xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“แพนเธอร์ จากัวร์”รถคลาสสิกสุดเท่ห์ กับเรื่องที่ “ขำไม่ออก” ของ “เพ่น้ำฝน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ขณะที่สังคมกำลังเฝ้าติดตามเรื่องรถเบนซ์โบราณผิดกฎหมายของ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปฺญโญ)” เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ พระผู้ มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ และมหาเถรสมาคม(มส.) มีมติให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และนำมาซึ่งการรณรงค์วัดทั่วประเทศให้ขึ้นป้ายหนุน

ขณะที่สังคมกำลังมีปฏิกิริยาในเชิงลบต่อวัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเจ้าสำนักคือ “พระเทพญาณมหามุนี(ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)” ในคดีรับเช็คเงินโกงจาก “นายศุภชัย ศรีศุภอักษร” อัครสาวกคนสำคัญแห่งสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และนำมาซึ่งปรากฏการณ์ล่าสุดคือการที่มีกลุ่มประชาชนรวมตัวกันไปคัดค้านพิธีตักบาตรพระจำนวน 1,250 รูปของวัดพระธรรมกายซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดระยอง

มีเรื่องสำคัญในยุทธจักรดงขมิ้นที่น่าสนใจยิ่งสอดแทรกเข้ามา นั่นคือกรณี “พระครูปลัดสิทธิวัฒน์” หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “หลวงพี่น้ำฝน” เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถยนต์แพนเธอร์ รุ่นปี 1977 สีดำ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) มีหมายเรียกให้นำมาตรวจสอบเพราะสงสัยว่าจะเป็นรถที่ผิดกฎหมาย

เป็นหลวงพี่น้ำฝนผู้มากบารมีและผู้กว้างขวางแห่งเมืองนครปฐม

เป็นหลวงพี่น้ำฝนผู้เป็น “ฐานานุกรม” ของ “พระพรหมสุธี” หรือเจ้าคุณเสนาะ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ซึ่งกระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการผูกคอตาย

เป็นหลวงพี่น้ำฝนที่เคยบุก “วัดอ้อน้อย” ของหลวงปู่พุทธะอิสระพร้อมด้วยนายวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม โดยกล่าวอ้างว่าเป็นหัวหน้าคณะพระวินยาธิการ จังหวัดนครปฐม เพื่อขอให้พระทุกรูปภายในวัดอ้อน้อย ตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติด และอ้างว่าเป็นคำสั่งของพระราชรัตนมุนี วัดพระปฐมเจดีย์ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม

รถแพนเธอร์โบราณคันนี้ หลวงพี่น้ำฝนให้การต่อหน้าธารกำนัลว่า เป็น รถ ยี่ห้อแพนเธอร์ แต่ใช้เครื่องของจากัวร์ โดยจดทะเบียนย้ายมาจากจังหวัดสระบุรีเข้ากรุงเทพฯ ทะเบียนกท-กก.1177 ในชื่อของตนเองตั้งแต่ต้น และเสียภาษีเป็นปกติปีละ 11,700 บาท และภาษีจะหมดในวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 นี้

เรื่องที่ชวนให้สงสัยเรื่องแรกคือ จากการตรวจสอบครั้งแรกในปี 2556 รถยนต์คันดังกล่าวจดทะเบียนเป็นรถจากัวร์อยู่ในกลุ่มรถหรูราคาเกิน 4 ล้านบาท มีมากกว่า 500 คัน โดยผลตรวจจากบริษัท จากัวร์ ประเทศไทย เบื้องต้นไม่พบเลขตัวถังและเครื่องยนต์อยู่ในฐานข้อมูล และเมื่อตรวจสอบกับบริษัทแม่ก็ยืนยันว่าไม่ใช่รถจากัวร์ แต่ขั้นตอนเอกสารนำเข้าแสดงเป็นยี่ห้อจากัวร์ เมื่อจดประกอบเป็นยี่ห้อแพนเธอร์ แต่พอจดทะเบียนเป็นรถจากัวร์(แพนเธอร์)

ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2556 หลวงพี่น้ำฝนออกมาให้สัมภาษณ์ถึงที่มาที่ไปของรถคันนี้ว่า “อาตมาพร้อมคณะได้เดินทางไปทำพิธีเจิมนะเมตตา และเสริมบารมีให้ศิษย์ที่ประกอบธุรกิจร้านอาหารไทยในเมืองลอสแองเจลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา พ.ศ.2554 และมีศิษย์คนหนึ่งได้มีจิตศรัทธาถวายรถยนต์โบราณ ยี่ห้อจากัวร์ แพนเธอร์ ให้อาตมาเพื่อให้มาตั้งโชว์ที่วัดไผ่ล้อม และเพื่อประโยชน์ทางการศึกษารถยนต์โบราณหายาก”

