จากกรณีเมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ให้ผู้รับเหมาจาก บริษัทอิคลิป แมน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทคู่สัญญากับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในโครงการปรับปรุงนาฬิกาภายใน และภายนอกรัฐสภา จำนวน 240 เรือน มูลค่าโครงการ 14.8 ล้านบาท เข้ามารื้อถอนนาฬิกาดิจิตอล ที่ติดตั้งภายในอาคารรัฐสภา และภายนอกโดยรอบอาคารรัฐสภาออก หลังจากที่นาฬิกาไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ตั้งแต่กลางปี 58 ซึ่งก่อนหน้านั้น นาฬิกาดังกล่าว ก็เคยใช้งานไม่ได้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อช่วงเดือนส.ค. 56 สาเหตุจากความขัดข้องของระบบปฏิบัติงาน แต่ได้รับการซ่อมแซม จนสามารถกลับมาใช้ได้
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่ประชุม คณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา (ก.ร.) มีมติให้ สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ทบทวนผลการตรวจสอบความโปร่งใสในโครงการจัดซื้อนาฬิกา เพราะคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบรายงานผลการพิจารณาที่ขัดแย้งกัน โดยเฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้น กับสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ที่มีผลรายงานว่า สำนักงานเลขาธิการสภาฯไม่เสียหาย เพราะยังไม่ได้จ่ายเงินในการจัดซื้อ ซึ่งที่ประชุมก.ร.ได้ให้ความเห็นแย้งว่า เหตุผลสำคัญที่ไม่จ่ายเงินค่าซื้อของเพราะถูกสื่อมวลชนขุดคุ้ยความไม่โปร่งใส จึงทำให้สำนักงานฯไม่กล้าจะจ่ายเงิน ซึ่งการนำเสนอของสื่อมวลนั้น ทำให้ภาพลักษณ์ของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ เสียหายอย่างหนัก ขณะเดียวกันผลการตรวจสอบเรื่องการลงโทษทางวินัยกับข้าราชการที่เกี่ยวข้องนั้น ได้รายงานว่า ได้ลงโทษทางวินัยสถานเบากับข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดกับสำนักงานฯ จริง ซึ่งเรื่องการอุทธรณ์ผลการตรวจสอบโครงการดังกล่าวนั้น ก.ร.ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ไปตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมในด้านการดำเนินงาน ก่อนจะมีมติสั่งการใดๆ อีกครั้งในการประชุมครั้งถัดไป
"เหตุผลที่ทางสำนักงานรักษาความปลอดภัย สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ให้คนของบริษัทที่ซื้อขายนาฬิกา มาถอดนาฬิกาออกนั้น คาดว่าเพื่อไม่ให้เกิดภาพเสียหายกับภาพลักษณ์ของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ และหวังว่าจะทำให้การตรวจสอบรอบใหม่ตามที่ก.ร.มีมตินั้นจะทำให้ทุเลาลง"
นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ถือเป็นความสำเร็จในการตรวจสอบการทุจริต ที่คนของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ดำเนินการร้องเรียนให้มีการตรวจสอบ แต่ในเรื่องนี้ยังไม่มีการดำเนินการกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และนักการเมืองที่เกี่ยวข้อง ที่น่าสนใจคือ ทางบริษัท อิควิปแมน จำกัด ซึ่งเป็นผู้ชนะประมูลได้ทำหนังสือถึงสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ยกนาฬิกาของกลางทั้งหมดให้ แลกกับการขอคืนหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพ มูลค่า 744,554.15 บาท แต่สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ไม่กล้ารับนาฬิกาดังกล่าวมาไว้เป็นกรรมสิทธิ โดยใช้วิธีปลดนาฬิกาลงแทน ถามว่าทำไมถึงมีการปล่อยให้เอาของกลางที่ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนไป ถือเป็นการพยายามทำลายของกลางหรือไม่
ทั้งนี้ขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. และนายกรัฐมนตรี ใช้ ม.44 ออกคำสั่งไล่ นายสุวิจักขณ์ หรือ วัชระชัย นาควัชระชัย อดีตเลขาธิการสภาในยุคที่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นประธานรัฐสภา ออกจากราชการ เพราะสร้างความเสียหายให้กับราชการ อยู่ต่อไปก็เสียเงินภาษีประชาชนที่จ้าง และขอให้ตรวจสอบเพื่อเอาผิดกับนักการเมืองที่เกี่ยวข้องทุกคนด้วย ไม่ว่าผลสอบออกมาจะเกี่ยวพันกับพรรคการเมืองไหน
