การประกาศใช้การอบรม 3 วัน 5 วัน 7 วัน สำหรับคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและคสช.นั้น คล้ายกับว่า ผู้มีอำนาจคิดว่า การเปลี่ยนแปลงความเชื่อและทัศนคติของคนนั้น ทำได้ด้วยการสั่งการและบีบบังคับให้เชื่อตาม
แต่เราเห็นว่าเมื่อคนที่ คสช.จับตัวไปปรับทัศนคติกลับออกมา เขาก็ยังแสดงความเห็นของตัวเอง ตามจุดยืนและความเชื่อของตัวเองไม่เปลี่ยนแปลง ต่อให้ คสช.เอาตัวไปปรับทัศนคติกี่รอบก็ยังเป็นอย่างนั้น
เหมือนกับไม่เข้าใจปัญหาของสังคมไทยนับสิบปีตั้งแต่ก่อเกิดระบอบทักษิณมา ประชาชนแบ่งออกเป็น 2 ขั้วและมีความเห็นที่ต่างกัน ซึ่งฝ่ายหนึ่งมองว่า ระบอบทักษิณเป็นอันตรายต่อชาติบ้านเมือง แม้ว่าจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนที่กลับใช้อำนาจในทางมิชอบแสวงหาประโยชน์จากอำนาจเพื่อธุรกิจของตัวเองเล่นพรรคเล่นพวก จึงออกมาชุมนุมขับไล่
ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยืนยันว่าระบอบทักษิณมีความชอบธรรมเพราะชนะการเลือกตั้ง ถ้าระบอบทักษิณกระทำมิชอบก็ให้การเลือกตั้งตัดสิน คล้ายกับว่า การเลือกตั้งคือใบเบิกทางในระบอบประชาธิปไตยที่จะใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ ซึ่งบ่งบอกว่า นี่ย่อมไม่ใช่ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง
เมื่อชัยชนะของระบอบทักษิณมาจากการเลือกตั้งของคนส่วนมาก การชนะการเลือกตั้งตลอด 10 ปีนั้นแสดงว่าคนส่วนใหญ่ ยืนอยู่ข้างระบอบทักษิณ และคนส่วนใหญ่ที่ยืนข้างทักษิณก็เป็นคนในสังคมชนบท คนรากหญ้าหรือคนยากจน ในขณะที่คนในสังคมเมืองต่อต้านระบอบทักษิณ จนเกิดคำถามถึงความรู้และความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่ในสังคมไทย
ความแตกแยกจึงเกิดขึ้นจากคนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าระบอบทักษิณมองประโยชน์ให้กับตัวเอง ขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งมองว่าระบอบทักษิณเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากอำนาจ แล้วเอาเงินที่ฉ้อฉลส่วนหนึ่งไปแจกจ่ายเพื่อซื้อใจประชาชน จนคนจนมองว่าทักษิณเป็นเทพเจ้าองค์ใหม่ที่ลงมาโปรดประชาชน กลายเป็นประชาธิปไตยที่กินได้
ไม่มีใครสนใจว่าระบอบทักษิณเอาเงินที่แจกมาจากไหน แม้จะมีการให้ข้อมูลว่าระบอบทักษิณแสวงหาประโยชน์จากอำนาจ ก็ยังมีคนพูดว่า ถึงโกงแต่ถ้าแบ่งให้ประชาชนก็ยอมรับได้
เมื่อทักษิณมีมวลชนปัญญาชนกลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ และแสวงหาระบอบสาธารณรัฐจึงเข้ามาสวามิภักดิ์กับระบอบทักษิณ และประจวบกับเครือข่ายแวดล้อมทักษิณเต็มไปด้วยอดีตฝ่ายซ้ายที่มีความทรงจำจากเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2516 และ 2519 ทำให้สายสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายประสานกันได้ง่ายเพราะล้วนแล้วแต่เป็นคนคุ้นเคยมาก่อน เป้าหมายของพวกเขาคือใช้มวลชนของทักษิณไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