เมื่อปี 2556 หลวงพี่น้ำฝนให้สัมภาษณ์เอาไว้ด้วยว่า “ลูกศิษย์ที่ศรัทธาถวายรถให้ ได้ดำเนินการให้ช่างแยกชิ้นส่วนเครื่องยนต์ขึ้นเรือมาลำหนึ่งและแยกตัวถังรถยนต์จากัวร์ แพนเธอร์ ขึ้นเรือมาต่างหากอีกลำมาถึงประเทศไทย ดำเนินการด้วยระบบจดประกอบ ผ่านการเสียภาษีนำเข้าศุลกากร ภาษีสรรพสามิต ผ่านการจดประกอบบริษัท และโรงงานของนายธีรวุฒิ แดงท่าไม้ ตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยมีนายเติมศักดิ์ ปิติธนสารสมบัติ เจ้าของร้านทองปิติเจริญ ราชวัตร เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เป็นผู้จ่ายค่าภาษี ทั้งสิ้น 1,506,615 บาท ใบเสร็จเลขที่ C07060055/0001689 จากนั้นได้มีการนำจดทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวที่สำนักงานขนส่งจังหวัดสระบุรี”

ทว่า ดีเอสไอในยุคที่มี “นายธาริต เพ็งดิษฐ” เป็นอธิบดีก็มิได้ดำเนินการสอบสวนให้แล้วเสร็จโดยปล่อยให้เรื่องคาราคาซังเอาไว้ ซึ่งก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเป็นเพราะอะไร จนกระทั่งดีเอสไอในยุคปัจจุบันต้องเข้าไปตามเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้เรียบร้อยอีกครั้ง

2 มีนาคม 2559 วันทีดีเอสไอนำคณะไปตรวจสอบรถคันนี้อีกครั้ง หลวงพี่น้ำฝนให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า “รถคันดังกล่าวมีลูกศิษย์ที่อยู่ต่างประเทศนำมาถวาย มีนายเติมศักดิ์ ปิติธนสารสมบัติ ลูกศิษย์คนสนิท เป็นผู้ดำเนินการให้ ยอมรับเครื่องยนต์ของรถคันนี้โอนมาในนามชื่อของหลวงพี่น้ำฝน แล้วจด ประกอบจากบริษัทที่จังหวัดสระบุรี อยู่ในครอบครองมากว่า 4 ปี แล้ว ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ ลูกศิษย์หลายๆ คน ถวายให้”

ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร คงต้องรอการตรวจสอบ

แต่ที่แน่ๆ ก็คือ นายเติมศักดิ์หรือเสี่ยดำนั้นไม่ได้เป็นแค่เจ้าของร้านทองเท่านั้น หากแต่คือโปรโมเตอร์มวยชื่อดัง “ศึกอัศวินดำ” ซึ่งบรรดาคอมวยรู้จักมักคุ้นกันดี

และที่แน่ๆ จากคำให้สัมภาษณ์ของหลวงพี่น้ำฝนก็คือรถคันนี้ถูกแยก เครื่องกับตัวรถออกจากกัน ซึ่งแปลไทยเป็นไทยได้ว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการเสียภาษีนำเข้าต่ำลง และการที่นำไปจดทะเบียนที่จังหวัดสระบุรีก่อนย้ายมากรุงเทพฯ ก็เพราะในความเป็นจริงแล้ว รถจำพวกนี้ส่วนใหญ่จะไม่สามารถจดทะเบียนรถได้โดยเฉพาะใน กทม. จึงต้องซิกแซ็กหนีไปจดทะเบียนในต่างจังหวัดไกลๆ จากนั้นจึงค่อยโอนป้ายทะเบียนมาอยู่กรุงเทพฯ

สำหรับเรื่องการเสียภาษีนั้น หลวงพี่น้ำฝนบอกเองว่า เสี่ยดำเป็นผู้เสียภาษีให้ในราคา 1,506,615 บาท ซึ่งนั่นเป็นกรณีจดประกอบ แต่ถ้าเป็นชุดสำเร็จทั้งคัน ไม่ได้แยกชิ้นส่วนมาเพื่อจดประกอบ จะต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตรา 300% หรือหมายความต้องเสียภาษีอยู่ที่ ประมาณ 6 ล้านบาท

