xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“กระทรวงศึกษา-ท่องเที่ยว” อ่วม “บิ๊กตู่” ทำแต้ม ปราบโกง “ขรก.สีเทา”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ถึงแม้ผลงานของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จะเจอกระแสถล่มเละ ทั้งร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งปฏิรูปชาติหน้า ทั้งเศรษฐกิจขาลง แต่สำหรับผลงานปราบโกงต้องยอมรับว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาถูกทางพอสร้างชื่อเสียงได้บ้างจากการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่มีอยู่ในมือจัดการกับปัญหานี้ แม้ว่าจะมีกรณีส่อทุจริตอุทยานราชภักดิ์ที่บรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่เกือบจะพาซวยก็ตาม

เมื่อคลำมาถูกทาง นาทีนี้ จึงเห็นการเร่งเครื่องปราบโกงของ “บิ๊กตู่” ที่เตรียมเงื้อดาบฟันรายกระทรวง โดยเฉพาะพวกที่เคยสุขสำราญกับการกินหัวคิวกันจนพุงกาง งานนี้มีหนาวแน่

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี ใช้ดาบอาญาสิทธิ์โดยใช้อำนาจตามมาตรา 44 จัดการพักงาน “บิ๊กข้าราชการสีเทา” เข้ากรุตบยุงกันเป็นทิวแถวนับร้อยๆ ราย ตามนโยบายกวาดล้างการทุจริตทั่วประเทศของ คสช.มีความคืบหน้าล่าสุดออกจากปาก นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17เมษายน 2559 ก็คือ นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ต้นสังกัดเร่งตรวจสอบการกระทำความผิดว่าข้าราชการที่อยู่ในบัญชีสีเทาเหล่านั้นว่าเข้าไปพัวพันกับการทุจริตจริงหรือไม่ ถ้าสอบแล้วพบว่าไม่เกี่ยวข้องก็จะได้คืนความเป็นธรรมให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม แต่ถ้าใช่ก็ถึงเวลาฟันไม่เลี้ยง

ย้ำชัดๆ ใครที่ไม่เกี่ยวข้องแต่ติดร่างแหมาด้วยนั้นรัฐบาลต้องล้างมลทิน ให้ โดยใช้อำนาจตามมาตรา 44 ให้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม แต่การคืนความเป็นธรรมให้กับผู้ที่ไม่ได้ทำผิดอะไรไม่ใช่แค่บอกว่าเห็นใจแต่ไม่เยียวยา หากไม่ผิดต้องเยียวยาด้วย เพราะบางคนถูกสั่งพักงานจนหมดวาระ บางคนใกล้เกษียณอายุราชการซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการท้องถิ่น ส่วนใครที่มีความผิดจริงต้องถูกลงโทษสถานหนัก

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การตรวจสอบบิ๊กข้าราชการสีเทาคราวนี้ เมื่อสืบสาวลงไปพบการโกงที่พิลึกพิลั่นเป็นมหากาพย์โกงกินกันมายาวนาน หากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เอาจริงคงได้เห็นการเช็กบิลหนักแน่

โดยหน่วยงานแรกๆ ที่ตรวจสอบเบื้องต้นเจอความอื้อฉาวในระดับตำนาน คือกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมหากาพย์โกงที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งนั้นคือ โกงการสอบที่เป็นข่าวอื้อฉาวทุกปี อีกหนึ่งคือการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะการทุจริตสั่งซื้อของเกินความจำเป็นแทนที่จะซื้อเท่าที่ใช้ประโยชน์ ทั้งอุปกรณ์การเรียนการสอน การจัดซื้อชุดนักเรียน โดยการจัดซื้อเกินใช้ไปจำนวนหลายแสนหลายชิ้นทำให้สูญเสียงบประมาณหลายร้อยล้านบาท ขณะนี้รองฯ วิษณุ บอกว่า กำลังมีการตรวจสอบอยู่ว่าซื้อเกินไปทำไมมากมาย หากตรวจสอบเสร็จแล้วจะนำของเหล่านี้มาขายเลหลัง

