xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนปูมหลัง"เสี่ยแดง–พิชัย" ก่อนมาเป็นหนามยอกอกคสช.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อีกเพียงเดือนเศษก็จะครบ 2 ปีเต็มที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ายึดอำนาจปกครองและใช้อำนาจที่มีอยู่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จัดรูปแบบการบริหารบ้านเมืองให้ดำเนินไปตามแบบฉบับของ“โรดแมป คสช.” โดยมีภารกิจเพื่อส่งมอบบ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ
หากจัดอันดับ“ขาประจำ”ที่มักออกมาวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินงานของคสช.อย่างต่อเนื่อง คงต้องยกให้กับฝ่ายตรงข้ามอย่าง“ทีมเพื่อไทย”ที่ถือว่าเป็นผู้เสียประโยชน์โดยตรง กับการเข้ามายึดอำนาจของคสช. ตัวหลักๆ ที่โดดเด่นก็มี อาทิ วัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย ที่ช่วงหลักติดลมบน ใช้พื้นที่เฟซบุ๊กวิพากษ์ คสช. ในหลายเรื่องอย่างเสบๆ คันๆ โดยเน้นไปในเรื่องการเมือง และการร่างรัฐธรรมนูญเป็นหลัก เช่นเดียวกับปีกของนปช.อย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ - ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รวมไปถึง วรชัย เหมะ ที่เพิ่งถูกเรียกเข้าค่ายทหาร ปรับทัศนคติไปเมื่อไม่นานมานี้ ก็สลับหน้าออกมาแสดงทัศนะยามที่มีประเด็นน่าสนใจ
แต่ในมุมเศรษฐกิจแล้ว คงต้องยกให้“เสี่ยแดง”พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงาน ซึ่งเป็นคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ที่กลายเป็น“ขาประจำตัวจริง”ครองสถิติถูกเรียกเข้าปรับทัศนคติมากที่สุด ถึง 7 ครั้ง โดยครั้งล่าสุด เมื่อช่วงเดือนกันยายน 2558 ถูกควบคุมตัวอยู่ถึง 7 วัน จนเกิดกระแสเรียกร้องจากทั้งภายใน และภายนอกประเทศ ให้ปล่อยตัวนายพิชัย อย่างมากมาย
**ข้อท้วงติง เสนอแนะ ของ“พิชัย”เกือบทั้งหมดเป็นเรื่องเศรษฐกิจล้วนๆ จนถูกยกให้เป็น“กูรูเศรษฐกิจ”อีกตำแหน่ง มีผลงานทำนายเศรษฐกิจแม่นยำแบบชนิดที่ทิ่มเข้าไปในใจของบรรดา“บิ๊กคสช.”จนมีการพูดกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.ถึงขนาดต้องเอ่ยชื่อ และบ่นถึงอยู่บ่อยครั้ง
จริงๆแล้ว คำทำนายเศรษฐกิจของ พิชัย ก็ไม่ได้ลึกลับซับซ้อน เพียงแต่นำข้อมูลทางเศรษฐกิจต่างๆ มาประเมินแนวโน้ม ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่ก็นำมาจากหน่วยงานภาครัฐ พูดอีกนัยหนึ่งก็เป็นการนำความจริงออกมาเปิดเผยเท่านั้น ตรงนี้เองที่ทำให้ไม่เป็นที่ถูกใจของ บิ๊กคสช. เพราะขัดกับสิ่งที่ทางรัฐบาลและ คสช. พยายามจะสื่อสารออกมา
น่าสนใจว่า ยิ่งนายพิชัยถูก คสช.เพ่งเล็งมากเท่าไร ก็ยิ่งสร้างชื่อเสียงให้กับนายพิชัย มากยิ่งขึ้น จนเป็นที่ยอมรับขององค์กรระหว่างประเทศ ทั้งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล ฮิวแมนท์ไรท์วอทช์ เอกอัครราชทูตประเทศมหาอำนาจ และสภาคองเกรส ของสหรัฐฯ ต่างส่งหมายเชิญ หรือขอเข้าพบ เพื่อขอรับทราบสถานการณ์ในประเทศไทยบ่อยครั้ง
แต่ในทางกลับกันก็ต้องยอมรับว่า การคาดการณ์ของนายพิชัย ถือเป็นฝันร้ายของใครหลายๆ คน เพราะแต่ละข้อมูลที่หยิบยกขึ้นมาล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยลบ ที่ทำลายขวัญ-กำลังใจ ผู้คนเป็นอย่างมาก ในยามเศรษฐกิจซบเซาตกต่ำ จนเจ้าตัวเคยพูดเล่นในทำนองว่า ไม่อยากให้คำทำนายของตัวเองเป็นจริง เผื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศไทย จะได้ดีขึ้นบ้าง
หากย้อนดูที่มาที่ไปของ นายพิชัย แล้วก็จะพบว่าเขาเติบโตและมีชื่อเสียงในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ก่อนที่จะมีชื่อเข้าสู่การเมืองครั้งแรก ในฐานะ“บุคคลโนเนม”ที่จะมาเป็น รมว.ไอซีที ในโควต้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ช่วงปี 2551 แต่แล้วชื่อก็หลุดหายไปในโค้งสุดท้าย ก่อนที่จะได้เป็น รมช.คลัง แต่ก้นยังไม่ทันร้อน นายสมัคร ก็ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง เบ็ดเสร็จได้เป็นเสนาบดีครั้งแรกเพียงแค่เดือนเศษ
