xs
xsm
sm
md
lg

สัญญาณเผชิญหน้าปะทุ!! ยิ่งบีบ ยิ่งทุบ มวลชนยิ่งแรง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**กระแสเริ่มติด มวลชนบางกลุ่มเริ่มมีอารมณ์ต่อต้านร่วมกับวิธีทำงานแบบเผด็จการของคสช. กระบองอาญาสิทธิ์ มาตรา 44 ชักไม่มีความเข้มขลัง กลับกัน ไปๆ มาๆ มีแต่คนอยากลองของ เพราะรู้ว่า ท็อปบูตไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่าการควบคุมตัว แล้วปล่อยออกมาโดยเร็ว
ขณะเดียวกัน ยิ่งทหารเป็นโรคขี้ตกใจมากเท่าไหร่ ประเภทเอะอะเข้าล็อกตัวมันลูกเดียว ยิ่งจะเป็นผลเสียในมิติของการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานของประชากรในประเทศนี้ ที่ไม่ชอบให้ใครบังคับ หรือจ้ำจี้จ้ำไช อะไรมากเกินไป
การแก้ไขปัญหาแบบทหารในช่วงที่ผ่านมาเข้าทางฝ่ายการเมืองที่เชี่ยวกรากและเหลี่ยมคูมากกว่า หลายๆครั้งตกเป็นเหยื่อของหลุมพรางแบบไม่น่าเชื่อ
โดยเฉพาะกรณี "สองเกลอหัวขวด" จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แสร้งทำจะเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์เพื่อตรวจสอบ หรือ "จ่านิว" สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ แกนนำนักศึกษา จัดอีเวนต์นั่งรถไฟไปส่องไฟฉาย ทั้งๆ ที่หากปล่อยไป เรื่องอาจจะไม่เปรี้ยงขนาดนี้
รัฐบาลหลงเกมของฝ่ายตรงข้ามแบบเต็มประตู เพราะคิดว่าพระเดชอย่างเดียวจะสามารถกดทุกอย่างไว้ในอุ้งมือได้ แต่ไม่ใช่เลย หากวันนั้นรัฐบาลปล่อยให้คนเหล่านี้เดินทางไปถึง ก็ไม่มีน้ำยาจะทำอะไรได้ นอกจากอีเวนต์ธรรมดา เพราะไม่มีข้อมูลอะไรอยู่ในมือเลย เห็นได้จากวันที่ “บิ๊กต๊อก”พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เรียกสองเกลอเข้าไปคุย สุดท้ายทั้งคู่มีแต่ข้อสังเกตอย่างเดียว ห้วนๆ ซึ่งมันก็สะท้อนเจตนาครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี
**แต่พลันที่รัฐบาลตัดสินใจผิดพลาด ทำให้กองฟอนเล็กๆ ลุกลามเป็นไฟลามทุ่ง การสกัดกั้นเป็นเหมือนว่ารัฐบาลกำลังปกปิดความจริงอะไรบางอย่าง ไม่แสดงความบริสุทธิ์ใจหากจะถูกตรวจสอบจากสังคม การเข้าไปแตะต้องคนพวกนี้ยังเข้าทางโจร ให้เรียกร้องความสนใจจากชาวบ้านชาวช่องได้เต็มปากเต็มคำ แล้วยังเป็นการเปิดประตูบ้านให้ฝรั่งมังค่าเข้ามากดดันรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นกรณีของทูตสหรัฐอเมริกา หรือทูตอังกฤษเอง
หรือแม้แต่กรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เตรียมจะงัดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เล่นงานพวก กดแชร์ กดไลค์ เพจ หรือข้อความหมิ่นสถาบันฯ ร้อยกว่าคน แล้วเตรียมจะหว่านแห กวาดหมด จนกลายเป็นกระแสต่อต้านในโลกโซเชียลมีเดีย และบางส่วนในสังคมว่า ลุแก่อำนาจมากเกินไปหรือไม่ ซึ่งมีผู้เตือนว่า อาจเป็นการหวังดีประสงค์ร้าย เพราะมันยิ่งทำให้คนพวกนี้หยิบจับประเด็นไปบิดเบือน หรือสร้างวาทกรรมกลับมาเล่นงานรัฐบาลมากกว่าเดิม ซึ่งมันอาจหมายรวมถึงการขยายกลุ่มของคนไม่เห็นด้วย ให้มีจำนวนมากกว่าพวกต่อต้านขาประจำอยู่แล้ว
ความท้าทายต่อกระบองอาญาสิทธิ์ของ คสช. มีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อความชอบธรรมของ คสช. ถูกตั้งคำถาม อันมีมูลเหตุมาจากปมราชภักดิ์ ที่เคลียร์ไม่จบ ออกมาในลักษณะหมกเม็ด ปกป้องพวกเดียวกัน แล้วยังไล่ทุบฝ่ายตรงข้ามแบบไม่เลือกหน้า ทำให้สัญญาณความขัดแย้งระหว่างมวลชนกับผู้มีอำนาจรัฐ ส่อเค้าจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