นายวัชระยังทวงถามความคืบหน้ากรณีที่ร้องให้มีการตรวจสอบโครงการ “Roadshow” สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020 ที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ว่าจ้าง บริษัทมติชน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดโครงการงบประมาณ 100 ล้านบาท ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีพฤติกรรมไม่โปร่งใส รวมถึง กรณีที่มติชน จำหน่ายหนังสือ “จับเข่าคุยทักษิณ” ในช่วงที่มีกฎอัยการศึก และมีเนื้อหาหมิ่นเหม่ต่อ ม.112 ด้วย เพราะตนร้องต่อป.ป.ช.ไปแล้วเกือบ 2 ปี แต่เรื่องก็เงียบหาย จึงขอให้ออกมาชี้แจงถึงความคืบหน้าด้วย
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่ประชุม คณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา (ก.ร.) มีมติให้ สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ทบทวนผลการตรวจสอบความโปร่งใสในโครงการจัดซื้อนาฬิกา เพราะคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบรายงานผลการพิจารณาที่ขัดแย้งกัน โดยเฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้น กับสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ที่มีผลรายงานว่า สำนักงานเลขาธิการสภาฯไม่เสียหาย เพราะยังไม่ได้จ่ายเงินในการจัดซื้อ ซึ่งที่ประชุมก.ร.ได้ให้ความเห็นแย้งว่า เหตุผลสำคัญที่ไม่จ่ายเงินค่าซื้อของเพราะถูกสื่อมวลชนขุดคุ้ยความไม่โปร่งใส จึงทำให้สำนักงานฯไม่กล้าจะจ่ายเงิน ซึ่งการนำเสนอของสื่อมวลนั้น ทำให้ภาพลักษณ์ของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ เสียหายอย่างหนัก ขณะเดียวกันผลการตรวจสอบเรื่องการลงโทษทางวินัยกับข้าราชการที่เกี่ยวข้องนั้น ได้รายงานว่า ได้ลงโทษทางวินัยสถานเบากับข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดกับสำนักงานฯ จริง ซึ่งเรื่องการอุทธรณ์ผลการตรวจสอบโครงการดังกล่าวนั้น ก.ร.ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ไปตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมในด้านการดำเนินงาน ก่อนจะมีมติสั่งการใดๆ อีกครั้งในการประชุมครั้งถัดไป
"เหตุผลที่ทางสำนักงานรักษาความปลอดภัย สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ให้คนของบริษัทที่ซื้อขายนาฬิกา มาถอดนาฬิกาออกนั้น คาดว่าเพื่อไม่ให้เกิดภาพเสียหายกับภาพลักษณ์ของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ และหวังว่าจะทำให้การตรวจสอบรอบใหม่ตามที่ก.ร.มีมตินั้นจะทำให้ทุเลาลง"
นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ถือเป็นความสำเร็จในการตรวจสอบการทุจริต ที่คนของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ดำเนินการร้องเรียนให้มีการตรวจสอบ แต่ในเรื่องนี้ยังไม่มีการดำเนินการกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และนักการเมืองที่เกี่ยวข้อง ที่น่าสนใจคือ ทางบริษัท อิควิปแมน จำกัด ซึ่งเป็นผู้ชนะประมูลได้ทำหนังสือถึงสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ยกนาฬิกาของกลางทั้งหมดให้ แลกกับการขอคืนหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพ มูลค่า 744,554.15 บาท แต่สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ไม่กล้ารับนาฬิกาดังกล่าวมาไว้เป็นกรรมสิทธิ โดยใช้วิธีปลดนาฬิกาลงแทน ถามว่าทำไมถึงมีการปล่อยให้เอาของกลางที่ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนไป ถือเป็นการพยายามทำลายของกลางหรือไม่
ทั้งนี้ขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. และนายกรัฐมนตรี ใช้ ม.44 ออกคำสั่งไล่ นายสุวิจักขณ์ หรือ วัชระชัย นาควัชระชัย อดีตเลขาธิการสภาในยุคที่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นประธานรัฐสภา ออกจากราชการ เพราะสร้างความเสียหายให้กับราชการ อยู่ต่อไปก็เสียเงินภาษีประชาชนที่จ้าง และขอให้ตรวจสอบเพื่อเอาผิดกับนักการเมืองที่เกี่ยวข้องทุกคนด้วย ไม่ว่าผลสอบออกมาจะเกี่ยวพันกับพรรคการเมืองไหน
นายวัชระยังทวงถามความคืบหน้ากรณีที่ร้องให้มีการตรวจสอบโครงการ “Roadshow” สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020 ที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ว่าจ้าง บริษัทมติชน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดโครงการงบประมาณ 100 ล้านบาท ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีพฤติกรรมไม่โปร่งใส รวมถึง กรณีที่มติชน จำหน่ายหนังสือ “จับเข่าคุยทักษิณ” ในช่วงที่มีกฎอัยการศึก และมีเนื้อหาหมิ่นเหม่ต่อ ม.112 ด้วย เพราะตนร้องต่อป.ป.ช.ไปแล้วเกือบ 2 ปี แต่เรื่องก็เงียบหาย จึงขอให้ออกมาชี้แจงถึงความคืบหน้าด้วย