จึงถูกสื่อหลายแขนงแซวว่า 30 กว่าวัน ที่เป็นรัฐมนตรีเท่ากับเสียรถเบนซ์ไปวันละคัน แม้เวลาสั้นๆแต่ก็ใช่ว่าไม่มีผลงาน ช่วงนั้นมีการเสนอนโยบายที่น่าสนใจ อาทิ การตั้งกองทุนเพื่อซื้อทรัพย์สินราคาถูกจาก บริษัท เลย์แมนบราเดอร์ ที่ล้มละลายในวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ และการใช้พื้นที่ใต้ทางด่วนให้ประชาชนขายของ ของกรมธนารักษ์ เป็นต้น
** หลังจากนั้นชื่อของนายพิชัย ก็โผล่ไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย โดยรู้กันว่าเป็นหนึ่งในนายทุนคนสำคัญของพรรค มีชื่อติดในการบริจาคเงินเข้าพรรคหลายหน
การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของนายพิชัย ไม่ใช่เพิ่งมาเกิดในช่วงรัฐบาลคสช.เท่านั้น แต่ในสมัยที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน นายพิชัย ก็วิพากษ์วิจารณ์การดำเนินเศรษฐกิจของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างดุเดือด และต่อเนื่อง ถึงขนาดรวมเล่มการวิจารณ์ผลงานเศรษฐกิจ และการเมืองของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในหนังสือ ชื่อ “เศรษฐกิจคิดแบบแดง”ที่รวบรวมข้อคิดเห็น ตั้งแต่เศรษฐกิจดิจิตอล อีคอมเมอร์ซ พลังงานทดแทน และความสำคัญด้านความสัมพันธืกับประเทศมหาอำนาจ
ต่อมาในช่วงหาเสียงเลือกตั้งปี 2554 นายพิชัย ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวยืนของพรรคเพื่อไทย ในเวทีโต้วาทีทางเศรษฐกิจ ทางโทรทัศน์ เรื่องที่คนจำได้มากที่สุดคือ การโต้วาทีเรื่องบัตรเครดิตการ์ดชาวนา และโครงการจำนำข้าว ในรายการเล่าข่าวชื่อดัง ทำให้มีชื่อติดหางเลขว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการจำนำข้าวที่อื้อฉาวไปด้วย แม้ว่าจะไม่ได้ถูกมอบหมายให้ทำในเรื่องนี้ก็ตาม
ในการเลือกตั้งปี 2554 นายพิชัย ไม่ได้เป็นส.ส. เพราะแม้จะเป็นคีย์แมนทางเศรษฐกิจของพรรค แต่กลับมีชื่อเป็นผู้สมัครในระบบปาร์ตี้ลิสต์ อันดับ 124 หรืออันดับรองบ๊วย ซึ่งคาดหมายไว้ก่อนหน้านั้นว่า ถูกวางตัวให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ก่อนที่จะได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น รมว.พลังงาน ในการจัดตั้งรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ 1
บทบาทสมัยเป็นรมว.พลังงาน ของพิชัย ค่อนข้างโดดเด่น มีนโยบายต่างๆ ออกมามากมาย ตั้งแต่การยกเว้นการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินลดลงทันที 6-8 บาท ในช่วงไม่กี่วันแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง และยังถือเป็นนโยบายแรกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วย แต่ปรากฏว่า ทำให้น้ำมันเบนซินถึงกับขาดตลาด จนถูกโจมตีว่าไม่ส่งเสริมพลังงานทดแทน ก่อนที่จะมีการยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 ทำให้มีการใช้ เอทานอล เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว ลบข้อครหาเรื่องการไม่ส่งเสริมพลังงานทดแทนไปได้
นอกจากนี้ ยังมีโครงการออกบัตรเครดิตการ์ดพลังงานให้กับผู้ขับรถแท๊กซี่ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากขาดระบบควบคุม จนก่อให้เกิดหนี้เสียจำนวนไม่น้อย
ที่คนจดจำได้มากที่สุดในสมัยเป็น รมว.พลังงาน คงเป็นเสนอให้ใช้พื้นที่ที่ทำการกระทรวงพลังงาน ถ.วิภาวดีรังวิต เป็นศูนย์บัญชาการป้องกันน้ำท่วม ในช่วงมหาอุทกภัย แทนท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งรัฐบาลใช้เป็นศูนย์บัญชาการ จนกระทั่งผ่านพ้นจากวิกฤต