วาทกรรมไพร่กับอำมาตย์จึงถูกนำมาปลุกใช้ในการชุมนุมคนเสื้อแดง แล้วเขียนนิยายว่า ทักษิณทำให้คนยากจนมีความกินดีอยู่ดีขึ้นจนกลุ่มอำมาตย์อิจฉาทักษิณและปลุกมวลชนออกมาโค่นล้มทักษิณ ทั้งๆ ที่จริงแล้วมวลชนที่ออกมาโค่นล้มทักษิณเพราะมีข้อมูลว่า ทักษิณแสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจอย่างไร ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ทางชนชั้นแต่อย่างไร
แต่การปลุกเรื่องชนชั้นของปัญญาชนเสื้อแดงก็ประสบความสำเร็จ มีการแสดงตัวอย่างเปิดเผยมากขึ้นในการต่อต้านสถาบัน จนสถิติผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 เพิ่มมากขึ้น เมื่อมีตัวเลขเพิ่มมากขึ้นคนกลุ่มนี้ก็โทษว่า เป็นความผิดของอำนาจรัฐที่ใช้มาตรา 112 มาดำเนินคดีฝ่ายที่มีความเห็นต่าง และสร้างกระแสเรียกร้องให้แก้ไขมาตรา 112
และปัจจุบันคนที่สนับสนุนทักษิณกับคนที่ออกมาโจมตีสถาบันก็กล้าเปิดเผยตัวว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน ผ่านการแสดงกิจกรรมร่วมกันให้เราเห็นอย่างสม่ำเสมอ พวกนี้มองว่า สถาบันเป็นอุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตย หากดำรงอยู่ก็ให้เป็นเพียงสัญลักษณ์แบบสถาบันพระมหากษัตริย์ในบางประเทศ
ในขณะที่กลุ่มต่อต้านทักษิณนั้นก็แสดงตัวชัดเจนว่า มีจุดยืนที่สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ได้เกิดจากความคร่ำครึ แต่เกิดจากการมองเห็นสิ่งที่สถาบันกระทำให้กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน เมื่อเทียบกับนักการเมืองที่เข้ามาหาประโยชน์จากอำนาจแล้วเอาเงินที่ทุจริตได้ไปแจกประชาชน
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นสิ่งที่ คสช.ต้องรู้
แต่เมื่อ คสช.เข้ามา คสช.คิดเพียงว่า ต้องการหย่าศึกความขัดแย้งของประชาชน มองแค่ว่าปัญหาของประเทศเกิดจากประชาชนทะเลาะกัน ใครมีความเห็นต่างก็เรียกตัวไปปรับทัศนคติเพื่อให้หยุดพูด เอาทหารไปอุ้มเอาตัวไปเข้าค่ายซึ่งก็พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผลอะไรเลย กลับออกมาก็ยังพูดและยังคิดเหมือนเดิม
คำถามว่าทำไม คสช.ต้องไปสนใจนักการเมือง ลิ่วล้อของระบอบทักษิณ มองไม่เห็นว่า ปัญหาที่แท้จริงคือ ประชาชนจำนวนมากเข้าใจว่าระบอบทักษิณเอาประโยชน์มาให้พวกเขา ซึ่งต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่า สิ่งที่ระบอบทักษิณทำนั้นมันทำร้ายประเทศชาติอย่างไร ให้ประชาชนเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตยซึ่งสามารถสนองตอบความต้องการของประชาชนได้มากกว่าการรับเงินที่ฉ้อฉลมาของนักการเมือง
คสช.ทำอะไรบ้างครับที่จะให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชนชี้ให้เห็นถึงผลร้ายของระบอบทักษิณ ซึ่งไม่ใช่แค่เอาปืนไปสะกดให้ประชาชนไม่ออกมาชุมนุมต่อต้าน คสช.เท่านั้น แต่สามารถเปลี่ยนทัศนคติและความเชื่อของเขาว่า ระบอบทักษิณไม่ใช่ประชาธิปไตยที่กินได้ แต่ระบอบทักษิณทำร้ายบ้านเมือง ทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจเมื่อกลับไปสู่คูหาการเลือกตั้งที่ทุกคนมีหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงเท่ากัน
