ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -พลันคำสั่งเลื่อนการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับสารวัตร - รองผู้บังคับการ ออกมาเป็นครั้งที่ 7 อาการท้อแท้ สิ้นหวังและไม่พอใจของข้าราชการตำรวจจำนวนมากต่างแสดงออกอย่างรุนแรงทั้งในกระแสโซเชียลมีเดีย การแสดงความเห็นผ่านสื่อทุกช่องทางจนเกิดประเด็นขึ้นมาว่า “โรคเลื่อน” ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ งัดมาใช้เป็นประจำนั้น มิใช่ปัญหาจากกฎระเบียบจนเกิดความ “ลักลั่น” ไม่ยุติธรรมแก่ข้าราชการตำรวจทั้งหลายแม้แต่น้อย แท้จริงแล้วเกิดจากความขัดแย้งในระดับกองบัญชาการ บางแห่งที่ไม่สามารถรับเด็กฝาก หรือ “ตั๋ว”ที่ยัดเยียดให้ได้
แต่ที่เป็นประเด็นมองเห็นตะเข็บของความขัดแย้งก็คือ “กองบัญชาการตำรวจนครบาล”ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. ซึ่งทราบกันดีว่าเป็นตำรวจสายตรงของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ก่อนเดินหน้าให้เห็นภาพต่างๆ อย่างชัดเจนคงต้องย้อนกลับไปช่วงการแต่งตั้งนายตำรวจระดับ รองผบ.ตร. - ผบก. ซึ่งแน่นอนว่าการแต่งตั้งระดับหัว หรือแม่ทัพนายกองสีกากีในยุคทหารคุมเมืองนั้นแตกต่างไปจากยุคพลเมืองเต็มขั้น กล่าวคือในยุคประชาธิปไตย หรือพลเรือนเป็นนายกรัฐมนตรีมีวัฒนธรรมแบ่งสรร ปันส่วน จนเป็นที่ยอมรับกันมาหลายรัฐบาลคือ ยึดอาวุโส 33 % ให้นักการเมือง 22 % ผบ.ตร. 22% และ ผบช. 22%
สูตรดังกล่าว “เจือสม” ทุกฝ่ายอย่างลงตัว ตำรวจ-นักการเมือง หรือบรรดาขาใหญ่ในฐานะผู้อุปการะคุณต่างแฮปปี้ การบริหารราชการไม่เคยติดขัด ไม่เคยเป็นโรคเลื่อนแล้วเลื่อนอีกอย่างในยุคปัจจุบัน อันเป็นที่ทราบกันดีว่าในยุค“ปฏิรูป ผสมการปรับทัศนคติ” โควต้าการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจทั้งหมด 100 % ไปอยู่กับ “รัฏฐาธิปัตย์ ลาดพร้าว 71” โดยมีที่ปรึกษาผู้มีอำนาจสูงสุดเป็นตัวจริง ชี้เป็นชี้ตายก็คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องชายสุดเลิฟของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม
100 % ของการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจยังไม่เว้น “แท่งสอบสวน” ที่ใช้ระบบ “ลื่นไหล” มายาวนาน บัดนี้ถูกทุบแท่ง ทำลายกำแพงนำมาบวกเพิ่มเป็นโควตาเข้าไปอีก เรียกว่าเป็นยุคแห่งความสิ้นหวังของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือยุคแห่งความเรืองรอง หากติดตามความเคลื่อนไหวของแวดวงสีกากี ทุกคนก็คงมีคำตอบอยู่ในใจ
กลับมาที่ “โผ บช.น.” อันเป็นชนวนของความขัดแย้งจนทำให้ “แป๊ะเล็ก” ตะบะแตก กลายเป็นสาเหตุไม่สามารถสรุปโผแต่งตั้งโยกย้ายสำเร็จ มาจากแผล “กินลึก” ที่ฝังอยู่ในใจเริ่มจากตำรวจระดับ “หัว” หรือ “ผู้บัญชาการ” ซึ่งถือว่ามีกำลังพลอยู่ในมือ มีการแบ่งสายใหญ่ๆอยู่ 2 สาย คือ สายตรงนายกรัฐมนตรี และสายตรงรองนายกรัฐมนตรี
