MGR Online - “ตู่ - เต้น” เดินทางเข้าพบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยื่นหลักฐานตรวจสอบการทุจริตอุทยานราชภักดิ์ โดยทั้งสองฝ่ายเน้นการเจรจารายละเอียด 3 ประเด็น ด้าน “พล.อ.ไพบูลย์” เผย มีการทุจริตแน่นอน แต่ต้องใช้เวลาหาคนกระทำผิดให้ได้ หากพบใครกระทำผิดต้องถูกลงโทษ
วันนี้ (9 ธ.ค.) เวลา 13.30 น. สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงยุติธรรม ชั้น 9 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา แจ้งวัฒนะ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) พร้อมด้วย นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พ.อ.นิวัตร มีนะโยธิน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม พ.ท.กรทิพย์ ดาโรจน์ รองเลขาธิการ ป.ป.ท. นายฉัตรชัย ยอดอุดม รองเลขาธิการ ป.ป.ท. ร่วมพูดคุยกับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่ม นปช. และคณะ เดินทางมามอบหลักฐานการทุจริตโครงการอุทยานราชภักดิ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้เวลาเจรจาร่วม 2 ชั่วโมง
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า วันนี้ทั้งสองท่านได้ใช้ช่องทางการเจรจากัน และมีการพูดคุยรายละเอียดค่อนข้างนาน 3 ประเด็น คือ 1. ยื่นเอกสารให้กับ ศอตช. เพื่อประกอบการทำงานของ ศอตช. ซึ่งมี ผู้ว่าการ สตง. รองเลขาธิการ ป.ป.ท. ร่วมตรวจสอบข้อสังเกตแต่ละจุด การสอบสวนแต่ละเรื่องที่ไม่มีหลักฐานชี้ชัด ข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงานรัฐบาลและเอกชนที่มีการบริจาคงบประมาณ ข้อมูลเกี่ยวกับการหล่อพระบรมรูป ถือว่ามีประโยชน์
“2. ใช้ช่องทางการพูดคุยประสานช่วยกันตรวจสอบ รวมทั้งไม่มีประเด็นอื่นมาผูกพันเกี่ยวกับที่เป็นข่าวมาก่อนแล้ว เหมือนกับคดี ศอตช. ก็ใช้ช่องทางนี้ โดยการพูดคุยไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแต่จะติดตามเป็นระยะหากมีข้อสังเกตเพิ่มเติมมาพบได้ และ 3. ทาง สตง. กับ ป.ป.ท. ได้เข้าชี้แจงขั้นตอนการทำงานมีอะไรบ้าง ข้อสังเกตสอดคล้องกัน รวมทั้งยังมีการซักถามการจัดซื้อจัดจ้าง แลกเปลี่ยนความคิดเห็น” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวอีกว่า การเดินทางมาวันนี้ของทั้งสองท่าน เพื่อพูดคุยรายละเอียดเชิงลึกลงไปในพิธีการที่ใช้กัน เช่น เงินบริจาคทางราชการใช้งบประมาณส่วนไหนผ่านทางกองทัพบก เป็นต้น ไม่ได้มีการขัดแย้ง เพราะเข้าใจแง่กฎหมายและเพื่อต้องการตรวจข้อมูลหลักฐาน นอกจากนี้ ทั้งสองท่านเหมือนตัวแทนภาคประชาชนเข้ามาช่วยกันทำงานและบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองแค่มุ่งหาคนกระทำผิด เพราะทราบแน่นอนว่ามีการทำผิดเกิดขึ้น โดย ศอตช. ซึ่งมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมอยู่ด้วยจะตรวจสอบให้พบช่วงไหนมีการกระทำผิดและใครเป็นผู้รับผิดชอบต้องคอยดูเนื่องจากเอกสารมีจำนวนเยอะ
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับยอดเงินการรับบริจาคนั้นได้พูดคุยกับ ทาง ผู้ว่าการ สตง. ให้ประสานกับกองทัพบกเพื่อตรวจหลักฐานย้อนหลังและช่วงวันปิดรับบริจาค ส่วนเรื่อง “จ่านิว” นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ แกนนำนักศึกษากลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ทั้งสองท่านบอกไม่รู้จักแต่ขอความร่วมมือเข้ามาพูดคุยชี้แจงทำไมไม่ใช้ช่องทางนี้ เพราะทำให้เกิดความเรียบร้อย ซึ่งการตรวจสอบสามารถนำ ตัวเลข หนังสือ วันเวลา มาให้เป็นข้อมูลได้ อย่าไปใช้ช่องทางอื่นเลย โดยทั้งสองท่านที่มาวันนี้ก็ได้รับข้อมูลจากทางเรานับเป็นตัวอย่างที่ดีในการปรองดอง
“เห็นเป็นเยาวชนไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวมากใช้ช่องทางพูดคุยกันดีกว่า อย่างไรก็ตาม หากตรวจสอบพบใครกระทำผิดก็ต้องถูกลงโทษทั้งหมด พี่น้องประชาชนมั่นใจได้การตรวจสอบมีความตรงไปตรงมาและมีเหตุผล” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวปิดท้าย