ล่าสุดแค่เสื้อแดงโพสต์ขันแดงที่ทักษิณแจกก็จับขึ้นศาลทหารซึ่งไม่รู้ทำทำไม
ซ้ำร้ายฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณก็ถูก คสช.สั่งให้หยุดพูดเช่นเดียวกัน โดยอ้างความปรองดองซึ่งสะท้อนว่า คสช.ยังไม่เข้าใจว่าปัญหาของประเทศที่แท้จริงคืออะไร
ไม่ทำให้ศัตรูกลายมาเป็นมิตร แล้วยังผลักมิตรเป็นศัตรู ไม่รู้ใช้ตำราพิชัยสงครามเล่มไหน
นอกจากนั้นยังพยายามจะสร้างนโยบายที่เลียนแบบนโยบายประชานิยมของทักษิณ แต่เปลี่ยนชื่อไปเรียกว่านโยบายประชารัฐ ราวกับว่าต้องการสร้างคะแนนนิยมเพื่อแข่งขันกับระบอบทักษิณ ถามว่าทำแบบนี้มันไม่ยิ่งตอกย้ำให้ประชาชนเชื่อว่าสิ่งที่ระบอบทักษิณทำนั้นถูกต้อง ระหว่างต้นตำรับกับคนที่ลอกเลียนแบบประชาชนจะศรัทธาใครมากกว่ากัน
นี่เป็นคำถามว่า เมื่อถึงวันเลือกตั้ง วันที่อำนาจกลับไปอยู่ในมือประชาชน พรรคของทักษิณก็ต้องกลับมาชนะเลือกตั้งอีก แล้วปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยก็ต้องเกิดขึ้นอีก ประชาชนที่ต่อต้านระบอบทักษิณก็ต้องออกมาอีก ไม่ใช่เพราะไม่เข้าใจถึงสิทธิของเสียงข้างมากในระบอบประชาธิปไตย แต่เพราะเข้าใจว่าระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงต่างหาก ความขัดแย้งก็จะเวียนกลับมาอีก
เสียเวลาไปกับการอุ้มลิ่วล้อทักษิณมาเข้าค่ายอบรม โดยไม่เปลี่ยนแปลงความเชื่อและทัศนคติของประชาชน เชื่อเถอะว่า สิ่งที่ คสช.ทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่า
แต่เราเห็นว่าเมื่อคนที่ คสช.จับตัวไปปรับทัศนคติกลับออกมา เขาก็ยังแสดงความเห็นของตัวเอง ตามจุดยืนและความเชื่อของตัวเองไม่เปลี่ยนแปลง ต่อให้ คสช.เอาตัวไปปรับทัศนคติกี่รอบก็ยังเป็นอย่างนั้น
เหมือนกับไม่เข้าใจปัญหาของสังคมไทยนับสิบปีตั้งแต่ก่อเกิดระบอบทักษิณมา ประชาชนแบ่งออกเป็น 2 ขั้วและมีความเห็นที่ต่างกัน ซึ่งฝ่ายหนึ่งมองว่า ระบอบทักษิณเป็นอันตรายต่อชาติบ้านเมือง แม้ว่าจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนที่กลับใช้อำนาจในทางมิชอบแสวงหาประโยชน์จากอำนาจเพื่อธุรกิจของตัวเองเล่นพรรคเล่นพวก จึงออกมาชุมนุมขับไล่
ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยืนยันว่าระบอบทักษิณมีความชอบธรรมเพราะชนะการเลือกตั้ง ถ้าระบอบทักษิณกระทำมิชอบก็ให้การเลือกตั้งตัดสิน คล้ายกับว่า การเลือกตั้งคือใบเบิกทางในระบอบประชาธิปไตยที่จะใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ ซึ่งบ่งบอกว่า นี่ย่อมไม่ใช่ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง
เมื่อชัยชนะของระบอบทักษิณมาจากการเลือกตั้งของคนส่วนมาก การชนะการเลือกตั้งตลอด 10 ปีนั้นแสดงว่าคนส่วนใหญ่ ยืนอยู่ข้างระบอบทักษิณ และคนส่วนใหญ่ที่ยืนข้างทักษิณก็เป็นคนในสังคมชนบท คนรากหญ้าหรือคนยากจน ในขณะที่คนในสังคมเมืองต่อต้านระบอบทักษิณ จนเกิดคำถามถึงความรู้และความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่ในสังคมไทย