การแต่งตั้งนายตำรวจระดับ พล.ต.ท. เป็นผู้บัญชาการ มีทั้งหมด 24 ตำแหน่ง ว่ากันว่าเป็นของ “ลุงตู่” 8 ตำแหน่ง รวมทั้งกองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งถือว่าเป็น “หัวใจ” เป็นยุทธศาสตร์ในการจัดเตรียมความพร้อมทุกๆด้าน ทั้งความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยในทุกมิติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำประเทศ คงนอนหลับไม่สนิทหากไม่มั่นใจในฐานะผู้กุมสถานการณ์ในเมืองหลวงแบบเบ็ดเสร็จ และด้วยคุณสมบัติความเป็นคนกล้า ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ไม่มีความซับซ้อน
ส่วนตำแหน่งระดับ ผบช.ที่เหลือ คงไม่ต้องอธิบายว่าเป็นของใคร หากไม่ใช่ “ปู่ป้อม” ผู้มากไปด้วยบารมี
กลับมาที่สายสัมพันธ์ระหว่างนายกฯลุงตู่ กับ “แป๊ะเล็ก” อีกครั้ง....ผลงานเป็นที่ประจักษ์ ไม่ว่าจะเป็นตอนหักเหลี่ยมเฉือนคม “เสธฯแดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล อดีตนายทหารคนดัง การมีส่วนร่วมควบคุมสถานการณ์เหตุการณ์ไม่สงบในบ้านเมือง เมื่อปี 2553 หรือกำกับดูแลสนามเลือกตั้งในพื้นที่คนเสื้อแดง เรียกว่าทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ เรียกปุ๊บมาปั๊บ ไม่มีกึ๊กกั๊กเหมือนนายตำรวจคนอื่นๆ จึงถูกวางตัวให้เป็น ผบช.น. ท่ามกลางสายตาละห้อยของใครหลายคนที่จ้องเก้าอี้นี้ตาเป็นมัน
แม้จะมีเส้นสายเป็นที่ไว้วางใจชอง สร.1 แต่ขวากหนามของ “แป๊ะเล็ก” มีริ้วรอยบาดแข้งบาดขามาตั้งแต่ได้รับมอบหมายให้เป็น รรท.ผบช.ภ.2 ภายหลังมีการยึดอำนาจใหม่ๆ ต่อจากนั้นขยับมาเป็น รรท.ผบช.ภ.1 ก่อนเกิดปรากฏการณ์ “เยียวยาจนสาแก่ใจ” ให้กับ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. ในขณะนั้น และได้ขยับขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. กระทั่งเป็น รอง ผบ.ตร. ในปัจจุบัน
โอกาสนี้ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร จึงเข้ามานั่งแทนที่ แม้จะไม่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับ“วงใน” แต่ “วงนอก” พากันแตกตื่น เพราะตัวเก็งอย่าง พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย “บิ๊กช้าง” พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช “บิ๊กหยม” นรต.36 เพื่อนร่วมรุ่นของ “แป๊ะใหญ่” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา หลุดจากโผ ต้องไปนั่งเป็น ผบช.ภ.1 และ ผบช.ภ.7 เรียกว่าพลาดท่า ผิดหวัง “หักปากกา”คอลัมน์นิสต์สายอาชญากรรมหลายคน