**นั่นแสดงให้เห็นว่า ยุทธวิธีไล่ทุบ ไล่บีบ กลายเป็นตัวกระตุ้นให้ปัญหาแรงขึ้นมากกว่าสยบปัญหา
สถานการณ์ปัจจุบันเข้าเค้าของสงครามเย็นไปทุกวัน มีการเล่นสงครามประสาท สงครามข่าวสาร หนักขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งดูว่าฝ่ายการเมืองจะนั่งท้องคัดท้องแข็งกับแผนขุดบ่อล่อปลา แล้วมีปลาใหญ่กระโดดเข้ามาหลงกลทุกรอบ หากเป็นอย่างนี้การเผชิญหน้าย่อมเกิดได้ในอนาคตอันใกล้ เพียงแต่ขณะนี้เงื่อนไขที่สุกงอมพอจะทำให้ไปถึงจุดนั้นยังไม่มากพอ เหลือแค่รอสถานการณ์จะร้อน หรือมีทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ แรงๆ เกี่ยวกับรัฐบาลขึ้นมาเมื่อไหร่
ตามสัญญาณแรงๆ บ่งชี้ว่า ต้นปีหน้าฝ่ายตรงข้ามจะรุกหนักยิ่งกว่าท้ายปีนี้ เพราะมีเรื่องมีเงื่อนไขให้กระโดดลงไปผสมโรงได้เพียบ ตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับของ ซือแป๋มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่จะเห็นหน้าเห็นตากันว่า จะมีประเด็นอะไรเป็นสายล่อฟ้า ให้หมาล่าเนื้อหยิบไปขย้ำก่อนทำประชามติ แล้วยังมีประเด็นเรื่องภัยแล้งที่หนักหนาสาหัสในรอบสิบปีที่รอท้าฝีมือรัฐบาลในการบริหารจัดการน้ำและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
ขณะเดียวกัน ก็ต้องระมัดระวังตัวเอง สร้างภูมิคุ้มกัน เรื่องทุจริตต่างๆจะต้องไม่เกิดขึ้นในรัฐบาลคนดีชุดนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่า หลังๆ มานี้ไม่ใช่แค่เรื่องราชภักดิ์เท่านั้น แต่มีเสียงซุบซิบนินทาว่า คนสนิทของผู้มากบารมีในรัฐบาล ก็ไปมีนอก มีใน ในหลายๆ เรื่อง แอบอ้างชื่อหากินกันสารพัด ภาพลักษณ์มีแต่ลบกับลบ ดังนั้น ต้องเฝ้าระวังองคาพยพไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับของโสมม เพราะหากมีเรื่องทุจริต ไม่ว่าจะโกงกี่บาท กี่สตางค์ คือ ชั่วเท่ากัน เพราะจิตใจสกปรก หากเกิดขึ้นในยุคนี้บอกได้เลย รัฐบาลพังอย่างไว กระบองอาญาสิทธิ์จะเป็นแค่ไม้ตีหมา!
**“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ต้องเลิกเกรงอกเกรงใจเพื่อนพ้องน้องพี่ หากเห็นว่าใครคือเนื้อร้าย ต้องรีบทำการผ่าตัด เขี่ยกระเด็นไปให้พ้นวงโคจร อย่ายื้อยุดฉุดกระชาก ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกับกรณีราชภักดิ์ ที่ทุกวันนี้ยังพายเรืออยู่ในอ่าง หาทางออกไม่เจอ เหลือทางเดียวคือ ผลสอบต้องออกมาเคลียร์ แจงกันได้หมด ผิดว่าตามผิด แสดงสปิริตกันไปเลย
ขณะที่กำหนดการเลือกตั้งก็สำคัญ รัฐบาลต้องชัดเจนว่าจะมีเมื่อไหร่ อย่างน้อยก็ลดแรงกดดันจากต่างชาติได้ ไม่ต้องตามตื๊อกันทุกวันทุกเวลา ไม่ใช่เวลาเกิดปัญหากระทบกระทั่งอะไร ใครวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที ก็ตบะแตกขู่ฟ่อจะเลื่อนมันอยู่ร่ำไป คนก็ไม่มั่นใจ นักลงทุนนักธุรกิจขวัญหนีดีฝ่อกันหมด คนนินทาตกลงรัฐบาลคดในข้องอในกระดูก มีเจตนาอะไรแอบแฝงหรือไม่ หรือจ้องจะลากยาวอย่างที่เขาเหยียดหยันกัน
ไม่มีความแน่นอนให้เลือกตั้งงานจะเข้า คนไม่มีเข็มทิศ ไม่รู้จะวางแผนชีวิตอย่างไร ยิ่งสภาพในประเทศง่อนแง่น ไม่มีทางเลือก นอกจากออกมาสู้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่าลืมว่า คนสิ้นหวังมักจะทำอะไรก็ได้ที่คาดไม่ถึง เพราะมีชีวิตอยู่แบบกระท่อน กระแท่น ตกระกำลำบาก ไม่มีความหวัง ไม่เห็นแสงปลายอุโมงค์ ไปตายดาบหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไป
**รัฐบาลต้องปรับกระบวนท่า อย่าให้ถึงนาทีวิกฤตินั้น เพราะมันอันตราย นอกจากจะต้องแยกย้ายไปเลี้ยงหลานแล้ว ยังต้องนอนเลียแผลชอกช้ำระกำใจ ถามตัวเองไปจนวาระสุดท้าย เราไปช่วยชาติให้เดินหน้า หรือถอยหลังกันแน่นะ !!
กำลังโหลดความคิดเห็น