ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถือเป็นเหตุการณ์ที่ต้องบอกว่า “ไม่ปกติ” อย่างแน่นอน สำหรับการจัดชุมนุมใหญ่ของ “พระ” ที่เกิดขึ้นที่พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่ปรากฏภาพความรุนแรงถึงขนาดพระล็อกคอทหารประหนึ่งฝูงชนอันบ้าคลั่ง กระทั่งทำให้เกิดคำถามที่ดังก้องไปทั่วสังคมไทยในเวลานี้ก็คือ “พระมีไว้ทำไม?”
เหตุที่ใช้คำว่า “ไม่ปกติ” ก็เพราะ...
หนึ่ง-เป็นการชุมนุมโดยมีการนัดหมายและเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าโดยมีการว่าจ้างรถบัสและรถตู้กะเกณฑ์กันมาจากทั่วประเทศ
สอง-ผู้นำการชุมนุมล้วนแล้วแต่เป็นหน้าเดิมๆ ซึ่งเป็นที่รับรู้ว่ามีจุดยืนทั้งทางโลกและทางธรรมเป็นอย่างไร คือ พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ “เจ้าคุณประสาร” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย พระมหาโชว์ ทสฺสนีโยและ ผศ.เสถียร วิพรมหา
และสาม-ระหว่างและภายหลังการชุมนุม พระสงฆ์กลุ่มนี้ประกาศชัดเจนด้วยการใช้คำว่า “สังฆมติ” เพื่อสนับสนุนการสถาปนา “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งถือว่าเป็น “ครั้งแรก” ในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้น
ขณะเดียวกันม็อบพระที่เกิดขึ้นยังได้ฉายภาพความสัมพันธ์ระหว่าง “ลัทธิธรรมกาย มหาเถรสมาคม(มส.) สมเด็จช่วงและระบอบทักษิณ” ที่อาจจะยังเลือนรางให้เห็นอย่างเด่นชัดอีกด้วย
ยิ่งเมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษออกมาแถลงอย่างเป็นทางการว่า รถยนต์โบราณยี่ห้อ Mercedes Benz รุ่น W186 ปี ค.ศ.1951-1957 ทะเบียน ขม 99 ซึ่งอยู่ภายใต้การครอบครองของ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ)” ว่า “เป็นรถหนีภาษี” จนโลกออนไลน์นำไปเปรียบกับเกมชื่อดังอย่าง Grand theft auto ซึ่งเป็นเกมที่สร้างให้ผู้เล่นต้องสวมบทประหนึ่งเป็นอาชญากร สามารถทำกิจกรรมได้อิสระในเมืองขนาดใหญ่ ทั้งขโมยรถยนต์ ก่อคดี ปล้นธนาคาร เข้าร่วมองค์กรอาชญากรรม ฯลฯ ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์สถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เขม็งเกลียวเข้ามาทุกที
ม็อบพระชิงจังหวะเคลื่อนกดดัน หนุน “สมเด็จช่วง” เป็นสังฆราช
ทำไมถึงเกิดม็อบพระที่พุทธมณฑลเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559?