ด้าน นายจตุพร กล่าวว่า ขอขอบคุณคณะกรรมการ ศอตช. ที่ร่วมกันรับฟังและแสดงความคิดเห็นในแต่ละประเด็นอย่างชัดเจน สำหรับหลักฐานที่พวกตนนำมาวันนี้ยอมรับว่าไม่มีทางครบถ้วน 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะเป็นเรื่องอยู่ในกลไกของรัฐ โดยเฉพาะกองทัพบก รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ แต่พวกตนได้นำตัวอย่าง ประกอบด้วย หลักฐานบางส่วนเพื่อเป็นต้นทางในการสืบสวน สอบสวน เพื่อให้กลไกของรัฐและองค์กรที่มีหน้าที่จะสามารถเดินเรื่องต่อไปได้ เพราะกรณีของอุทยานราชภักดิ์นั้นเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่จะเป็นเรื่องการเมือง ฉะนั้น เรื่องนี้จะจบลงได้ด้วยการทำความจริงให้ปรากฏ ซึ่งทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและคณะก็มองปัญหาเรื่องนี้ในฐานะเป็นความร่วมมือของคนไทยแต่ละฝ่าย
นายจตุพร กล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญการทำเอ็มโอยู ร่วมกับ 5 ธนาคาร แม้ว่าจะเปิดบัญชีกับธนาคารทหารไทย ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น เราต้องยอมรับว่า หากไม่มีคดีแอบอ้างเบื้องสูงแล้ว คดีทุจริตอุทยานราชภักดิ์คงไม่มีวันที่ประชาชนจะรับรู้ได้เลย แต่ว่าเรื่องนี้มันได้ลุกลาม เพราะว่ามีตัวละครเดียวกัน และกระบวนการเดียวกัน แต่เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมาแล้ว ต้องขอขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่ได้รับฟังปัญหาและมอบหมายหน่วยงานตามกลไกลงไปตรวจสอบเรื่องราวต่าง ๆ
“ผมยืนยันว่า มาวันนี้ไม่ได้ต้องการตั้งธงว่าใครเป็นคนผิด ถ้าเอาสำนวนแบบ พล.อ.ประยุทธ์ คือ ไม่ผิดแล้วหนีทำไม แต่ว่าการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดให้มีการพูดคุยและเชื้อเชิญเปิดโอกาสว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย หากมีหลักฐานในช่วงจังหวะเวลาใดก็ให้นำมามอบให้ได้ทุกกรณี หรือมีข้อสงสัยอะไรก็ให้นัดหมายกันได้โดยตลอด” นายจตุพร กล่าว
ทางด้าน นายณัฐวุฒิ เผยว่า การดำเนินการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ อยู่ในความรับผิดชอบกองทัพบก ไม่ใช่มูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ เป็นผู้รับผิดชอบ เนื่องก่อตั้งหลังการก่อสร้างดำเนินการมาแล้ว มีการโยกงบประมาณของกระทรวงกลาโหม มีเอาทหารนายสิบมาร่วมงานวันเปิด เกณฑ์มานั่งให้เต็ม ข้อมูลนี้มาจากทหาร เรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งบ่งชี้ว่ามีความขัดแย้งและไม่พอใจทหารบางส่วนในกองทัพ
นายณัฐวุฒิ เผยอีกว่า นายทหารบางคนก็ไม่ไปร่วมงานด้วย เงินบริจาคดังกล่าว เมื่อเข้าบัญชีต้องมีการทำรายรับรายจ่ายให้ชัดเจน เนื่องจากเป็นเงินหลวง ตั้งแต่มีการออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับคดีอุทยานราชภักดิ์ รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรที่เป็นรูปธรรมในการติดตามผู้ต้องหามาลงโทษ อีกทั้งขบวนการตรวจสอบ ไม่ใช่ขวบการปกติตรวจสอบ เนื่องจากขบวนการตรวจถูกลดความเชื่อมั่น เสนอให้ ศอตช.เปิดกว้าง ให้ตัวแทนภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนตรวจสอบ เสนอให้มี 3 ฝ่าย
“1. สื่อมวลชน 2. นักวิชาการที่มีความรู้และความสามารถเชี่ยวชาญเรื่ององค์พระ 3. ภาคเอกชน รมว.ยุติธรรม รอเวลาตรวจสอบระเบียบก่อน ว่า สามารถทำตามข้อเรียกร้องได้หรือไม่ ทั้งนี้ ไม่มีเจตนาเคลื่อนไหวเพื่อเป็นเกมการเมือง เพราะเรื่องนี้มันใหญ่เกินกว่าจะเป็นการเมือง กลุ่ม นปช. เพิ่งเข้ามาตรวจเคลื่อนไหว หลังจาก รมช.กลาโหม ออกมายอมรับว่ามีการหักหัวคิวในโครงการดังกล่าว” นายณัฐวุฒิ กล่าว