"สมเด็จช่วง" คืนรถเบนซ์ให้ดีเอสไอ อ้างให้ช่วยตรวจสอบ หากผิดก็ให้ดำเนินคดีดำเนินคดีกับเจ้าของอู่รถจดประกอบ ด้าน"บิ๊กต๊อก"สั่งเร่งทำคดีรถจดประกอบทั้งหมด คาดเสร็จธ.ค.นี้ "วิษณุ" ปัดดองตั้งสังฆราช ยอมรับความเห็นผู้ตรวจการฯ มีน้ำหนักมากกว่าคนอื่น ยันทุกข้อสงสัยต้องทำให้ชัดเจน เพราะเป็นตำแหน่งสำคัญ มีหนึ่งเดียวในประเทศ ขณะที่ ปปง.อายัดทรัพย์สิน"ศุภชัย" อดีตปธ.สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลงจั่น และพวกเพิ่มกว่า 83 ล้าน
วานนี้ (7 มี.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายสุรพงษ์ สิทธิกรณ์ ทนายความของ พระมหาศาสนมุนี หรือ หลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เดินทางมายื่นเอกสารเพิ่มเติมต่อพ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ดีเอสไอ เพื่อให้ตรวจสอบ และดำเนินคดีกับนายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่วิชาญ รวมทั้งได้นำรถเบนซ์โบราณ หมายเลขทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ในการครอบครองของสมเด็จช่วง ขึ้นรถสไลด์ มามอบให้กับทางเจ้าหน้าที่ดีเอสไอด้วย
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ตนเป็นตัวแทนของหลวงพี่แป๊ะ มาส่งมอบรถเบนซ์โบราณให้ทางดีเอสไอ ตรวจสอบว่า ผิดกฎหมายหรือไม่ หากพบว่าผิด ก็ให้ไปดำเนินคดีกับผู้ขาย ไม่ใช่ทางวัดปากน้ำฯ โดยเมื่อช่วงเช้า มีผู้ใหญ่ได้พูดถึงเรื่องคดีรถจดประกอบทั้งหมด ท่านต้องดำเนินคดีตามมาตรฐานเดียวกัน และต้องเปิดเผยรายชื่อว่า ใครเป็นผู้ครอบครอง ไม่ใช่เปิดเผยแค่เพียงเราฝ่ายเดียว
ส่วนการจะเชิญ สมเด็จช่วง มาให้ถ้อยคำนั้น ไม่สามารถมาได้ เพราะไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา และไม่ใช่ผู้ต้องหา เพียงแต่เป็นผู้ครอบครองรถที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็พร้อมให้ความร่วมมือกับทางดีเอสไอ ส่วนรถคันนี้ กำลังส่งคืนผู้บริจาคซึ่งร่วมกันถวายหลายคน และถือว่าเป็นผู้เสียหายด้วย รวมทั้งได้โอนลอยไปแล้ว โดยคนขายกระทำผิดอย่างไร เราไม่ทราบ
"หากตรวจสอบรถคันนี้ แล้วพบว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ออกเป็นหนังสือ อย่าแถลงข่าวว่ารถคันนี้ถูก หรือผิดอย่างไร หรือใครเป็นผู้ต้องหา และอย่าพูดคลุมเครือว่าเป็นรถพระจดประกอบ เนื่องจากพระเป็นเพียงผู้ซื้อ และตกเป็นเหยื่อของการหลอกขาย นอกจากนี้รถเราไม่ใช่รถหรูเพราะมีมูลค่า 4 ล้านบาท หากเป็นรถหรูจริง ต้องราคา 10 ล้านบาทขึ้น ให้เรียกว่ารถโบราณ และเลิกใช้มานานแล้ว" นายสุรพงษ์ กล่าว
ด้านพ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี ดีเอสไอ ให้มาตรวจสอบรายละเอียด ซึ่งคดีดังกล่าวได้รับเป็นคดีพิเศษ โดยทางสำนักคดีภาษีอากร ดีเอสไอ จะเป็นผู้สอบสวนในลำดับต่อไป
"ส่วนการจะเอาผิดกับนายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่วิชาญ ผู้ขายรถเบนซ์โบราณให้กับวัดปากน้ำฯ นั้นอยู่ในชั้นสอบสวน ซึ่งจะตรวจสอบว่า ใครถูกใครผิดตามกระบวนการข้อเท็จจริง ส่วนที่ว่า สมเด็จช่วง มีการโอนลอยไปแล้ว ยังไม่ขอตอบในรายละเอียด อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะนำรถเบนซ์คันนี้ ไปเก็บไว้บริเวณลานจอดรถชั้น 8 อาคารไปรษณีย์ไทย ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อดำเนินการต่อไป" พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าว