นอกจากงานด้านบริหารแล้ว บทบาทในสภา นายพิชัยก็โดดเด่นไม่น้อย สามารถปะทะฝีปากกับส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้อย่างถึงพริกถึงขิง อย่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่เกี่ยวข้องกับถุงยังชีพของกระทรวงพลังงาน ก็ถูกนายพิชัย เปิดโปงกลับถึงเรื่องการข่มขู่เรียกถุงยังชีพของส.ส.ฝ่ายค้าน จนทำให้ครั้งนั้น เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจพรรคประชาธิปัตย์ไปแทน
ช่วงท้ายในตำแหน่ง รมว.พลังงาน นายพิชัยเริ่มแตะของร้อน โดยเริ่มปรับราคาก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) ที่ใช้กับรถยนต์ เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เหมือนกับที่รัฐบาลคสช. ดำเนินการในตอนนี้ แต่ในขณะนั้นได้เกิดกระแสต่อต้านทักท้วงอย่างหนัก มีการนำมวลชนปิดถนนวิภาวดีรังสิตเพื่อประท้วงจนโครงการต้องระงับไป
ต่อมาไม่นานนายพิชัย ก็ถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรีอย่างเหนือความคาดหมาย และค้านสายตาสื่อหลายฉบับ
**เบื้องลึกเบื้องหลังขบวนการเขี่ยนายพิชัย ตกเก้าอี้ครั้งนั้น ว่ากันว่าเกิดจาก คนในพรรคไม่พอใจบทบาทของนายพิชัย ในช่วงแก้ไขปัญหาน้ำท่วมใหญ่ รวมทั้งมีการวิเคราะห์ด้วยว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เดินหมากพลาดในการปรับนายพิชัยออกจากตำแหน่ง เพราะหลายนโยบายของนายพิชัย สามารถสร้างกระแสกลบประเด็นที่รัฐบาลถูกโจมตี รวมทั้งยังมีบทบาทในการออกมาตอบโต้ ในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
หลังจากหลุดออกจากครม. นายพิชัย ก็หายเงียบไปพักใหญ่ จนกระทั่งมีการประท้วงขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนว่า การประท้วงจะส่งผลรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และจะนำไปสู่การรัฐประหาร ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจจะยิ่งทรุด จนเมื่อคสช.เข้ายึดอำนาจ นายพิชัย ก็ยังให้ความเห็นวิจารณ์เศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นขาประจำของการถูกเรียกปรับทัศนคติ ซึ่งทุกๆครั้ง เจ้าหน้าที่ทหารจะสอบถามความเห็นทางเศรษฐกิจในแง่มุมต่างๆ จนมีการเชิญไปออกรายการเดินหน้าประเทศไทยของคสช. แต่ก็มีการขอความร่วมมือไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์ใดๆ กับสาธารณะอีก
แม้จะให้ความร่วมมือกับคสช.ในการหยุดให้ข่าวอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า นายพิชัย ยังมีชื่อปรากฏในหน้าสื่ออย่างต่อเนื่อง ลงข่าวได้ในสื่อแทบทุกฉบับ และในทุกเว็บข่าวไม่เคยขาด จนหลายคนคิดไปว่า มีการจ้างเอเยนซี่ ช่วยประสานงานกับสื่อมวลชนด้วยซ้ำ
แต่หากได้ติดตามผลงานของของนายพิชัย ก็จะพบว่า ความโดดเด่นจนได้รับความสนใจจากทั้งสื่อ และองค์กรต่างประเทศ หรือกับคนฝั่งตรงข้ามที่ไม่เชียร์ แต่ก็ไม่เกลียด ต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้แค่ความกล้าหาญออกมาวิพากษ์วิจารณ์ คสช. หรือต่อสู้กับอำนาจคณะรัฐประหารเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะการต่อสู้ในเชิงความคิด ใช้หลักการ และข้อมูล ต่างจากการวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะบู๊ล้างผลาญ ด่าเอามัน ตามสไตล์นักการเมืองปกติ เหมือนกับหลายคนในพรรคเพื่อไทย
**การวิพากษ์วิจารณ์โดยยึดโยงข้อมูลข้อเท็จจริง จึงเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในทางสร้างสรรค์ และเป็นแนวทางการทำงานการเมืองที่สอดคล้องกับกระแสการปฏิรูปประเทศ เพราะเชื่อว่าประชาชนส่วนมาก คงอยากเห็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีความคิดหลากหลายเข้ามาสู่การเมืองกันมากๆ เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับประชาชน ให้เกิดกระแส“นักการเมืองน้ำดี”มากกว่า“นักการเมืองน้ำเน่า”ที่ดีแต่ตีฝีปากอย่างเช่นในอดีตที่ผ่านมา
กำลังโหลดความคิดเห็น