เรื่องต่อมาเป็นเรื่องที่ชวนให้ขบขันยิ่ง นั่นคือตรรกะของหลวงพี่น้ำฝน ซึ่ง บอกว่า “รถยนต์จดประกอบกว่า 5,000 คันไปตรวจแล้วหรือยัง ทำไมมาตรวจแต่รถอาตมา” เพราะแทนที่จะไปหาหลักฐานมายืนยันว่า รถถูกกฎหมาย กลับมาอ้างข้างๆ คูๆ ว่า รถจดประกอบมีเยอะแยะทำไมไม่ตรวจ มาตรวจรถของตัวเองก่อน

เรื่องที่น่าขบขันเรื่องที่ถัดมาคือ หลวงพี่น้ำฝนอ้างว่า “สภาพตอนนี้ก็ใช้งานไม่ได้จอดสนิท ไดสตาร์ทพัง เกียร์ก็พังจอดอยู่ในวัด เอาออกไปไหนไม่ได้ แล้วไม่ได้ใช้ในการส่วนตัวเลย จอดเป็นวิทยาทาน” ซึ่งเป็นคำอธิบายที่ “ตลกโปกฮา” ยิ่งนัก เพราะรถที่จะได้รับการต่อทะเบียนได้ต้องผ่าน “การตรวจสภาพ” จากกรมการขนส่งทางบกมาก่อน ถ้าวิ่งไม่ได้เกียร์พังแล้วจะผ่านการตรวจสอบให้ต่อทะเบียนได้อย่างไร เว้นเสียแต่ว่ากรมการขนส่งทางบก “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่”

วันที่ 2 มีนาคม 2559 ความจริงเรื่องรถคนดังกล่าวก็เป็นที่ประจักษ์ในระดับหนึ่ง โดยนายประสงค์ ขาวบริสุทธิ์ จากบริษัท ซิตี้ออโต้ โมบาย จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญรถยนต์จากัวร์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบทางกายภาพเบื้องต้นพบตัวถังเป็นแพนเธอร์ วางเครื่องจากัวร์รุ่น J731 บล็อก 4.2(เครื่องยนต์เลข 8L) ผลิตเมื่อปี ค.ศ.1977 คันที่ 31 ส่วนจะเรียกว่า จากัวร์ แพนเธอร์ หรือแพนเธอร์ จากัวร์ ก็ได้เช่นกัน

เช่นเดียวกับนายไมเคิล โบเชค ผู้เชี่ยวชาญรถโบราณ ยืนยันเช่นเดียวกันว่า รถคันดังกล่าวเป็นรถแพนเธอร์ เพราะมีสัญลักษณ์ของแพนเธอร์ชัดเจน แต่เครื่องยนต์เป็นจากัวร์ โดยได้รับลิขสิทธิ์จากจากัวร์ให้ผลิตแบบไตรคลาสสิก ลิมิเต็ด อีดิชั่น ในปี 1977 มีเพียง 500 คัน ส่วนตัวเลขแชสซีส์หรือตัวเลขตัวถังนั้นจะไม่มีปรากฏบนตัวถังรถ แต่จะบันทึกเป็นเพลทซีรีนัมเบอร์ติดอยู่ในห้องเครื่อง ระบุหมายเลข 731 ส่วนเครื่องยนต์หมายเลข 8ศ66240-L เกียร์หมายเลข 28162004002760

...และว่ากันว่า รถยนต์คันนี้เป็นรถที่นักสะสมอยากเก็บไว้เป็นคอลเลกชั่น และในประเทศไทยเพิ่งเคยพบคันเดียวคือที่วัดไผ่ล้อม

ว้าว......มันช่างยอดมากนะจ๊ะรสนิยมของ “หลวงเพ่น้ำฝน”

และเมื่อนำไปประกอบกับคำให้สัมภาษณ์ของหลวงพี่น้ำฝนก็น่าจะสรุป ได้ว่าเป็นรถยี่ห้อแพนเธอร์จริง เพราะหลวงพี่ให้สัมภาษณ์ล่าสุดก่อนดีเอสไอไปตรวจว่า “เป็นรถยี่ห้อแพนเธอร์ แต่ใช้เครื่องของจากัวร์”

ส่วนจะผิดกฎหมายหรือไม่นั้น ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้ว จะจบลงอย่างไร

เฉกเช่นเดียวกับรถเบนซ์โบราณของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ และคดีรับของโจรและฟอกเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งพระเทพญาณมหามุนีกำลังลุ้นระทึกชนิดหายใจไม่ทั่วท้อง



กำลังโหลดความคิดเห็น