การเมืองในสหรัฐอเมริกากำลังเป็นที่จับตาแบบแทบไม่กะพริบของชาวอเมริกัน การแข่งขันภายในของพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคเพื่อเป็นตัวแทนเข้าช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเข้มข้นขึ้นทุกวัน เรื่องราวของการแข่งขันนั้นเป็นข่าวใหญ่รายวันจนกลบข่าวเกี่ยวกับการแข่งขันในการเลือกตั้งอื่นๆ ซึ่งจะมีขึ้นพร้อมกันแทบหมด เรื่องราวเกี่ยวกับการแข่งขันภายในของพรรคใหญ่สองพรรคในปีนี้ มีความแปลกใหม่หลายอย่างซึ่งอาจมองได้จากหลายแง่มุมทำให้การแข่งขันเป็นข่าวใหญ่มากกว่าที่เคยเป็นมาและน่าติดตามเป็นพิเศษ
การแข่งขันทางด้านพรรคเดโมแครตเหลือผู้เข้าแข่งขันเพียงสองคน ผู้มีคะแนนนำหน้าและคอการเมืองจำนวนมากมองว่าจะเป็นตัวแทนของพรรคเข้าช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นอดีตสตรีหมายเลขหนึ่งฮิลลารี คลินตัน หากได้รับคัดเลือก เธอจะเป็นสตรีคนแรกที่เป็นตัวแทนของพรรคใหญ่เข้าช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี นอกจากความเป็นสตรีแล้ว อาจพูดได้ว่าฮิลลารี คลินตัน ไม่มีอะไรแปลกใหม่เนื่องจากจุดยืนและแนวนโยบายของเธออยู่ภายในกรอบพรรค หรืออาจจะเรียกเธอว่าเป็นนักการเมืองกระแสหลักของพรรคก็ได้
เบอร์นี แซนเดอร์ส เป็นคู่แข่งขันที่มีคะแนนตามฮิลลารี คลินตัน อยู่มากทำให้คอการเมืองส่วนใหญ่มองว่ายากที่เขาจะได้รับคัดเลือก อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังๆ นี้คะแนนของเขาตีตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ ฉะนั้น หากฮิลลารี คลินตัน มีอันต้องสะดุดสิ่งที่ยังมองไม่เห็นในขณะนี้ เบอร์นี แซนเดอร์ส อาจแซงหน้าก่อนถึงเวลาคัดเลือกตัวแทนในการประชุมใหญ่ของพรรคในเดือนกรกฎาคมก็ได้ จุดยืนและแนวนโยบายของเขาอยู่เพียงชายๆ ขอบของพรรคเนื่องจากเขายึดหลักสังคมนิยมเป็นที่ตั้ง นั่นคือ รัฐควรจะมีบทบาทในเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนสูงมากกว่าในปัจจุบัน ปัจจัยที่ทำให้มีผู้สนับสนุนเขามากเป็นที่น่าสนใจซึ่งจะนำไปพูดรวมกับเนื้อหาเมื่อพูดถึงผู้แข่งขันในพรรครีพับลิกัน
ทางด้านพรรครีพับลิกัน มีผู้แข่งขันเหลืออยู่ 3 คน ใน 3 คนนี้ คนที่อาจเรียกได้ว่ามีแนวนโยบายอยู่ในส่วนกลางๆ ของพรรค ตอนนี้มีคะแนนรั้งท้ายทำให้คอการเมืองมองว่าเขาไม่น่ามีโอกาสได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนของพรรค เขามิใช่คนเดียวที่ได้รับความนิยมน้อยทั้งที่มีจุดยืนอยู่ตรงส่วนกลางของพรรค คนอื่นก็เช่นกัน แม้แต่เจฟฟ์ บุช ซึ่งมีเครือข่ายในพรรคหนาแน่นมากเนื่องจากทั้งพ่อและพี่ชายเคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาก่อนก็ต้องถอนตัวออกไปหลายสัปดาห์แล้ว