เมื่อได้รับมอบหมายหน้าที่ “แป๊ะเล็ก” เริ่มทำงานอย่างขยันขันแข็ง แม้จะมีเสียงค่อนแคะทำนองว่า วิธีการเหมือนตำรวจโบราณ คือไปทุกที่ โปรโมททุกงาน ไม่ว่าคดีเล็กคดีใหญ่แต่ความสม่ำเสมอ จริงจังและสามารถยึดพื้นที่ข่าวได้แทบทุกวัน ชื่อชั้นของ พล.ต.ท.ศานิตย์ จึงเริ่มติดปาก เป็นที่รู้จัก อย่างไรก็ตามแม้จะมีผลงานเข้าตาชัดเจน แต่ตำแหน่ง ผบช.น. ยังไม่อาจนั่งได้เต็มก้นในฐานะ “ตัวจริง” ทุกวันนี้ใกล้ครบเวลาครึ่งปีแล้ว แต่ “แป๊ะเล็ก” ก็ยังอยู่ในฐานะ “รักษาการ”
หรือแม้กระทั่งวันหนี่ง ที่จู่ๆ ผบ.ตร. เกิดยกเรื่องปัญหารถติดขึ้นมาให้ รรท.ผบช.น. นำไปแก้ไขให้เรียบร้อยภายในเวลา 3 เดือน โดยให้เหตุผลว่ามีประชาชนชาวกทม.เดือดร้อนจากปัญหาการจราจร
โจทก์ที่แม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรี หรืออดีตผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ต้องเสียผู้เสียคนกันไปแล้ว เพราะริอ่านหยิบยกเรื่องการจราจรมาหาเสียง....ใหญ่กว่า-แน่กว่า-พร้อมกว่า “แป๊ะเล็ก” ยังไปไม่รอด ประสาอะไรกับตำแหน่งรักษาการ ผบช.น. ซึ่งมีอำนาจบริหารงาน มีสรรพกำลัง และงบประมาณจำกัด
เรื่องที่ ผบ.ตร.จัดหาให้ รรท.ผบช.น. นำไปแก้ไขเพื่อประกอบการพิจารณาความเหมาะสม “คู่ควร” กับการเป็นแม่ทัพเมืองหลวงหรือไม่ ในอีกทางหนึ่งจึงถูกมองว่าหรือเป็นการ “วางยา” เป็นการหาเรื่องย้าย เพื่อให้คนที่อยากนั่งมาแทนที่
จากวันที่ 25 พ.ย. 58 ผ่านมาเกินกว่า 3 เดือน ที่กำหนดไว้ไม่ทราบว่า ผบ.ตร. ประเมินผลงานของ รรท.น.1 ว่าอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คนกรุงเทพฯคงให้คำตอบได้ว่าทุกวันนี้แม้จะกวาดเรียบคลองถม และกำลังจัดระเบียบปากคลองตลาด รวมทั้งหาบเร่แผงลอยทั่ว กทม. แต่การจราจรก็ยังคงติดหนึบ ยิ่งเป็นช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
นั่นคือชะตากรรมของ “แป๊ะเล็ก-คอกลุงตู่” แต่ชะตากรรม หรือความเป็นไปของ “แป๊ะใหญ่-คอกปู่ป้อม” ก็น่าสนใจไม่น้อย ทันทีที่นั่งเก้าอี้ใหญ่เป็น ผบ.ตร. เพียง 3 เดือน สิ่งที่พุ่งเข้ามากระทบจิตใจอย่างแรงก็คือ การให้ฉายาตำรวจประจำปีของสมาคมผู้สื่อข่าว-ช่างภาพอาชญากรรม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ได้รับฉายา “ผบ.เสียทรง” ด้วยเหตุผลที่ว่าสมัยเป็น รอง ผบ.ตร. มีผลงานโดดเด่นมากมาย แต่พอได้รับตำแหน่งเป็นผู้นำตำรวจ กลับไม่มีผลงานใดๆ แม้แต่น้อย
“ยอมรับว่าเสียความรู้สึก เป็นการตั้งฉายาที่ไม่ให้ความเป็นธรรมกับผมเลย หรือจะให้ผมยึดงาน รอง ผบ.ตร. มาทั้งหมด เมื่อเป็นผู้บริหารก็ต้องมอบหมายหน้าที่ให้กับรองฯ ทุกคน แล้วช่วยดูแลความเรียบร้อย เมื่อเช้าผมอ่าน นสพ.หลายฉบับ ออกตัวเชียร์คนโน้น คนนี้ คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าภายในเดือน เมษายน นี้ ผมจะอยู่รอดหรือเปล่า ถ้าอย่างนี้ก็ทำให้องค์กรตำรวจแตกแยก”.....