"บิ๊กต๊อก"สั่งทำคดีรถยนต์จดประกอบ
ในวันเดียวกันนี้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เป็นประธานการประชุม กรณีการตรวจสอบขบวนการทำรถยนต์จดประกอบ เพื่อติดตาม และเร่งรัดการดำเนินงานดังกล่าวร่วมกับ 7 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมการขนส่งทางบก สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งรถยนต์จดประกอบทั้งหมด ขณะนี้มี 7,123 คัน ซึ่งทางดีเอสไอ จะส่งยอดจำนวนรถยนต์จดประกอบดังกล่าวไปให้กรมการขนส่งทางบกตรวจสอบยืนยันว่า มีจำนวนครบถ้วนหรือไม่ พร้อมกับสรุปบัญชีหมายเลขเครื่องยนต์ และเลขตัวถังส่งกลับมาให้ทางดีเอสไอ เพื่อรวบรวมส่งต่อไปยังกรมศุลกากรตรวจสอบว่าคันไหนถูกต้อง หรือสงสัยว่าผิดกฎหมาย หากเป็นรถที่ถูกต้อง จะถูกส่งคืนให้กับผู้ครอบครอง หากพบความผิดชัดเจนแล้ว ทางกรมศุลกากร จะดำเนินการฟ้องแพ่งเพื่อเรียกเก็บภาษีอากร ทั้งหมดนี้ คาดว่าประมาณเดือน ธ.ค.59 จึงจะแล้วเสร็จ
"วิษณุ" ปัดดองเรื่องตั้งสังฆราช
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ว่า ทราบจากสื่อว่า ผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งเรื่องให้นายกรัฐมนตรี แต่ตนยังไม่ทราบ เพราะนายกฯยังไม่ได้ส่งอะไรมาให้ ซึ่งความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดิน ถือเป็นความเห็นทางกฎหมาย ไม่อยากเรียกว่าข้อเสนอ เพราะข้อเสนอต้องรับมาปฏิบัติ ความเห็นนี้เหมือนกับความเห็นอื่นๆ แต่เมื่อจะต้องดำเนินการ คงต้องทำให้ได้ข้อยุติ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลรั้งรอ ไม่ใช่ตั้งใจเก็บเรื่องซุกไว้ใต้พรม และเชื่อว่าพระเถระชั้นผู้ใหญ่เข้าใจ
"ผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ต้องนับถือ และให้เกียรติท่าน เมื่อมีความเห็นมา ก็ต้องถือว่ามีน้ำหนักกว่าความเห็นคนอื่นทั่วๆไป ส่วนจะทำอย่างไรต่อไป คงต้องพิจารณากันอีกที " นายวิษณุ กล่าว และว่า เรื่องนี้จะต้องทำให้เกิดความชัดเจน ยิ่งตำแหน่งนี้ ที่มีหนึ่งเดียวในประเทศไทย ตำแหน่งอื่นที่ไม่สำคัญขนาดนี้ ก็ต้องทำให้เกิดความชัดเจน
ด้านนายธาวิน อินทรจำนงค์ รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า หากรัฐบาลไม่ดำเนินการตามแนวทางที่ผู้ตรวจเสนอ ภายใน 30-45 วัน ก็สามารถที่เสนอเรื่องดังกล่าวให้ที่ประชุมรัฐสภารับทราบ เพื่อให้นำไปอภิปราย และแสดงความเห็น
ทั้งนี้ยืนยันว่าการพิจารณาของผู้ตรวจไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด ตามที่แกนนำคนเสื้อแดงระบุว่า ผู้ตรวจสมคบกับ 3 พ. ขัดขวางการแต่งตั้งสมเด็จช่วง เป็นสมเด็จพระสังฆราช และยืนยันว่า การพิจารณาผู้ตรวจเป็นไปตามข้อเท็จจริงและกฎหมาย ส่วนที่จะมีการล่ารายชื่อเพื่อถอดถอนผู้ตรวจการแผ่นดินออกจากตำแหน่งหลังมีมติดังกล่าว ไม่เป็นไร ถือเป็นสิทธิของทุกฝ่าย
ปปง.อายัดทรัพย์สิน"ศุภชัย"เพิ่ม83ล้าน
