xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

กราบ “สมเด็จช่วง” รถผิดกม. ปลงอาบัติได้หรือไม่? “เจ้าคุณประสาร” ขู่ปลุก “ม็อบพระ” อีกแล้วครับท่าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ยุทธจักรดงขมิ้นในรอบสัปดาห์นี้ ยังคงมี 2 เรื่องสำคัญที่ต้องจับตา

เรื่องแรกคือกรณีรถยนต์โบราณ Mercedes Benz รุ่น W186 ปี ค.ศ.1951-1957 ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เป็นรถผิดกฎหมายทั้งในส่วนของการนำเข้า การจดประกอบ การเสียภาษีสรรพสามิต และการจดทะเบียน โดยเข้าข่ายความผิดกฎหมายหลายเรื่อง เช่น พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ร.บ.สรรพสามิต กฎหมายอาญาเรื่องแจ้งข้อความเป็นเท็จ-การปลอมแปลงเอกสาร

เรื่องที่สองก็คือความคืบหน้ากรณี “ม็อบพระ” ซึ่งนำโดยพระเมธีธรรมาจารย์(ประสาร จนฺทสาโร) เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย บุกพุทธมณฑลด้วยเหตุผลสำคัญคือการเรียกร้องให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทูลเกล้าฯ ชื่อ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ)” เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ทั้งสองเรื่องมีความเกี่ยวโยงกัน และมีความคืบหน้าที่น่าสนใจไม่น้อย

กล่าวสำหรับคดีรถยนต์โบราณนั้น อยู่ระหว่างการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษจะเข้ากราบนมัสการสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) เพื่อขอข้อมูล และเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม รวมทั้งมีการเปลี่ยนตัว “ทนายความ” ของวัดพระธรรมกาย โดย นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ให้เหตุผลว่า ต้องไปรับตำแหน่งนายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย ทำให้เกรงว่าจะทำให้เกิดความไม่เหมาะสมถ้าหากรับว่าความในคดีนี้

อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญของเรื่องเห็นจะหนีไม่พ้นความเคลื่อนไหวของตัวสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) เอง ซึ่งทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอีกครั้ง

กล่าวคือวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2559 สมเด็จช่วงได้เดินทางมาแสดงพระธรรมเทศนาที่พุทธมณฑลเนื่องในวันมาฆบูชาโดย รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 730 Ld ทะเบียน ขม 99 ซึ่งเป็นรถทะเบียนที่มีการโอนมาจากรถโบราณ Mercidez Benze รุ่น W186 ปี ค.ศ.1951-1957 ที่ดีเอสไอระบุว่าเป็นรถที่ผิดกฎหมาย

ย้ำอีกครั้ง รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 730 Ld

ทั้งนี้ ในบางช่วงบางตอนของการแสดงพระธรรมเทศนาของสมเด็จช่วงก็ได้ถูกหยิบมาเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า มีความหมายประหวัดไปถึงเรื่องรถยนต์โบราณด้วยหรือไม่

“หลักคำสอนของศาสนาพุทธนั้นจริงๆ แล้วมีไม่มาก มีเพียง 3 ข้อคือ การไม่ทำความชั่ว การทำความดี และการทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส เราเป็นชาวพุทธควรจะต้องจำให้ได้ว่า พุทธศาสนาสอนอะไร เวลามีคนถามจะได้พูดตอบได้ และว่าทุกคนมีความเชื่อ เมื่อทำตามความเชื่อก็จะทำให้จิตใจสบาย เหมือนศาสนาคริสต์มีการสารภาพบาป พุทธเองพาระก็มีการปลงอาบัติ เมื่อทำความผิดอะไรมาก็มาบอกกล่าวให้ผู้อื่นทราบ ซึ่งจะทำให้ใจสบาย แต่สิ่งที่ทำผิดมานั้นจะหมดไปหรือไม่นั้นไม่ทราบ”