ตัดฉากจากฉายา “ผบ.เสียทรง” สื่อหลายสำนักยังคงให้เครดิต “แป๊ะใหญ่” ในฐานะ ผบ.ตร.คนที่ 11 และเพิ่งทำงานเพียงไตรมาสแรก แต่แล้วสิ่งที่ละลายความหวังของตำรวจส่วนใหญ่จนค่อยๆ กัดกร่อนศรัทธาก็คือ กฏระเบียบการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับ สารวัตร - รอง ผบก. ซึ่งถูกโจมตีว่าเป็นการชักบันไดหนี
ในฐานหัวเรือใหญ่ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาฝากความหวัง..กลายเป็นว่า “พลิกล็อก-ผิดคาด” มีการออกฏเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับคนเพียงกลุ่มเดียว พล.ต.อ.จักรทิพย์ รับก้อนหินไปอย่างเต็มๆ
แต่เหมือนกับความวัวยังไม่ทันหาย ดันมีความควายเข้ามาแทรก....ลุกลามใหญ่โตไปถึงกลุ่มพนักงานสอบสวนกว่า 3 พันนาย ที่รวมตัวเป็นสหพันธ์พนักงานสอบสวนแห่งชาติ มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เพื่อขอแยกตัวออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ท่ามกลางการสนับสนุนจากกระแสสังคม เนื่องจากต้องการเห็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปตำรวจ แต่แล้วได้มีประกาศ ม.44 ที่ 6/2559 และ 7/2559 ยกเลิกตำแหน่งพนักงานสอบสวน หรือที่เรียกกันว่า “ยุบแท่ง” งานสอบสวนโดยฝ่ายกองเชียร์ผู้มีอำนาจยกความคล่องตัว สลับสับเปลี่ยน-เกลี่ยกำลังพล พร้อมเป็นการให้โอกาสทุบกำแพงให้กับคนในที่อยากออก หรือคนนอกที่อยากเข้า
กลายเป็นโศกนาฎกรรมและรอยด่างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างฉับพลัน เมื่อพ.ต.ท.จันทร์ ชัยสวัสดิ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สน.เทียนทะเล ในฐานะเลขาธิการสหพันธ์พนักงานสอบสวนแห่งชาติ “หัวหอก” ของการเคลื่อนไหว ตัดสินใจยอมรับความพ่ายแพ้แต่ไม่รับอำนาจผู้บริหารด้วยการผูกคอตายในบ้านพัก
เดิมพันด้วยชีวิตของ พ.ต.ท.จันทร์ ชัยสวัสดิ์ กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายของความรู้สึกดีๆที่มีต่อผู้บังคับบัญชา ในทุกระดับจนหมดสิ้นไป แม้ธรรมชาติของตำรวจไทยโดยเฉพาะระดับสูงที่ต้องเอาตัวรอด ไม่กล้าฮืออือ กับผู้บังคับบัญชา แต่สิ่งที่อยู่ในใจ มีคำตอบได้จากยอดเงินบริจาคให้กับครอบครัว “ชัยสวัสดิ์” มีตำรวจสายพนักงานสอบสวนสมทบให้ทั้งสิ้นกว่า 3 ล้านบาท ถือเป็นการแสดงออกอีกทางหนึ่งทางสัญญาลักษณ์ที่คนใหญ่คนโต หรือผู้มีอำนาจไม่ควรมองข้าม
หลายเรื่อง หลายประเด็นที่ขัดแย้งกับบุคลิกจนแทบไม่น่าเชื่อว่าแนวความคิดชักนำให้องค์กรสู่จุดเสื่อมจะมาจากลูกน้ำเค็มเมืองชลบุรี หรือชายที่เคยเป็นศิษย์เก่าวชิราวุธ เป็นนักรักบี้ประจำโรงเรียน ซึ่งถูกหล่อหลอมความเป็นผู้นำ พร้อมกับผู้ตามที่ดี
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ต่างจากอดีต ผบ.ตร.อื่นๆ หลายคน เมื่อค้นหาเส้นทางความก้าวหน้าก็จะพบว่า เขาวางอนาคตของชีวิตข้าราชการตำรวจ อย่างมีสเต็ปทุกขั้นตอน มีการวางแผนอย่างดี เพื่อให้ถึงจุดสูงสุดซึ่ง “จุดแข็ง” ที่ทราบกันดีก็คือการเป็นนักประสาน 10 ทิศ จนได้รับความไว้วางใจของผู้มีอำนาจ เขาสามารถเข้าถึงทุกขั้ว จนสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นประโยชน์ปูทางไปสู่ความสำเร็จ
