องเดียวกัน มิใช่เรื่องของการรายงานผู้บังคับบัญชาอย่างแน่นอน แม้ พล.ท.วิชัย แชจอหอ แม่ทัพภาคที่ 2 จะยืนยันว่า คำสั่งย้าย พ.อ.ธนะศักดิ์มาเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชาจะไม่เกี่ยวกับเรื่องการก่อสร้างปราสาทพระวิหารจำลองที่ผามออีแดง แต่สังคมก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
พ.ต.ปรัชญา หล้าวิเศษ รอง ผบ.ร.6 พัน.3เป็น รอง ผบ.กรม ทพ.23 พ.ต.จิระกิจ จิตรภักดี รอง ผบ.รอง ผบ.ร.16 พัน.2 เป็น รอง ผบ.กรม ทพ.26
ทั้งนึ้ พันเอกธนะศักดิ์ ผบ.ร.6 และ สมาชิก สปท. บริจาคเงินเดือน สปท.3 ล้าน ร่วมกับเจ้าของร้านวัสดุก่อสร้างในพื้นที่ บริจาค ปูน ทราย มาก่อสร้าง ปราสาทพระวิหารจำลอง บนผามออีแดง. แต่ทาง ทบ. อ้างว่า กต.ท้วงติง และอาจกระทบสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา จึงสั่งปิด ปราสาทจำลอง และย้าย พันเอกธนศักดิ์ ทั้งๆที่ปราสาทฯ นี้สร้างในดืนแดนประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ 4.6 ตร.กม. แต่อย่างใด
ทั้งนี้ มีข่าวสะพัดในพื้นที่ ด้วยว่า เป็นความขัดแย้งภายใน ด้วย เหตุเพราะผู้การไก่ ไม่ได้รายงาน พลตรีสนธยา ศรีเจริญ ผบ.พล.ร.6 ก่อน แม้รายงาน พลโท วิชัย แชจอหอ แม่ทัพภาค2 และ เรียน บิ๊กปัอม พลเอกประวิตร รมว.กลาโหม แล้วก็ตามกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือกระทบความสัมพันธ์ของผู้นำทหาร
ในขณะที่ยังไม่ชัดแจ้งแดงแจ๋ว่า เบื้องหลังคำสั่งย้าย พ.อ.ธนศักดิ์คืออะไร ซึ่งถ้าจะไปแล้วก็ไม่สลักสำคัญอะไรนักเพราะการเป็นทหารนั้น แม้นายสั่งให้ไปตายก็ต้องทำตามที่ พ.อ.ธนศักดิ์ให้สัมภาษณ์เอาไว้ สิ่งสำคัญที่สุดที่จำต้องหาคำตอบก็คือ ทำไมกองทัพบกในยุคที่มี พล.อ.ธีรชัย นาควานิช เป็นผู้บัญชาการถึงได้มีคำสั่งปิดปราสาทพระวิหารจำลอง รวมทั้งให้ใช้ผ้าดำปกคลุมให้มิดชิดอีกต่างหาก
เพราะต้องไม่ลืมว่า ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์หรือปราสาทพระวิหารจำลองแห่งนี้ สร้างบนดินแดนไทย ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงใดๆ กับ พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรในพื้นที่เขาพระวิหารตามที่กัมพูชากล่าวอ้าง เลยแม้แต่น้อย
หรือกล่าวสรุปก็คือ ผามออีแดงคือดินแดนของราชอาณาจักรไทยที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ดังที่ กิติศักดิ์ พ้นภัย หัวหน้ากลุ่มกำลังแผ่นดิน ซึ่งเป็นชาว อ.กันทรลักษ์มาโดยกำเนิด และอาศัยอยู่ในพื้นที่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ให้ความเห็นว่า สถานที่สร้างปราสาทพระวิหารจำลองนั้นอยู่ในดินแดนไทย แล้วจะมีปัญหาอะไรในเมื่อการก่อสร้างนี้อยู่ในแผ่นดินไทย และจะไปกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาได้อย่างไร