ส่วนที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง. กล่าวว่า จากการที่ปปง.ได้รับเรื่องร้องเรียน จากผู้รับมอบอำนาจของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด เมื่อปี 56 ในดำเนินการกับ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานกรรมการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด กับพวก ทำให้สหกรณ์ฯได้รับความเสียหายเป็นเงินกว่า 12,402 ล้านบาท และนำเงินที่ได้จากการยักยอกไปซื้อทรัพย์สินต่างๆ โดยใส่ชื่อตนเอง หรือผู้อื่น เพื่อเจตนาปกปิดซุกซ่อนทรัพย์สินนั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ก.พ.59 ตัวแทนสหกรณ์ฯได้ยื่นแบบคำร้อง คณะกรรมการธุรกรรม (ผ่านเลขาธิการ ปปง.) เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไปคืน หรือชดใช้ให้แก่ผู้เสียหาย เพื่อขอให้คุ้มครองสิทธิผู้เสียหายตามกฎหมายฟอกเงิน
ต่อมาคณะกรรมการธุรกรรม มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 3 มี.ค.59 ให้เลขาธิการ ปปง. ขอให้พนักงานอัยการ ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดรายนายศุภชัย กับพวกไปคืน หรือชดใช้ให้แก่ผู้เสียหาย แทนการสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินในคราวเดียวกัน จากกรณีเมื่อวันที่ 1 พ.ค.57 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายศุภชัย กับพวก รวม 18 คน เป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง และขอให้ศาลมีคำสั่งชั่วคราวก่อนพิพากษา โดยการยึดและอายัดทรัพย์สินที่ยักยอกอีกจำนวนหนึ่ง รวมราคาประเมินกว่า 3,900,000,000 บาท
ทั้งนี้ ปปง. ยังตรวจสอบพบพฤติการณ์ความผิดของ นายนายศุภชัย กับพวกอย่างต่อเนื่องได้มีมติให้อายัดทรัพย์สิน ของนายวัฒน์ชานนท์ นวอิสรารักษ์ กับพวก เพิ่มเติม ประกอบด้วยที่ดินตามโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในจังหวัดขอนแก่น มูลค่ารวมประมาณ 83,536,880 บาท
วานนี้ (7 มี.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายสุรพงษ์ สิทธิกรณ์ ทนายความของ พระมหาศาสนมุนี หรือ หลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เดินทางมายื่นเอกสารเพิ่มเติมต่อพ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ดีเอสไอ เพื่อให้ตรวจสอบ และดำเนินคดีกับนายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่วิชาญ รวมทั้งได้นำรถเบนซ์โบราณ หมายเลขทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ในการครอบครองของสมเด็จช่วง ขึ้นรถสไลด์ มามอบให้กับทางเจ้าหน้าที่ดีเอสไอด้วย
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ตนเป็นตัวแทนของหลวงพี่แป๊ะ มาส่งมอบรถเบนซ์โบราณให้ทางดีเอสไอ ตรวจสอบว่า ผิดกฎหมายหรือไม่ หากพบว่าผิด ก็ให้ไปดำเนินคดีกับผู้ขาย ไม่ใช่ทางวัดปากน้ำฯ โดยเมื่อช่วงเช้า มีผู้ใหญ่ได้พูดถึงเรื่องคดีรถจดประกอบทั้งหมด ท่านต้องดำเนินคดีตามมาตรฐานเดียวกัน และต้องเปิดเผยรายชื่อว่า ใครเป็นผู้ครอบครอง ไม่ใช่เปิดเผยแค่เพียงเราฝ่ายเดียว
ส่วนการจะเชิญ สมเด็จช่วง มาให้ถ้อยคำนั้น ไม่สามารถมาได้ เพราะไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา และไม่ใช่ผู้ต้องหา เพียงแต่เป็นผู้ครอบครองรถที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็พร้อมให้ความร่วมมือกับทางดีเอสไอ ส่วนรถคันนี้ กำลังส่งคืนผู้บริจาคซึ่งร่วมกันถวายหลายคน และถือว่าเป็นผู้เสียหายด้วย รวมทั้งได้โอนลอยไปแล้ว โดยคนขายกระทำผิดอย่างไร เราไม่ทราบ