อีกสองคนที่เหลือได้แก่โดนัลด์ ทรัมป์ และ เทด ครูซ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นพวกชายขอบของพรรค กระนั้นก็ตาม ตอนนี้โดนัลด์ทรัมป์ มีคะแนนนำลิ่ว ด้วยเหตุนี้ ผู้นำของพรรคซึ่งยึดแนวคิดกระแสหลักเป็นที่ตั้งจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะยับยั้งมิให้เขาได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพรรคเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นมหาเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจหลายอย่างโดยเฉพาะทางด้านอสังหาริมทรัพย์ เขามีแนวคิดค่อนไปในแนวตกขอบ เช่น การจะลงโทษสตีที่ทำแท้ง การจะให้เกาหลีใต้และญี่ปุ่นมีอาวุธนิวเคลียร์ การจะลดบทบาทของสหรัฐฯ ในองค์กรใหญ่ๆ เช่น สนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ การจะไล่ผู้ที่ลักลอบเข้าไปอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ออกนอกประเทศ และการจะบังคับให้เม็กซิโกจ่ายค่าสร้างกำแพงกั้นชายแดนระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก นอกจากนั้น พฤติกรรมส่วนตัวของเขายังเป็นที่รังเกียจของคนหลายกลุ่มอีกด้วยโดยเฉพาะสตรีที่มักถูกดูแคลน กระนั้นก็ตาม เขายังได้รับความนิยมสูงจนเป็นที่ฉงนของคนส่วนใหญ่
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวได้แก่ชาวอเมริกันจำนวนมากมีความไม่พอใจสูงมากถึงขั้นคับแค้นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศของตน คนเหล่านี้คือผู้ที่สนับสนุนนักการเมืองที่มีจุดยืนและแนวนโยบายตรงชายขอบเบอร์นี แซนเดอร์ส และโดนัลด์ ทรัมป์
อะไรทำให้ชาวอเมริกันคับแค้นใจจนถึงกับหันไปสนับสนุนนักการเมืองชายขอบ?
ปัจจัยพื้นฐานที่สุดน่าจะได้แก่ความคาดหวังอันเกิดจากความฝังใจที่ได้มาจากการล้างสมองของสังคมอเมริกันเอง นั่นคือ พวกเขาคาดหวังว่าจะต้องมีอะไรๆ เพิ่มขึ้นไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด หรือรุ่นลูกจะต้องมีมากกว่ารุ่นพ่อแม่ แต่มันเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปเพราะโลกยุคโลกาภิวัตน์ได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญแล้ว การแข่งขันเข้มข้นขึ้นมากเนื่องจากทรัพยากรโลกร่อยหรอลง ในขณะที่ประชากรเพิ่มขึ้นและชาติอื่นไล่ทันสหรัฐฯ ทั้งในด้านเทคโนโลยีใหม่และด้านความสามารถในการบริหารจัดการ
ปัจจัยเสริมได้แก่ความซบเซาของเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลา 8 ปีซึ่งมีผลในด้านการซ้ำเติมความคับแค้นใจนั้นให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะนอกจากนโยบายในการแก้ไขความซบเซาทางเศรษฐกิจจะไม่ได้ผลตามความคาดหวังแล้ว มันยังทำให้กลุ่มคนรวยร่ำรวยเพิ่มขึ้นไป ในขณะที่คนชั้นกลางและคนชั้นล่างเสียประโยชน์อีกด้วย คนรวยสามารถกินอยู่อย่างหรูหราฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้นได้ ในขณะที่คนชั้นล่างชักหน้าไม่ถึงหลัง ทั้งนี้เพราะงานที่พอหาได้มักเป็นจำพวกงานบริการในร้านอาหารจานด่วน และตามห้างสรรพสินค้า