ความแตกแยกจึงเกิดขึ้นจากคนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าระบอบทักษิณมองประโยชน์ให้กับตัวเอง ขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งมองว่าระบอบทักษิณเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากอำนาจ แล้วเอาเงินที่ฉ้อฉลส่วนหนึ่งไปแจกจ่ายเพื่อซื้อใจประชาชน จนคนจนมองว่าทักษิณเป็นเทพเจ้าองค์ใหม่ที่ลงมาโปรดประชาชน กลายเป็นประชาธิปไตยที่กินได้
ไม่มีใครสนใจว่าระบอบทักษิณเอาเงินที่แจกมาจากไหน แม้จะมีการให้ข้อมูลว่าระบอบทักษิณแสวงหาประโยชน์จากอำนาจ ก็ยังมีคนพูดว่า ถึงโกงแต่ถ้าแบ่งให้ประชาชนก็ยอมรับได้
เมื่อทักษิณมีมวลชนปัญญาชนกลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ และแสวงหาระบอบสาธารณรัฐจึงเข้ามาสวามิภักดิ์กับระบอบทักษิณ และประจวบกับเครือข่ายแวดล้อมทักษิณเต็มไปด้วยอดีตฝ่ายซ้ายที่มีความทรงจำจากเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2516 และ 2519 ทำให้สายสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายประสานกันได้ง่ายเพราะล้วนแล้วแต่เป็นคนคุ้นเคยมาก่อน เป้าหมายของพวกเขาคือใช้มวลชนของทักษิณไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
วาทกรรมไพร่กับอำมาตย์จึงถูกนำมาปลุกใช้ในการชุมนุมคนเสื้อแดง แล้วเขียนนิยายว่า ทักษิณทำให้คนยากจนมีความกินดีอยู่ดีขึ้นจนกลุ่มอำมาตย์อิจฉาทักษิณและปลุกมวลชนออกมาโค่นล้มทักษิณ ทั้งๆ ที่จริงแล้วมวลชนที่ออกมาโค่นล้มทักษิณเพราะมีข้อมูลว่า ทักษิณแสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจอย่างไร ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ทางชนชั้นแต่อย่างไร
แต่การปลุกเรื่องชนชั้นของปัญญาชนเสื้อแดงก็ประสบความสำเร็จ มีการแสดงตัวอย่างเปิดเผยมากขึ้นในการต่อต้านสถาบัน จนสถิติผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 เพิ่มมากขึ้น เมื่อมีตัวเลขเพิ่มมากขึ้นคนกลุ่มนี้ก็โทษว่า เป็นความผิดของอำนาจรัฐที่ใช้มาตรา 112 มาดำเนินคดีฝ่ายที่มีความเห็นต่าง และสร้างกระแสเรียกร้องให้แก้ไขมาตรา 112
และปัจจุบันคนที่สนับสนุนทักษิณกับคนที่ออกมาโจมตีสถาบันก็กล้าเปิดเผยตัวว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน ผ่านการแสดงกิจกรรมร่วมกันให้เราเห็นอย่างสม่ำเสมอ พวกนี้มองว่า สถาบันเป็นอุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตย หากดำรงอยู่ก็ให้เป็นเพียงสัญลักษณ์แบบสถาบันพระมหากษัตริย์ในบางประเทศ
ในขณะที่กลุ่มต่อต้านทักษิณนั้นก็แสดงตัวชัดเจนว่า มีจุดยืนที่สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ได้เกิดจากความคร่ำครึ แต่เกิดจากการมองเห็นสิ่งที่สถาบันกระทำให้กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน เมื่อเทียบกับนักการเมืองที่เข้ามาหาประโยชน์จากอำนาจแล้วเอาเงินที่ทุจริตได้ไปแจกประชาชน