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องในทำนองเดียวกันอีก กล่าวคือเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีหนังสือถึงพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม พระดังเมืองนครปฐม ผู้เป็นฐานานุกรมของพระพรหมสุธี หรือเจ้าคุณเสนาะผู้ล่วงลับแห่งวัดสระเกศให้นำรถยนต์ แพนเธอร์ รุ่นปี 1977 สีดำ หมายเลขเครื่องยนต์ 8L66240-L หมายเลขตัวรถ 731 ซึ่งหลวงพี่น้ำฝนมีชื่อเป็นผู้ครอบครองและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เพื่อตรวจพิสูจน์ทางกายภาพ

เรื่องนี้ทำให้พุทธศาสนิกชนฉุกคิดขึ้นมาอีกครั้งว่า ทำไมพระชั้นผู้ใหญ่และพระชื่อดังของไทยถึงมีรสนิยมในการสะสมรถยนต์โบราณ รวมถึงมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่

ขณะที่ “ฝ่ายสนับสนุน” สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ)ก็ยังคงขมีขมันเหมือนเดิม ทั้งพระเมธีธรรมาจารย์(ประสาร จนฺทสาโร) เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานม็อบไข่แม้ว และ มหาเถรสมาคม(มส.)โดยมีข่าวปล่อยออกมาถึงขนาดจะมีการปลุกม็อบพระในวันมาฆบูชาที่ผ่านมา แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

โดยเฉพาะตัวพระเมธีธรรมาจารย์เองที่กำลังลุ้นระทึกกับการถูกออกหมายเรียกในการนำม็อบพระบุกพุทธมณฑลและล็อกคอทหาร แต่ดูเหมือนว่าเจ้าคุณประสารจะติดใจในการเป็นผู้นำม็อบไปเสียแล้ว

กล่าวคือ พระเมธีธรรมาจารย์ประกาศกร้าวว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ยังเล่นดนตรีคีย์เดิมคือถ้ายังมีความขัดแย้งอยู่ก็จะไม่เสนอชื่อสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ จะเรียกพระได้มากกว่าเดิม จำนวนวันก็จะอยู่ยาวมากขึ้น และการเจรจาก็จะยากขึ้นเพราะไม่เชื่อถือกัน

“ขณะนี้พระสงฆ์ที่เดินทางไปร่วมเจริญพระพุทธมนต์ที่พุทธมณฑลได้แสดงเจตจำนงมาที่อาตมาเป็นจำนวนมากกว่า ถ้ามีหมายเรียกมาถึงอาตมาเมื่อไร วันไหน พระทุกรูปจะขอไปแสดงตนให้ล้นโรงพักพุทธมณฑลในวันนั้นเพื่อจะไปแสดงตนเป็นพระผู้ต้องหาร่วมกันในคดีเจริญพระพุทธมนต์ดังกล่าวและยอมให้จับกุมคุมขังพระสงฆ์หมู่ใหญ่ด้วยกันทั้งหมดในวันนั้น”

ห้าวเป้งและดุดันเหมือนเดิมทุกประการ

ด้านนายจตุพรกล่าวในรายการมองไกลผ่านทางยูทิวบ์ถึงการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชว่า หากผู้มีอำนาจต้องการรู้ความจริงแล้วควรสอบถามจากวัดกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศว่าต้องการอย่างไร รวมทั้งกรณีดีเอสไอจะยึดรถหรูในพิพิธภัณฑ์วัดปากน้ำก็ควรดำเนินการ ซึ่งวัดปากน้ำก็พร้อมให้ไปเอา และหากสมเด็จช่วงมีความผิดต้องจับดำเนินคดีอย่าประโคมข่าวเพื่อทำลายความรู้สึก

“เหตุการณ์ที่เกิดกับพระพรหมสุธีหรือเจ้าคุณเสนาะ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ เป็นบทเรียนให้ศึกษาถึงปัญหาการใส่ร้ายกัน แล้วลงท้ายว่าบริสุทธิ์ แต่ก็สายเกินกว่าจะแก้ไขเสียแล้ว”