พล.อ.ชาตอุดม ดิตถะสิริ ประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.)ขยายความถึงความผิดปกติจากการจัดซื้อสิ่งของเกินความจำเป็นภายในหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการว่า มีการจัดซื้อชุดนักเรียนมากเกินจำเป็น เช่น มีความต้องการ 3 หมื่นชุด แต่จัดซื้อถึง 5 หมื่นชุด จนเกิดการเหลือสะสมมาตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีจึงสั่งให้กระทรวงศึกษาไปตรวจสอบและสอบสวนหาคนทุจริตมาดำเนินคดี

การประกาศเอาจริงล้างทุจริตคราวนี้ ไม่เฉพาะแต่กระทรวงศึกษาฯ เท่านั้น นายกรัฐมนตรียังสั่งการให้ทุกกระทรวงตรวจสอบ ว่ามีการกระทำผิดในลักษณะนี้อีกในกระทรวงอื่นๆ หรือไม่ รวมถึงตรวจสอบคดีที่หมดอายุความว่า มีคดีใดบ้าง ความล่าช้าอยู่ที่ใคร มีเจตนาปล่อยให้คดีหมดอายุความเพื่อไม่ให้มีผู้รับผิดชอบหรือไม่จะได้เอาตัวคนทำผิดมาลงโทษ

กรณีของกระทรวงศึกษาฯ นั้น นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงการจัดซื้อชุดนักเรียนเกินความจำเป็นของกระทรวงศึกษาฯ ว่า เท่าที่ทราบน่าจะเป็นกรณีองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) ที่มีการสั่งซื้อชุดนักเรียนเพื่อจำหน่าย และเกิดการค้างสต๊อกสะสมมาเป็นเวลา 5-10 ปี โดยมีจำนวนมากถึง 3 แสนกว่าตัว โดยไม่ได้นำของเก่าที่มีอยู่ออกมาจำหน่าย จากการพิจารณาเบื้องต้นน่าจะเป็นการสั่งซื้อมาเพื่อที่จะกินหัวคิว

มหากาพย์โกงจัดซื้อชุดนักเรียนที่ตรวจพบคราวนี้ ถึงจะตรวจสอบพบแต่ถือว่าช้าไปมาก ปลัดกระทรวงศึกษาฯ ถึงกับฟันธงล่วงหน้าไว้ว่า แม้จะสั่งการให้ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ รองเลขาธิการ สกสค. ไปตรวจสอบข้อมูล และนำเสนอรายงานผลการตรวจสอบไปยัง พล.อ. ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไปโดยเร็วที่สุดแต่เชื่อว่าคงเอาผิดผู้ดำเนินการได้ยากเพราะเป็นการสั่งซื้อที่สะสมมาเป็นเวลานาน เวลานี้ จึงเตรียมดำเนินการกับชุดนักเรียนที่องค์การค้าฯ มีการจัดซื้อจัดจ้างมาค้างไว้ในสต็อกเพื่อจัดจำหน่ายในแต่ละปีเป็นจำนวนหลายหมื่นตัวกว่า 10 ปี ยอดรวมกว่า 360,000 ตัว ออกมาจำหน่ายให้ประชาชนในราคาถูกเพื่อล้างสต็อกตามนโยบายของผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ

ไม่เฉพาะแต่ชุดนักเรียนเท่านั้น ยังมีอุปกรณ์การเรียน การสอน เช่น ซีดีสารคดี ที่จัดซื้อจำนวนมากในทุกปี และยังมีการจัดซื้อจัดจ้างหลายรายการที่ตรวจสอบพบว่าส่อไปในทางทุจริต เรื่องนี้ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)เท่าที่ สตง.เข้าไปตรวจสอบ พบว่า มีการจัดซื้อสิ่งของซ้ำซ้อนกันอีกหลายรายการ อาทิ ยากำจัดศัตรูพืช ที่ซื้อทุกปีแล้วไม่ได้ใช้งาน จากผู้ขายที่ส่วนใหญ่เป็นรายเดียวกันเกือบทุกจังหวัด มีมูลค่ารวมกันกว่า 7 พันล้านบาท ประเด็นสำคัญ คือ การจัดซื้อยากำจัดศัตรูพืชดังกล่าวยังจัดซื้อในราคาแพงกว่าราคาจริงถึง 20 เท่า โดยครึ่งหนึ่งเป็นของปลอม ชนิดที่นายพิศิษฐ์ บอกว่า หากนำทั้งหมดมาใช้คนไทยคงตายทั้งประเทศ