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นสิ่งที่ คสช.ต้องรู้
แต่เมื่อ คสช.เข้ามา คสช.คิดเพียงว่า ต้องการหย่าศึกความขัดแย้งของประชาชน มองแค่ว่าปัญหาของประเทศเกิดจากประชาชนทะเลาะกัน ใครมีความเห็นต่างก็เรียกตัวไปปรับทัศนคติเพื่อให้หยุดพูด เอาทหารไปอุ้มเอาตัวไปเข้าค่ายซึ่งก็พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผลอะไรเลย กลับออกมาก็ยังพูดและยังคิดเหมือนเดิม
คำถามว่าทำไม คสช.ต้องไปสนใจนักการเมือง ลิ่วล้อของระบอบทักษิณ มองไม่เห็นว่า ปัญหาที่แท้จริงคือ ประชาชนจำนวนมากเข้าใจว่าระบอบทักษิณเอาประโยชน์มาให้พวกเขา ซึ่งต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่า สิ่งที่ระบอบทักษิณทำนั้นมันทำร้ายประเทศชาติอย่างไร ให้ประชาชนเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตยซึ่งสามารถสนองตอบความต้องการของประชาชนได้มากกว่าการรับเงินที่ฉ้อฉลมาของนักการเมือง
คสช.ทำอะไรบ้างครับที่จะให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชนชี้ให้เห็นถึงผลร้ายของระบอบทักษิณ ซึ่งไม่ใช่แค่เอาปืนไปสะกดให้ประชาชนไม่ออกมาชุมนุมต่อต้าน คสช.เท่านั้น แต่สามารถเปลี่ยนทัศนคติและความเชื่อของเขาว่า ระบอบทักษิณไม่ใช่ประชาธิปไตยที่กินได้ แต่ระบอบทักษิณทำร้ายบ้านเมือง ทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจเมื่อกลับไปสู่คูหาการเลือกตั้งที่ทุกคนมีหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงเท่ากัน
ล่าสุดแค่เสื้อแดงโพสต์ขันแดงที่ทักษิณแจกก็จับขึ้นศาลทหารซึ่งไม่รู้ทำทำไม
ซ้ำร้ายฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณก็ถูก คสช.สั่งให้หยุดพูดเช่นเดียวกัน โดยอ้างความปรองดองซึ่งสะท้อนว่า คสช.ยังไม่เข้าใจว่าปัญหาของประเทศที่แท้จริงคืออะไร
ไม่ทำให้ศัตรูกลายมาเป็นมิตร แล้วยังผลักมิตรเป็นศัตรู ไม่รู้ใช้ตำราพิชัยสงครามเล่มไหน
นอกจากนั้นยังพยายามจะสร้างนโยบายที่เลียนแบบนโยบายประชานิยมของทักษิณ แต่เปลี่ยนชื่อไปเรียกว่านโยบายประชารัฐ ราวกับว่าต้องการสร้างคะแนนนิยมเพื่อแข่งขันกับระบอบทักษิณ ถามว่าทำแบบนี้มันไม่ยิ่งตอกย้ำให้ประชาชนเชื่อว่าสิ่งที่ระบอบทักษิณทำนั้นถูกต้อง ระหว่างต้นตำรับกับคนที่ลอกเลียนแบบประชาชนจะศรัทธาใครมากกว่ากัน
นี่เป็นคำถามว่า เมื่อถึงวันเลือกตั้ง วันที่อำนาจกลับไปอยู่ในมือประชาชน พรรคของทักษิณก็ต้องกลับมาชนะเลือกตั้งอีก แล้วปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยก็ต้องเกิดขึ้นอีก ประชาชนที่ต่อต้านระบอบทักษิณก็ต้องออกมาอีก ไม่ใช่เพราะไม่เข้าใจถึงสิทธิของเสียงข้างมากในระบอบประชาธิปไตย แต่เพราะเข้าใจว่าระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงต่างหาก ความขัดแย้งก็จะเวียนกลับมาอีก
เสียเวลาไปกับการอุ้มลิ่วล้อทักษิณมาเข้าค่ายอบรม โดยไม่เปลี่ยนแปลงความเชื่อและทัศนคติของประชาชน เชื่อเถอะว่า สิ่งที่ คสช.ทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่า