นอกจากนั้น ชาวอเมริกันจำนวนมากมองว่านโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลใช้มุ่งไปที่การมอบผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มคนรวยซึ่งส่วนใหญ่เห็นแก่ได้และรวยเท่าไรก็ไม่รู้จักพอ จริงอยู่ในบรรดามหาเศรษฐีทั้งหลายมีคนเช่น บิล เกตส์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งบริจาคทรัพย์สินส่วนใหญ่ให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ แต่เกือบทั้งหมดมุ่งแต่จะกอบโกยอย่างเดียวและมักขี้เหนียวเป็นที่สุด มุมมองนี้มีข้อมูลยืนยันหนักแน่นเพราะเมื่อเกิดวิกฤตครั้งที่ผ่านมา รัฐบาลกระโดดเข้าไปช่วยสถาบันการเงินขนาดใหญ่ทั้งที่สถาบันเหล่านั้นคือตัวสร้างปัญหา ด้วยเหตุนี้จึงมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Occupy Wall Street เกิดขึ้น ปรากฏการณ์นั้นเป็นการประท้วงของผู้คับแค้นใจโดยการพากันเข้าไปยึดครองย่านการเงินในมหานครนิวยอร์กเริ่มแรกเมื่อปี 2554
ปรากฏการณ์เหล่านั้นแสดงถึงความต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้หากอำนาจยังอยู่ในมือของนักการเมืองกระแสหลัก ฉะนั้น ผู้คับแค้นใจจึงฝากความหวังไว้กับนักการเมืองชายขอบ เช่น โดนัลด์ ทรัมป์ แม้ในบางแง่เขาดูจะเป็นคนน่ารังเกียจก็ตาม เรื่องนี้น่าจะเป็นข้อเตือนใจชั้นดีสำหรับมหาเศรษฐีและรัฐบาลทั่วโลกว่า ในปัจจุบันความเหลื่อมล้ำอันเกิดจากความเห็นแก่ได้ซึ่งนำไปสู่การแสวงหาความร่ำรวยแบบไม่มีที่สิ้นสุดนั้น กำลังทำให้สังคมเดินเข้าสู่จุดพลิกผันสำคัญยิ่ง หากนโยบายที่ออกมาใหม่ไม่เปลี่ยนไปจนทำให้ความเหลื่อมล้ำลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกไม่นานชนชั้นล่างจะหาทางเปลี่ยนระบบซึ่งอาจนำไปสู่ความรุนแรงที่กลุ่มมหาเศรษฐีมีโอกาสสูญเสียมากกว่ากลุ่มใดๆ ในสังคม
การแข่งขันทางด้านพรรคเดโมแครตเหลือผู้เข้าแข่งขันเพียงสองคน ผู้มีคะแนนนำหน้าและคอการเมืองจำนวนมากมองว่าจะเป็นตัวแทนของพรรคเข้าช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นอดีตสตรีหมายเลขหนึ่งฮิลลารี คลินตัน หากได้รับคัดเลือก เธอจะเป็นสตรีคนแรกที่เป็นตัวแทนของพรรคใหญ่เข้าช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี นอกจากความเป็นสตรีแล้ว อาจพูดได้ว่าฮิลลารี คลินตัน ไม่มีอะไรแปลกใหม่เนื่องจากจุดยืนและแนวนโยบายของเธออยู่ภายในกรอบพรรค หรืออาจจะเรียกเธอว่าเป็นนักการเมืองกระแสหลักของพรรคก็ได้
