นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีฯ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวว่า ช่วงโค้งสุดท้ายของการเขียนรัฐธรรมนูญ สังคมพุ่งความสนใจไปที่ประเด็นการออกแบบอำนาจในช่วงเปลี่ยนผ่าน และสถานการณ์พิเศษมากจนบดบังเนื้อหารสาระสำคัญในส่วนอื่นๆ จนอาจมีความเป็นไปได้ ที่ประเด็นกลไกพิเศษในช่วงเปลี่ยนผ่านจะถูกขยายความไปเป็นปัจจัยชี้ขาดและมีผลต่อการลงประชามติ โดยเฉพาะข้อ กล่าวหาเรื่องสืบทอดอำนาจ อาจจะถูกบางกลุ่มยกเป็นประเด็นรณรงค์เพื่อคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ หรือทำให้รัฐธรรมนูญมีความชอบธรรมน้อยที่สุด
ต้องไม่ปฏิเสธว่า ส่วนที่เป็นกลไกพิเศษในร่างรัฐธรรมนูญเพื่อตอบโจทย์การเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่าน ยังมีปัญหาความชอบธรรมจนอาจกลายเป็นจุดอ่อน และปกปิดจุดเด่นของร่างรัฐธรรมนูญ ฉะนั้นเป็นหน้าที่โดยตรงของกรรมการยกร่าง ที่ต้องเร่งเผยแพร่จุดเด่นและกลไกในร่างรัฐธรรมนูญที่คิดว่าตอบโจทย์การปฏิรูป และการเมืองในส่วนของพลเมืองด้วย
ในหมวดปฏิรูปนั้น มีแค่ 5 มาตรา ยังดูเป็นนามธรรมและไม่มีผลผูกมัดจนอาจไม่ทำให้เกิดสภาพบังคับกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การปฏิรูปตำรวจ ก็เขียนไว้ลอยจนเกินไปทั้งๆ ที่เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นรูปธรรมจากประชาชน หมวดปฏิรูปเป็นเรื่องใหญ่น่าจะมีรายละเอียดหรือวางกรอบในกฎหมายประกอยรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนกว่านี้ กรธ.บอกว่าร่างรัฐธรรมนูญตอบโจทย์ทุกฝ่าย ก็ต้องมีรูปธรรมจริงๆ โดยเฉพาะหมวดและกลไกที่เกี่ยวกับสิทธิการมีส่วนร่วม และผลประโยชน์ของประชาชนนั้น ต้องรอดูว่า ท้ายที่สุดแล้ว กรธ.ปรับแก้ให้ดีขึ้นกว่าร่างเดิม หรือไม่ เพราะตนเชื่อว่ากลไกส่วนนี้จะเป็นบทชี้ขาดของการลงประชามติ
เพราะในส่วนของนักการเมืองเข้าใจว่า ส่วนใหญ่คงฟรีโหวต ไม่เป็นเอกภาพในการลงประชามติเพราะอยากลงเลือกตั้งกันเต็มแก่แล้วและหลายคนคงกลัวว่าหากประชามติไม่ผ่าน อาจได้รัฐธรรมนูญฉบับ คสช. ที่เนื้อหาเข้มข้นและรุนแรงกว่านี้ แม้แต่พรรคเพื่อไทย ที่ประกาศไม่รับร่างก่อนหน้านี้สุดท้ายก็คงเป็นแค่จุดยืนทางการเมือง แต่คงไม่รณรงค์เอาจริงเอาจังอะไร
ต้องไม่ปฏิเสธว่า ส่วนที่เป็นกลไกพิเศษในร่างรัฐธรรมนูญเพื่อตอบโจทย์การเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่าน ยังมีปัญหาความชอบธรรมจนอาจกลายเป็นจุดอ่อน และปกปิดจุดเด่นของร่างรัฐธรรมนูญ ฉะนั้นเป็นหน้าที่โดยตรงของกรรมการยกร่าง ที่ต้องเร่งเผยแพร่จุดเด่นและกลไกในร่างรัฐธรรมนูญที่คิดว่าตอบโจทย์การปฏิรูป และการเมืองในส่วนของพลเมืองด้วย
ในหมวดปฏิรูปนั้น มีแค่ 5 มาตรา ยังดูเป็นนามธรรมและไม่มีผลผูกมัดจนอาจไม่ทำให้เกิดสภาพบังคับกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การปฏิรูปตำรวจ ก็เขียนไว้ลอยจนเกินไปทั้งๆ ที่เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นรูปธรรมจากประชาชน หมวดปฏิรูปเป็นเรื่องใหญ่น่าจะมีรายละเอียดหรือวางกรอบในกฎหมายประกอยรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนกว่านี้ กรธ.บอกว่าร่างรัฐธรรมนูญตอบโจทย์ทุกฝ่าย ก็ต้องมีรูปธรรมจริงๆ โดยเฉพาะหมวดและกลไกที่เกี่ยวกับสิทธิการมีส่วนร่วม และผลประโยชน์ของประชาชนนั้น ต้องรอดูว่า ท้ายที่สุดแล้ว กรธ.ปรับแก้ให้ดีขึ้นกว่าร่างเดิม หรือไม่ เพราะตนเชื่อว่ากลไกส่วนนี้จะเป็นบทชี้ขาดของการลงประชามติ
เพราะในส่วนของนักการเมืองเข้าใจว่า ส่วนใหญ่คงฟรีโหวต ไม่เป็นเอกภาพในการลงประชามติเพราะอยากลงเลือกตั้งกันเต็มแก่แล้วและหลายคนคงกลัวว่าหากประชามติไม่ผ่าน อาจได้รัฐธรรมนูญฉบับ คสช. ที่เนื้อหาเข้มข้นและรุนแรงกว่านี้ แม้แต่พรรคเพื่อไทย ที่ประกาศไม่รับร่างก่อนหน้านี้สุดท้ายก็คงเป็นแค่จุดยืนทางการเมือง แต่คงไม่รณรงค์เอาจริงเอาจังอะไร