ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สังคมเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด สำหรับคดีรถเบนซ์คลาสสิกผิดกฎหมายของ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ)” เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ว่า สุดท้ายแล้วจะลงเอยอย่างไร เพราะติดตาม พฤติการณ์แห่งงคดีแล้วดูเหมือนจะไม่คืบหน้าสักเท่าไหร่
ในช่วงที่ผ่านมา ทางวัดปากน้ำมีการแก้เกมมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการ ปฏิเสธว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องการซื้อรถเบนซ์คันดังกล่าว เนื่องจากมีผู้มีจิตศรัทธาต้องการนำมาถวาย โดยมี “พระมหาศาสนมุนี” (พระธนกิจ สุภาโว) หรือ “หลวงพี่แป๊ะ” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นผู้ดำเนินการจัดหา
จากนั้นทีมกฎหมายของหลวงพี่แป๊ะก็ได้นำรถผิดกฎหมายคันดังกล่าวขึ้นรถสไลด์มามอบให้แก่เจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2559 พร้อมกับแจ้งความดำเนินคดีกับ “นายวิชาญ รัษฐปานะ” เจ้าของอู่วิชาญ พร้อมเรียกค่าเสียหายจากอู่วิชาญเป็นเงินถึง 10,050,000 บาท
หรือพยายามพลิกสถานะจาก “จำเลย” ให้กลายเป็น “โจทก์” เปลี่ยนสถานะความสุ่มเสี่ยงจาก “ผู้ต้องหา” ให้เป็น “ผู้เสียหาย” นั่นเอง
ขณะที่นายวิชาญซึ่งความซวยเดินทางมาเยือนแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็เดินทางไปยังกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เพื่อขอทนายความสู้คดีและคุ้มครองในฐานะพยาน
จากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป และกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งในวัน 16 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวลาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กำหนดนัดหมายกับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เพื่อให้ปากคำในคดีดังกล่าว และถือเป็นครั้งแรกที่ทางดีเอสไอมีโอกาสได้เจอตัวผู้ปรากฏรายชื่อครอบครองรถเบนซ์คลาสสิกทะเบียน งค 1560 กรุงเทพมหานคร(จากเดิม ขม 99 กรุงเทพมหานคร) อย่างสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็นครั้งแรก
เวลา 19.30 น. พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีกรมดีเอสไอ ในฐานะตัวแทน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ พร้อมทีมสอบสวน ประกอบด้วย อัยการ 2 คนกับทีมพนักงานสอบสวน สำนักภาษีอากร 5 คน รวมทั้งหมด 7 คน เดินทางโดยรถตู้มาถึงวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และเข้าพบสมเด็จ พระมหารัชมังคลาจารย์ ภายในอาคารมงคลเทพมุนี โดยอนุญาตให้เฉพาะพนักงานสอบสวนเข้าไปเท่านั้น และห้ามไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปหรือเข้าไปใกล้อาคารดังกล่าวโดยเด็ดขาด
หลังการพูดคุยเสร็จสิ้น นายสมศักดิ์ โตรักษา หัวหน้าทีมกฎหมายวัดปากน้ำ แถลงข่าวที่ห้องโถงชั้น 2 พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล โดยระบุว่าวันนี้เป็นวันแรกที่พนักงานสอบสวนของดีเอสไอเข้าพบสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เพื่อให้ถ้อยคำในฐานะพยาน โดยได้หารือในการกำหนดกรอบประเด็นคำถามที่ทางดีเอสไอจะสอบปากคำ ซึ่งดีเอสไอจะตั้งคำถามเป็นรายประเด็นไป โดยประเด็นคำถามหลักจะเน้นไปที่เช็คและเงินบริจาคเป็นหลัก
นอกจากนี้จะมีประเด็นการลงนามทะเบียนรถ เอกสาร หลักฐานเกี่ยวกับตัวรถ และการจดประกอบ อุปกรณ์การจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งในส่วนการจัดซื้อจัดจ้างสมเด็จช่วงอาจจะทราบหรือไม่ทราบในรายละเอียด โดยดีเอสไอจะต้องกำหนดประเด็นคำถามที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์สามารถชี้แจงและให้คำตอบได้
ทั้งนี้ ทางสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์จะตอบข้อซักถามเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็มีบางส่วนที่ทางพนักงานสอบสวนต้องการให้เป็นถ้อยคำจากสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์คือ เรื่องลายมือชื่อท่าน โดยทางสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ก็ยินดีให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวน และอยากให้คดีนี้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ส่วนทางดีเอสไอจะส่งเอกสารประเด็นสอบมาถึงวัดเมื่อไหร่ ทางวัดจะตอบข้อซักถามชี้แจงกลับไปภายใน 1 อาทิตย์
หรือสรุปง่ายๆ ก็คือ ภารกิจของดีเอสไอในการพบสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ครั้งแรกล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะไม่ได้ข้อมูลอะไร เป็นเพียงแค่การกำหนดกรอบประเด็นคำถามที่ทางดีเอสไอจะสอบปากคำ
และที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์จะให้ปากคำก็ต่อเมื่อดีเอสไอทำหนังสือซักถามเข้ามาเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น
เป็นไงล่ะท่านผู้ชม...ธรรมดาเสียที่ไหน
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรเพราะถ้าจะว่าไปแล้ว คดีก็ยังไม่ได้มีความคืบหน้าอะไร ดีเอสไอไม่ได้มีการตั้งข้อกล่าวหาหรือแจ้งความดำเนินคดีอะไรกับใคร เป็นเพียงขั้นตอนและกระบวนการสอบสวนเท่านั้น
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นช่องให้ทีมกฎหมายของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เห็นช่องว่างในการยื้อคดีออกไป
ทว่า การเล่นแง่ของทีมกฎหมายของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ทำท่าว่าจะทำให้เรื่องบานปลายหนักไปกว่าเก่า เพราะดันไป “จุดต่อมปรี๊ด” ของ “พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขึ้นมา
พล.อ.ไพบูลย์ประกาศกร้าวและประกาศเตือนดังๆ ออกมาว่า...
“ผมอยากเตือนทนายความวัดปากน้ำคุณทำอะไรผมสั่งลูกน้องให้เกียรติแล้วคุณกลับมาเรียกร้อง ปกติเขาไม่ทำหนังสือกัน การให้เกียรติของเราคุณนำกลับนำเป็นข้อต่อรอง เราให้เกียรติทุกเรื่องอย่ามาเล่นแง่ ผมไม่เชื่อว่าสมเด็จฯช่วงจะอยากทำเช่นนี้ แต่คิดว่าเรื่องนี้คนที่เรื่องมากคือทีมทนายและทีมทนายนั่นเองที่กำลังทำให้สมเด็จฯช่วงเสียหายหรือไม่ ทนายของวัดผิดพลาดไปหรือไม่ หากสมเด็จฯช่วงจะทำหนังสือชี้แจงมาก็ให้ดำเนินการมา”
งานนี้ ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า การแก้เกมของทีมกฎหมายของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์และวัดปากน้ำจะบรรลุผลหรือไม่ หรือยิ่งแก้ยิ่งกลายเป็น “ลิงแก้แห” ทำให้สถานการณ์หนักหนาสาหัสเข้าไปอีก