นอกจากนั้น สตง. ยังตรวจสอบพบการจัดซื้อเครื่องเล่นสันทนาการเด็ก ที่มีการจัดซื้อซ้ำซ้อนในกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระหว่างกรมการ ท่องเที่ยวกับกรมพลศึกษา ทำให้เครื่องเล่นบางส่วนไม่มีที่ติดตั้งในบางจังหวัด เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต้องไปติดตั้งในป่าช้า

พอเจอรายการพาดพิง นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา รีบออกมาแก้ต่างว่าการจัดซื้อเครื่องเล่นสันทนาการเด็กที่ซ้ำซ้อนกัน เป็นการจัดซื้อโดยใช้งบประมาณปี 2555-2556 ขณะนี้กระทรวงฯ กำลังตรวจสอบทั้งประเด็นจัดซื้อซ้ำซ้อน และการจัดซื้อในราคาแพงเกินจริง ขณะเดียวกัน นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ในฐานะเลขานุการ ศอตช. บอกว่า ป.ป.ท.กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)กำลังเข้าไปร่วมตรวจสอบในฐานะหน่วยงานของ ศอตช.พบว่าพื้นที่กระทำผิดส่วนใหญ่เป็นพื้นที่แถบอีสาน และภาคเหนือเป็นหลัก โดยมีเจ้าหน้าที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าไปเกี่ยวข้องเป็นส่วนใหญ่ ขณะนี้ ป.ป.ท. และดีเอสไอ สรุปสำนวนส่งให้ ป.ป.ช.ไปดำเนินการแล้ว

นั่นเป็นการขยายผลสอบจากบัญชีข้าราชการสีเทา 3 ล็อต ส่วนรายชื่อข้าราชการสีเทาล็อตที่ 4 หวยจะออกที่ใคร คนที่มีชนักติดหลังรับรองอยู่เย็นเป็นสุขได้อีกไม่นานแน่ เนื่องจากมีแต่หมากตานี้เท่านั้นที่ยังพอจะกู้หน้ารัฐบาลบิ๊กตู่ได้บ้าง และพอจะเอาไว้คุยกับนานาอารยประเทศว่ารัฐบาลที่มาจากรัฐประหารของไทยมีผลงานอวดชาวโลก ไม่ใช่มีแต่เรื่องไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างที่ชอบโจมตีกัน

ผลงานนี้การันตีโดยผลการจัดอันดับดัชนีชี้วัดคอร์รัปชั่นโลก ประจำปี 2558 โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ที่จัดอันดับประเทศไทยได้ 38 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 ถือเป็นอันดับที่ 3 ในกลุ่มประเทศอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย และอันดับที่ 76 จากประเทศทั่วโลก ขยับขึ้นมาจากเดิมถึง 9 อันดับ

การจัดอันดับที่ทำให้ประเทศไทยขยับดีขึ้น จะมากน้อยถือเป็นผลจากที่ผ่านมารัฐบาลได้ประกาศให้การต่อต้านทุจริตเป็น “วาระแห่งชาติ”และขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ เพื่อต่อสู้กับการทุจริต เช่น ตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(คตช.)ตั้งคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ(คตร.)การโยกย้ายข้าราชการที่ได้รับการร้องเรียนหรือมีข้อมูลว่ามีพฤติกรรมส่อทุจริต เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น ประสานกับหน่วยงานเดิมที่มีอยู่แล้ว คือ ป.ป.ช. ดีเอสไอ และ ป.ป.ท.มีการกำหนดให้ทำสัญญาคุณธรรมว่าจะไม่มีการรับหรือให้สินบน

กระนั้นก็ดี การปราบโกงของรัฐบาลบิ๊กตู่ จะสามารถโอ้อวดเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงต่อชาวไทยและชาวโลกได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า “บิ๊กตู่” กับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องตรวจและจัดแถว “บิ๊กๆ” ให้ดีและ “ไม่มีสองมาตรฐาน”

ที่สำคัญก็คือ เครือข่ายการโกง ไม่ได้มีแต่นักการเมือง ข้าราชการ แต่ยังมีเอกชน เข้าร่วมอยู่ด้วย หากจะปราบจริงก็ต้องจัดการทั้งผู้ให้และผู้รับและผู้มีอำนาจที่เปิดไฟเขียวให้ไปพร้อมๆ กันแบบถ้วนหน้า



กำลังโหลดความคิดเห็น