"หากตรวจสอบรถคันนี้ แล้วพบว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ออกเป็นหนังสือ อย่าแถลงข่าวว่ารถคันนี้ถูก หรือผิดอย่างไร หรือใครเป็นผู้ต้องหา และอย่าพูดคลุมเครือว่าเป็นรถพระจดประกอบ เนื่องจากพระเป็นเพียงผู้ซื้อ และตกเป็นเหยื่อของการหลอกขาย นอกจากนี้รถเราไม่ใช่รถหรูเพราะมีมูลค่า 4 ล้านบาท หากเป็นรถหรูจริง ต้องราคา 10 ล้านบาทขึ้น ให้เรียกว่ารถโบราณ และเลิกใช้มานานแล้ว" นายสุรพงษ์ กล่าว
ด้านพ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี ดีเอสไอ ให้มาตรวจสอบรายละเอียด ซึ่งคดีดังกล่าวได้รับเป็นคดีพิเศษ โดยทางสำนักคดีภาษีอากร ดีเอสไอ จะเป็นผู้สอบสวนในลำดับต่อไป
"ส่วนการจะเอาผิดกับนายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่วิชาญ ผู้ขายรถเบนซ์โบราณให้กับวัดปากน้ำฯ นั้นอยู่ในชั้นสอบสวน ซึ่งจะตรวจสอบว่า ใครถูกใครผิดตามกระบวนการข้อเท็จจริง ส่วนที่ว่า สมเด็จช่วง มีการโอนลอยไปแล้ว ยังไม่ขอตอบในรายละเอียด อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะนำรถเบนซ์คันนี้ ไปเก็บไว้บริเวณลานจอดรถชั้น 8 อาคารไปรษณีย์ไทย ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อดำเนินการต่อไป" พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าว
"บิ๊กต๊อก"สั่งทำคดีรถยนต์จดประกอบ
ในวันเดียวกันนี้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เป็นประธานการประชุม กรณีการตรวจสอบขบวนการทำรถยนต์จดประกอบ เพื่อติดตาม และเร่งรัดการดำเนินงานดังกล่าวร่วมกับ 7 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมการขนส่งทางบก สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งรถยนต์จดประกอบทั้งหมด ขณะนี้มี 7,123 คัน ซึ่งทางดีเอสไอ จะส่งยอดจำนวนรถยนต์จดประกอบดังกล่าวไปให้กรมการขนส่งทางบกตรวจสอบยืนยันว่า มีจำนวนครบถ้วนหรือไม่ พร้อมกับสรุปบัญชีหมายเลขเครื่องยนต์ และเลขตัวถังส่งกลับมาให้ทางดีเอสไอ เพื่อรวบรวมส่งต่อไปยังกรมศุลกากรตรวจสอบว่าคันไหนถูกต้อง หรือสงสัยว่าผิดกฎหมาย หากเป็นรถที่ถูกต้อง จะถูกส่งคืนให้กับผู้ครอบครอง หากพบความผิดชัดเจนแล้ว ทางกรมศุลกากร จะดำเนินการฟ้องแพ่งเพื่อเรียกเก็บภาษีอากร ทั้งหมดนี้ คาดว่าประมาณเดือน ธ.ค.59 จึงจะแล้วเสร็จ
"วิษณุ" ปัดดองเรื่องตั้งสังฆราช
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ว่า ทราบจากสื่อว่า ผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งเรื่องให้นายกรัฐมนตรี แต่ตนยังไม่ทราบ เพราะนายกฯยังไม่ได้ส่งอะไรมาให้ ซึ่งความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดิน ถือเป็นความเห็นทางกฎหมาย ไม่อยากเรียกว่าข้อเสนอ เพราะข้อเสนอต้องรับมาปฏิบัติ ความเห็นนี้เหมือนกับความเห็นอื่นๆ แต่เมื่อจะต้องดำเนินการ คงต้องทำให้ได้ข้อยุติ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลรั้งรอ ไม่ใช่ตั้งใจเก็บเรื่องซุกไว้ใต้พรม และเชื่อว่าพระเถระชั้นผู้ใหญ่เข้าใจ
"ผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ต้องนับถือ และให้เกียรติท่าน เมื่อมีความเห็นมา ก็ต้องถือว่ามีน้ำหนักกว่าความเห็นคนอื่นทั่วๆไป ส่วนจะทำอย่างไรต่อไป คงต้องพิจารณากันอีกที " นายวิษณุ กล่าว และว่า เรื่องนี้จะต้องทำให้เกิดความชัดเจน ยิ่งตำแหน่งนี้ ที่มีหนึ่งเดียวในประเทศไทย ตำแหน่งอื่นที่ไม่สำคัญขนาดนี้ ก็ต้องทำให้เกิดความชัดเจน
ด้านนายธาวิน อินทรจำนงค์ รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า หากรัฐบาลไม่ดำเนินการตามแนวทางที่ผู้ตรวจเสนอ ภายใน 30-45 วัน ก็สามารถที่เสนอเรื่องดังกล่าวให้ที่ประชุมรัฐสภารับทราบ เพื่อให้นำไปอภิปราย และแสดงความเห็น
ทั้งนี้ยืนยันว่าการพิจารณาของผู้ตรวจไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด ตามที่แกนนำคนเสื้อแดงระบุว่า ผู้ตรวจสมคบกับ 3 พ. ขัดขวางการแต่งตั้งสมเด็จช่วง เป็นสมเด็จพระสังฆราช และยืนยันว่า การพิจารณาผู้ตรวจเป็นไปตามข้อเท็จจริงและกฎหมาย ส่วนที่จะมีการล่ารายชื่อเพื่อถอดถอนผู้ตรวจการแผ่นดินออกจากตำแหน่งหลังมีมติดังกล่าว ไม่เป็นไร ถือเป็นสิทธิของทุกฝ่าย
ปปง.อายัดทรัพย์สิน"ศุภชัย"เพิ่ม83ล้าน
ส่วนที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง. กล่าวว่า จากการที่ปปง.ได้รับเรื่องร้องเรียน จากผู้รับมอบอำนาจของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด เมื่อปี 56 ในดำเนินการกับ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานกรรมการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด กับพวก ทำให้สหกรณ์ฯได้รับความเสียหายเป็นเงินกว่า 12,402 ล้านบาท และนำเงินที่ได้จากการยักยอกไปซื้อทรัพย์สินต่างๆ โดยใส่ชื่อตนเอง หรือผู้อื่น เพื่อเจตนาปกปิดซุกซ่อนทรัพย์สินนั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ก.พ.59 ตัวแทนสหกรณ์ฯได้ยื่นแบบคำร้อง คณะกรรมการธุรกรรม (ผ่านเลขาธิการ ปปง.) เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไปคืน หรือชดใช้ให้แก่ผู้เสียหาย เพื่อขอให้คุ้มครองสิทธิผู้เสียหายตามกฎหมายฟอกเงิน
ต่อมาคณะกรรมการธุรกรรม มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 3 มี.ค.59 ให้เลขาธิการ ปปง. ขอให้พนักงานอัยการ ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดรายนายศุภชัย กับพวกไปคืน หรือชดใช้ให้แก่ผู้เสียหาย แทนการสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินในคราวเดียวกัน จากกรณีเมื่อวันที่ 1 พ.ค.57 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายศุภชัย กับพวก รวม 18 คน เป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง และขอให้ศาลมีคำสั่งชั่วคราวก่อนพิพากษา โดยการยึดและอายัดทรัพย์สินที่ยักยอกอีกจำนวนหนึ่ง รวมราคาประเมินกว่า 3,900,000,000 บาท
ทั้งนี้ ปปง. ยังตรวจสอบพบพฤติการณ์ความผิดของ นายนายศุภชัย กับพวกอย่างต่อเนื่องได้มีมติให้อายัดทรัพย์สิน ของนายวัฒน์ชานนท์ นวอิสรารักษ์ กับพวก เพิ่มเติม ประกอบด้วยที่ดินตามโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในจังหวัดขอนแก่น มูลค่ารวมประมาณ 83,536,880 บาท