นายจตุพรยกตัวอย่างได้กินใจจริงๆ

ส่วนมหาเถรสมาคม(มส.) ก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นกว่าเดิมเพราะรับรู้อยู่แล้วว่ามีจุดยืนอย่างไร เพียงแต่ได้มติที่ได้ตอกย้ำจุดยืนเดิมอีกครั้งนั้นก็คือการส่ง 3 พระพรหม ซึ่งเป็น 3 กรรมการของ มส.คือ พระพรหมมุนี วัดราชบพิธ พระพรหมบัณฑิต วัดประยุรวงศาวาสและพระพรหมโมลี วัดปากน้ำ เข้าพบนายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวแทนรัฐบาลในเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช(ถ้าหากมีข้อสงสัยและต้องการคำอธิบาย)

ขณะเดียวกันก็ยังปรากฏโฉมฝ่ายสนับสนุนหน้าใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย เช่น พระเทพวิสุทธิกวี ประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย พระราชญาณกวี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก นายสุรพล สุยะพรหม รองอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย นายรักสยาม นามานุภาพ นายกสมาคมเปรียญธรรม 9 ประโยค ซึ่งพร้อมใจกันออกมาเชียร์สมเด็จช่วงอย่างพร้อมเพรียง

ส่วนผู้เป็นลูกศิษย์อย่าง “พระเทพญาณมหามุนี(ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)” เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ก็กำลังลุ้นระทึกเช่นกัน ว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) จะตั้งข้อกล่าวหาถึง 2 ข้อกล่าวหาอันเป็นผลจากคดี “สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น” ของ “นายศุภชัย ศรีศุภอักษร” อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ผู้เป็น “ศิษย์เอก” ระดับ “อัครสาวก” ของวัดพระธรรมกาย หรือไม่ โดยขณะนี้ทางดีเอสไอได้ทยอยสอบสวนทั้ง 7 กลุ่มที่รับเช็คจากนายศุภชัยซึ่งเข้าข่ายความผิดรับของโจรและฟอกเงิน และวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโยเป็น 1 ใน 7 กลุ่มดังกล่าว

งานนี้ก็ต้องติดตามว่า สุดท้ายแล้วจะออกหัวหรือออกก้อย

แต่ในขณะที่ดาหน้ากันออกมาเชียร์แบบตะบี้ตะบัน(ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร) ก็มีผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่องการปฏิรูปพุทธศาสนา ซึ่งนิด้าโพล ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2559 และประชาชนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 44.25 มีความเห็นว่า เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน

เมื่อถามถึงประสิทธิภาพการทำงานของมหาเถรสมาคม(มส.) ในการดำเนินงานเพื่อรักษาหลักพระธรรมวินัยและปกครองคณะสงฆ์ พบว่า ประชาชนร้อยละ 34.83 ระบุว่า ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ และร้อยละ 16.29 ระบุว่า ไม่มีประสิทธิภาพเลย

และเมื่อถามถึงความคิดเห็นถึงสาเหตุและปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาของพุทธศาสนาในปัจจุบัน พบว่า ประชาชนร้อยละ 46.33 ระบุว่า พระสงฆ์ตัดไม่ขาดจากทางโลกแต่ออกมาบวช ร้อยละ 30.83 ระบุว่า การปกครองภายในวัดไม่มีประสิทธิภาพทำให้มีข่าวฉาวเป็นประจำ ร้อยละ 26.63 ระบุว่า พระสงฆ์หลงในวัตถุนิยมหรือบริโภคนิยม

นี่เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า วิกฤตศรัทธาที่คนไทยมีต่อพุทธศาสนา โดยเฉพาะมหาเถรสมาคมซึ่งเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยเวลานี้นั้นมีมากน้อยเพียงใด



กำลังโหลดความคิดเห็น