แต่สิ่งที่มีปัญหาและสมควรทุบทิ้งจริงๆ คือ ประตูเหล็กกับรั้วลวดหนามเถื่อน ซึ่งกั้นระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่สร้างไว้จากคนไทยเพียงไม่กี่คนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ตอนช่วงไปคบค้ามีผลประโยชน์กับกัมพูชา โดยประตูเหล็กกับรั้วลวดหนามเถื่อนนี้ได้สร้างขึ้นมาประมาณปี 2540-2541 เพียงเพื่อต้องการต้อนคนไทยและนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นไปชมตัวปราสาทให้เข้าไปตรงช่องขายบัตรผ่านประตู ได้มีการขายบัตรแล้วแบ่งเงินกันระหว่างไทยกับเขมรในเวลานั้น
ทั้งนี้ ประตูเหล็กกับรั้วลวดหนามเถื่อนดังกล่าวตามแนวคลองน้ำนั้นได้สร้างความเข้าใจผิดในเรื่องเขตแดนเป็นอย่างมากในเวลาต่อมา ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายไทย
“ทหารเราน่ะพลาดเอง การสั่งปิดเขาพระวิหาร ผมว่าทางกองทัพพลาดแล้ว ผมว่ายิ่งไปกระตุ้นชาวบ้าน เขามีความไม่พอใจอยู่แล้วสำหรับคนในพื้นที่เอง ทำไมเกรงใจเขมรนัก ผมตั้งข้อสงสัยมานานแล้ว เริ่มตั้งแต่ที่ว่ายังไม่มีเรื่องตั้งแต่ปี 2540 - 2541 ที่ผมคลุกคลีกับพวกทหาร เขามาคุยให้ฟัง เวลาไปเจอเขมรมาสร้างบ้านเรือนในเขตเราซึ่งทหารมีแผนที่อยู่แล้ว ระดับปฏิบัติการเขาทำหน้าที่อย่างเต็มที่ พอเขาไปรื้อปั๊บทำไมผู้บังคับบัญชาจะต้องสั่งห้าม อย่านะ! กระทบกระเทือนกับเพื่อนบ้าน อย่าไปสร้างความขัดแย้งมาบีบทางฝั่งเรา ทั้งๆ ที่เขาทำหน้าที่อยู่ ผมก็พยายามทำความเข้าใจว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ”นายกิติศักดิ์ให้ความเห็น
หรือทางทหาร ทางรัฐบาลหรือทางใครอะไรก็แล้วแต่ คิดว่า ผามออีแดงเป็นพื้นที่ทับซ้อนตามที่กัมพูชากล่าวอ้างเช่นนั้น
ดังนั้น เรื่องของเรื่องจึงมาหยุดลงตรงคำถามที่ว่า แล้วกองทัพบกจะสั่งปิดด้วยเหตุผลประการใด
ในเรื่องนี้ พล.ท.วิชัย แชจอหอ แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุเอาไว้ชัดเจนโดยไม่ต้องไม่ตีความให้เมื่อยตุ้มเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 ว่า “มีการทักท้วงมาจึงต้องระงับไว้ก่อนเพราะเกรงว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเราต้องระมัดระวังเรื่องนี้”
พร้อมทั้งขยายความด้วยว่า “ต้องดูท่าทีของกัมพูชาก่อนว่าจะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน แต่เรายืนยันว่าการดำเนินการเรื่องดังกล่าวต้องทำให้มีความถูกต้องด้วย เพราะตอนนี้เราก็เข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนแล้ว ดูให้ละเอียด ประกอบกรณีที่คำพิจารณาของศาลโลกเมื่อปี 2556 ที่กรุงเฮก ทั้งนี้ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ได้กำชับว่าให้ดูให้ดีๆ และดำเนินการให้เกิดความเรียบร้อย”
แปลไทยเป็นไทยคือ กลัวจะขัดใจเขมรว่างั้นเถอะ??