เบอร์นี แซนเดอร์ส เป็นคู่แข่งขันที่มีคะแนนตามฮิลลารี คลินตัน อยู่มากทำให้คอการเมืองส่วนใหญ่มองว่ายากที่เขาจะได้รับคัดเลือก อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังๆ นี้คะแนนของเขาตีตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ ฉะนั้น หากฮิลลารี คลินตัน มีอันต้องสะดุดสิ่งที่ยังมองไม่เห็นในขณะนี้ เบอร์นี แซนเดอร์ส อาจแซงหน้าก่อนถึงเวลาคัดเลือกตัวแทนในการประชุมใหญ่ของพรรคในเดือนกรกฎาคมก็ได้ จุดยืนและแนวนโยบายของเขาอยู่เพียงชายๆ ขอบของพรรคเนื่องจากเขายึดหลักสังคมนิยมเป็นที่ตั้ง นั่นคือ รัฐควรจะมีบทบาทในเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนสูงมากกว่าในปัจจุบัน ปัจจัยที่ทำให้มีผู้สนับสนุนเขามากเป็นที่น่าสนใจซึ่งจะนำไปพูดรวมกับเนื้อหาเมื่อพูดถึงผู้แข่งขันในพรรครีพับลิกัน
ทางด้านพรรครีพับลิกัน มีผู้แข่งขันเหลืออยู่ 3 คน ใน 3 คนนี้ คนที่อาจเรียกได้ว่ามีแนวนโยบายอยู่ในส่วนกลางๆ ของพรรค ตอนนี้มีคะแนนรั้งท้ายทำให้คอการเมืองมองว่าเขาไม่น่ามีโอกาสได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนของพรรค เขามิใช่คนเดียวที่ได้รับความนิยมน้อยทั้งที่มีจุดยืนอยู่ตรงส่วนกลางของพรรค คนอื่นก็เช่นกัน แม้แต่เจฟฟ์ บุช ซึ่งมีเครือข่ายในพรรคหนาแน่นมากเนื่องจากทั้งพ่อและพี่ชายเคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาก่อนก็ต้องถอนตัวออกไปหลายสัปดาห์แล้ว
อีกสองคนที่เหลือได้แก่โดนัลด์ ทรัมป์ และ เทด ครูซ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นพวกชายขอบของพรรค กระนั้นก็ตาม ตอนนี้โดนัลด์ทรัมป์ มีคะแนนนำลิ่ว ด้วยเหตุนี้ ผู้นำของพรรคซึ่งยึดแนวคิดกระแสหลักเป็นที่ตั้งจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะยับยั้งมิให้เขาได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพรรคเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นมหาเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจหลายอย่างโดยเฉพาะทางด้านอสังหาริมทรัพย์ เขามีแนวคิดค่อนไปในแนวตกขอบ เช่น การจะลงโทษสตีที่ทำแท้ง การจะให้เกาหลีใต้และญี่ปุ่นมีอาวุธนิวเคลียร์ การจะลดบทบาทของสหรัฐฯ ในองค์กรใหญ่ๆ เช่น สนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ การจะไล่ผู้ที่ลักลอบเข้าไปอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ออกนอกประเทศ และการจะบังคับให้เม็กซิโกจ่ายค่าสร้างกำแพงกั้นชายแดนระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก นอกจากนั้น พฤติกรรมส่วนตัวของเขายังเป็นที่รังเกียจของคนหลายกลุ่มอีกด้วยโดยเฉพาะสตรีที่มักถูกดูแคลน กระนั้นก็ตาม เขายังได้รับความนิยมสูงจนเป็นที่ฉงนของคนส่วนใหญ่
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวได้แก่ชาวอเมริกันจำนวนมากมีความไม่พอใจสูงมากถึงขั้นคับแค้นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศของตน คนเหล่านี้คือผู้ที่สนับสนุนนักการเมืองที่มีจุดยืนและแนวนโยบายตรงชายขอบเบอร์นี แซนเดอร์ส และโดนัลด์ ทรัมป์
อะไรทำให้ชาวอเมริกันคับแค้นใจจนถึงกับหันไปสนับสนุนนักการเมืองชายขอบ?