ส่วนความทะเยอทะยานที่มีอยู่ในสายเลือดของผู้ประสบความสำเร็จหลายคนสิ่งที่พิสูจน์ถึงความเป็นที่ 1 ซึ่งมีอยู่ในสายเลือดอย่างเต็มตัวก็คือ อะไรที่ชอบ ที่ต้องการ ต้องเป็นที่สุดของที่สุด ทั้งการสะสมภาพวาด การสะสมปืน การสะสมพระเครื่อง รวมทั้งตำแหน่งที่สุดของที่สุดในวงการตำรวจ ล้วนผ่านมาแล้วทั้งสิ้น เช่น ผู้การ 191 ผู้การสนามบินสุวรรณภูมิ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ความเป็นลูกน้ำเค็ม เป็นนักกีฬา และมีเลือดนักสู้ หล่อหลอมให้ “แป๊ะใหญ่” มีจิตใจนักเลง กล้าได้กล้าเสีย ไม่เอาเปรียบคน และไม่ต้องการติดค้างบุญคุณใคร หากแต่ถ้ามีใจให้กันมาแค่ไหนส่งกลับไปแค่นั้น บารมีเพื่อนฝูงมากมายทุกวงการ
ความใจถึงอันเป็นที่สุดของที่สุดก็คือ หากมีเจ้านายคนใดแสดงความสนใจพระเครื่องของรักของหวงที่คล้องประจำอยู่บนคอ เขาก็สามารถเด็ดให้อย่างไม่ลังเล
น่าเสียดายที่เส้นทางความสำเร็จของ “แป๊ะใหญ่” มิได้มาจากเนื้องานเป็นหลัก แต่เป็นการเข้าสู่จุดสูงสุด โดยใช้ความสามารถเชิงประสานประโยชน์ทำให้ฐานไม่แข็งแรง เมื่อผู้มีอำนาจให้ตำแหน่ง ให้หัวโขน พระคุณเหลือล้นเช่นนี้ จึงกลายเป็นบ่วงมัดเขาจนดิ้นไม่หลุด...พิสูจน์คำที่ว่า “เมื่อให้ผม 100 ก็กลับไป 100” พระคุณของผู้ดลบันดาลตำแหน่ง ผบ.ตร. คนที่ 11 ชนิดกระชากมาจากอกพล.ต.อ.เอก อังสะนานนท์ อดีต รอง ผบ.ตร. คู่แข่งจึงกลายเป็นหนี้บุญคุณที่ชดใช้กันไม่หมดสิ้น
นี่คือสิ่งที่น่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะนับแต่นี้ต่อไป “แป๊ะใหญ่ หรือบิ๊กแป๊ะ” ไม่สามารถกำหนดทิศทางให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือแม้แต่ตัวเองอีกแล้ว
แม้แต่การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับสารวัตร - รองผบก. ที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ในฐานะผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ถนัดมือ เพราะถูกสั่ง ถูกจัดการให้ซ้ายหัน ขวาหัน ตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ
ปฏิบัติการแข็งขืนไม่รับตั๋วสายอื่น ของพล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.น.1 หรือ การประกาศเลื่อนต่อไปเป็นครั้งที่ 7 อย่างไม่มีกำหนด มีข้อเท็จจริงอยู่ว่ามันก็แค่สงครามตัวแทนของคนมีอำนาจ 2 คน ที่คอยชักหุ่นกระบอกสีกากีกันอยู่ตามอำเภอใจ
เป็นยอดภูเขาน้ำแข็ง หรือสงครามตัวแทนก่อนหลอมละลายกลายเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่า!!??
เมื่อเป็นดังนี้...แม้จะเหลืออายุราชการนานถึง 4 ปี แต่ สตช.หมดโอกาสแล้วที่จะลิ้มรสความสามารถ หรือ “ตัวตน”ของ “แป๊ะใหญ่” อันเคยเป็นที่ยอมรับของเพื่อนพ้องน้องพี่ ชนิดไม่เคยมีใครได้รับความศรัทธาอย่างนี้มาก่อน
จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุด เมื่อผู้มีอำนาจไม่ยอมให้ความอิสระกับ คนจริง-ของจริง ได้มีโอกาสบริหารงานในองค์กรอย่างเต็มตัว กลายเป็นหนังหน้าไฟ ต้องปวดแสบปวดร้อนกับสิ่งที่ฝืนใจทำ
สนามนี้มันคงเล็กเกินไปแล้ว ถ้าอยู่ต่อมีแต่เปลืองตัว....พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา....ท่านจะอยู่ไปทำไม !!??