เรื่องที่ตลกก็คือ ในขณะที่แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า เกรงจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ ประกาศเสียงดังฟังชัดว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว แล้วก็ยอมรับด้วยว่า “มีกลุ่มคัดค้านไม่อยากให้สร้าง แต่ไม่ขอระบุว่าเป็นทหารหรือพลเรือน”
ใครทักท้วง คนไทยกันเองดังเช่นที่มีการปล่อยข่าวออกมาว่า คือกระทรวงการต่างประเทศ หรือกัมพูชาของสมเด็จฮุนเซนเป็นคนทักท้วง หรือเป็นทหารทักท้วงกันเอง
ในเรื่องนี้ “ดอน ปรมัตถ์วินัย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ออกมาปฏิเสธแล้วว่า การสร้างปราสาทจำลองเป็นเรื่องที่ทั่วโลกทำกัน ไม่ใช่เป็นสิ่งผิดปกติ ดังนั้น กระทรวงการต่างประเทศจึงไม่ได้ทักท้วง กองทัพบกเรื่องสร้างปราสาทพระวิหารจำลอง บนผามออีแดง ขณะที่ทางการกัมพูชาก็ไม่ได้ท้วงอะไรมาเช่นกัน พร้อมย้ำด้วยว่า เป็นเรื่องภายในของกองทัพบกเอง
เมื่อ รมว.ดอนกล่าวเช่นนี้ก็ไม่อาจตีความเป็นอื่นได้ว่า มิใช่เรื่องที่จะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หากแต่เป็นเรื่องที่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำทหารของทั้งสองประเทศ ใช่หรือไม่
กระนั้นก็ดี แม้จะมีการโบ้ยกันไปมา แต่โดยข้อเท็จจริงนั้น มีข้อมูลรายงานตรงกันว่า ปมเหตุการณ์สั่งปิดปราสาทพระวิหารจำลอง รวมทั้งคำสั่งย้าย พ.อ.ธนศักดิ์นั้นเกิดขึ้นหลังจาก “เจ้าหน้าที่ภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา” ได้ทักท้วงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว พร้อมทั้งยกกรณีที่สาธารณรัฐประชาชนจีนสร้างมหาสฟริงซ์มีขนาดเท่าของจริงขึ้นที่เมืองฉูโจว มณฑลอานฮุย เลียนแบบมหาสฟริงซ์ที่ตั้งอยู่ในบริเวณหมู่พีระมิดทั้ง 3 แห่งเมืองกีซ่า และถูกประเทศอียิปต์ร้องเรียนไปยังยูเนสโก โดยให้เหตุผลว่ากระทบต่อการท่องเที่ยวของอียิปต์ ทำให้ทางการจีนตัดสินใจรื้อทิ้ง
นั่นหมายความว่า โอกาสที่ประสาทพระวิหารจำลองแห่งนี้จะถูกรื้อทิ้งก็มีเปอร์เซ็นต์ที่สูงยิ่งเช่นกันถ้าหน่วยงานความมั่นคงไทยคำนึงถึงการเอาใจกัมพูชามากกว่า “หัวใจของคนไทย”
อย่างไรก็ตาม จากการประมวลสถานการณ์ทั้งหมดแสดงให้เห็นได้ชัดว่าคำสั่งปิดปราสาทไม่ใช่เรื่องธรรมดา หากแต่มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการสะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นใจในเรื่องพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรซึ่งกัมพูชากล่าวอ้างมาโดยตลอด และมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า หน่วยงานทางด้านความมั่นคงเองก็ไม่แน่เช่นกันว่า “ผามออีแดงเป็นดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทย” จริงๆ ดังที่ พล.อ.ประวิตรกล่าวไว้ว่า “ต้องไปตรวจสอบให้ชัดเจนว่า พื้นที่ก่อสร้างบนผามออีแดงเป็นพื้นที่ทับซ้อนหรือไม่”
และชัดเจนยิ่งกับคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ร่ายยาวเอาไว้ว่า...
“ตามข้อตกลงเดิมเรายังไม่ได้ทำอะไรกันทั้ง 2 ฝ่าย เพราะคดียังอยู่ในขั้นตอนของศาลโลก ทำให้การทำอะไรต่างๆ ต้องระมัดระวัง ทั้งนี้ 2 ประเทศจะไม่ใช้เรื่องดังกล่าวมาทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ ขอให้สื่ออย่าไปขุดคุ้ยขึ้นมาอีก”
จากนั้นเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จำเป็นต้องรื้อประสาทพระวิหารจำลองหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ย้อนถามมาว่า แล้วพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรหรือไม่
และเมื่อผู้สื่อข่าวตอบว่า “ไม่” นายกฯ จึงได้กล่าวต่อว่า “แล้วมันควรหรือไม่ เพราะกติกาเขาไม่ให้สร้างอะไรแถวนั้นเลย”
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์สรุปเยี่ยงนี้ เรื่องการย้าย พ.อ.ธนศักดิ์และการสั่งปิดปราสาทพระวิหารจำลอง รวมทั้งคำสั่งให้รื้อทิ้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า จึงเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะมีคำอธิบายในตัวเองที่ชัดเจนยิ่ง
แต่ปัญหาก็คือในเมื่อหน่วยงานความมั่นคงของไทยยังไม่มั่นใจว่า ผามออีแดงเป็นดินแดนของราชอาณาจักรไทยและยังยึดมั่นถือมั่นในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรตามคำกล่าวอ้างของกัมพูชา การเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศและการต่อสู้เพื่อพิทักษ์ดินแดนของบรรพบุรุษจึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงยิ่งนัก.....
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจากเฟซบุ๊ก WASSANA NANAUM และ LOVE THAILAND