ปัจจัยพื้นฐานที่สุดน่าจะได้แก่ความคาดหวังอันเกิดจากความฝังใจที่ได้มาจากการล้างสมองของสังคมอเมริกันเอง นั่นคือ พวกเขาคาดหวังว่าจะต้องมีอะไรๆ เพิ่มขึ้นไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด หรือรุ่นลูกจะต้องมีมากกว่ารุ่นพ่อแม่ แต่มันเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปเพราะโลกยุคโลกาภิวัตน์ได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญแล้ว การแข่งขันเข้มข้นขึ้นมากเนื่องจากทรัพยากรโลกร่อยหรอลง ในขณะที่ประชากรเพิ่มขึ้นและชาติอื่นไล่ทันสหรัฐฯ ทั้งในด้านเทคโนโลยีใหม่และด้านความสามารถในการบริหารจัดการ
ปัจจัยเสริมได้แก่ความซบเซาของเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลา 8 ปีซึ่งมีผลในด้านการซ้ำเติมความคับแค้นใจนั้นให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะนอกจากนโยบายในการแก้ไขความซบเซาทางเศรษฐกิจจะไม่ได้ผลตามความคาดหวังแล้ว มันยังทำให้กลุ่มคนรวยร่ำรวยเพิ่มขึ้นไป ในขณะที่คนชั้นกลางและคนชั้นล่างเสียประโยชน์อีกด้วย คนรวยสามารถกินอยู่อย่างหรูหราฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้นได้ ในขณะที่คนชั้นล่างชักหน้าไม่ถึงหลัง ทั้งนี้เพราะงานที่พอหาได้มักเป็นจำพวกงานบริการในร้านอาหารจานด่วน และตามห้างสรรพสินค้า
นอกจากนั้น ชาวอเมริกันจำนวนมากมองว่านโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลใช้มุ่งไปที่การมอบผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มคนรวยซึ่งส่วนใหญ่เห็นแก่ได้และรวยเท่าไรก็ไม่รู้จักพอ จริงอยู่ในบรรดามหาเศรษฐีทั้งหลายมีคนเช่น บิล เกตส์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งบริจาคทรัพย์สินส่วนใหญ่ให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ แต่เกือบทั้งหมดมุ่งแต่จะกอบโกยอย่างเดียวและมักขี้เหนียวเป็นที่สุด มุมมองนี้มีข้อมูลยืนยันหนักแน่นเพราะเมื่อเกิดวิกฤตครั้งที่ผ่านมา รัฐบาลกระโดดเข้าไปช่วยสถาบันการเงินขนาดใหญ่ทั้งที่สถาบันเหล่านั้นคือตัวสร้างปัญหา ด้วยเหตุนี้จึงมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Occupy Wall Street เกิดขึ้น ปรากฏการณ์นั้นเป็นการประท้วงของผู้คับแค้นใจโดยการพากันเข้าไปยึดครองย่านการเงินในมหานครนิวยอร์กเริ่มแรกเมื่อปี 2554
ปรากฏการณ์เหล่านั้นแสดงถึงความต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้หากอำนาจยังอยู่ในมือของนักการเมืองกระแสหลัก ฉะนั้น ผู้คับแค้นใจจึงฝากความหวังไว้กับนักการเมืองชายขอบ เช่น โดนัลด์ ทรัมป์ แม้ในบางแง่เขาดูจะเป็นคนน่ารังเกียจก็ตาม เรื่องนี้น่าจะเป็นข้อเตือนใจชั้นดีสำหรับมหาเศรษฐีและรัฐบาลทั่วโลกว่า ในปัจจุบันความเหลื่อมล้ำอันเกิดจากความเห็นแก่ได้ซึ่งนำไปสู่การแสวงหาความร่ำรวยแบบไม่มีที่สิ้นสุดนั้น กำลังทำให้สังคมเดินเข้าสู่จุดพลิกผันสำคัญยิ่ง หากนโยบายที่ออกมาใหม่ไม่เปลี่ยนไปจนทำให้ความเหลื่อมล้ำลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกไม่นานชนชั้นล่างจะหาทางเปลี่ยนระบบซึ่งอาจนำไปสู่ความรุนแรงที่กลุ่มมหาเศรษฐีมีโอกาสสูญเสียมากกว่ากลุ่มใดๆ ในสังคม