เรื่องนี้ย่อมมีที่มาและที่ไปโดยเกี่ยวข้องกับการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์โดยตรงอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
ทั้งนี้ ภายหลังจากพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” เสร็จสิ้นลง เสียงปี่กลองของฝ่ายที่สนับสนุนให้ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ)” เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ก็ดังมาอย่าง ต่อเนื่อง ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของพุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อยที่ตั้งคำถามหลายต่อหลายเรื่องว่า เหมาะสมหรือไม่
เรื่องที่ถูกหยิบโยงขึ้นมาตั้งคำถามหลักๆ ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) กับพระเทพญาณมหามุนี(ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในฐานะพระอุปัชฌาย์และศิษย์ ซึ่งเป็นไปอย่างแนบแน่น ทั้งๆ ที่แนวทางการเผยแผ่ศาสนาของวัดพระธรรมกายนั้นบิดเบือนไปจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์โดยสิ้นเชิง เช่น สอนว่า นิพพานเป็นอัตตา เป็นต้น
และเรื่องใหญ่เรื่องโตอันเป็นคดีความทางโลกคือการสะสมรถยนต์โบราณยี่ห้อ Mercedes Benz รุ่น W186 ปี ค.ศ.1951-1957 ทะเบียน ขม 99 ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบว่าอยู่ในข่ายเป็นรถจดประกอบที่หลบเลี่ยงภาษีหรือไม่ ซึ่งเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็ออกมาให้สัมภาษณ์เสียงดังฟังชัดว่า “เป็นรถนำเข้าที่ผิดกฎหมาย” และตามต่อด้วยการแถลงของกรมสอบสวนคดีพิเศษในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 ว่า “ขั้นตอนต่างๆ ทั้งสี่ขั้นตอน ทั้งการนำเข้า การจดประกอบ การเสียภาษีสรรพสามิต และการจดทะเบียน ล้วนไม่ชอบ และเข้าข่ายความผิดกฎหมายหลายเรื่อง เช่น พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ร.บ.สรรพสามิต กฎหมายอาญาเรื่องแจ้งข้อความเป็นเท็จ-การปลอมแปลงเอกสาร”
ดังนั้น ฝ่ายสนับสนุนซึ่งดูเหมือนจะรู้ข้อมูลดีจึงจำต้องเคลื่อนไหวเพื่อแสดงพลังกดดันออกมา
...ทั้งนี้ ย้อนกลับไปก่อนที่จะมีการชุมนุมของม็อบพระ(บางรูป) ที่บ้าคลั่งและไร้สติ(ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลใดๆ มาอธิบายต่อสังคมก็ตาม) ต้องยอมรับว่า เกมการช่วงชิงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชดำเนินไปอย่างเชี่ยวกราก
ฝ่ายสนับสนุน สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) ที่กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า นำโดย “มหาเถรสมาคม(มส.)” องค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย เปิดศักราชปีใหม่ 2559 ด้วยการจัด “ประชุมลับ” ขึ้นเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 โดยมีมติเป็นเอกฉันท์เสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) ซึ่งเป็นพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเป็นวาระใหญ่โตระดับชาติ แต่องค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยกลับดำเนินการอย่าง “ลับๆ ล่อๆ” และเก็บงำเรื่องไว้เป็นความลับจนมีการตรวจสอบข้อมูลและจำนวนด้วยหลักฐานถึงได้ออกมายอมรับว่ามีมติดังกล่าวจริงในวันที่ 13 มกราคม 2559 หรืออุบเรื่องไว้เกือบ 10 วันถึงได้เปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างอ้อมๆ แอ้มๆ
หลังเรื่องแตกและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก กองเชลียร์ก็เริ่มทำหน้าที่อย่างขมีขมัน โดยหัวหน้ากองเชลียร์คนสำคัญจะเป็นใครเสียไม่ได้นอกจาก “พระเมธีธรรมาจารย์” หรือเจ้าคุณประสาร ด้วยการออกมาข่มขู่ต่างๆ นานา ก่อนที่จะตัดสินใจกลายร่างเป็นผู้นำม็อบพระออกมาหนุนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) ที่พุทธมณฑล
ขณะเดียวกันก็ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ด้วยว่า เป็นการเคลื่อนไหวที่สอดรับกับเสียงสนับสนุนจากคนเลือดสีเดียวกันอย่าง “นายจตุพร พรหมพันธุ์” ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ซึ่งทำให้ยากที่จะปฏิเสธได้ว่า ระบอบทักษิณไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ทั้งนี้ ม็อบที่นำโดยเจ้าคุณประสารเรียกระดมพลพระและฆราวาสมาชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาที่พุทธมณฑลโดยในเบื้องแรกอ้างว่า มาเพื่อสวดมนต์ในโอกาสใกล้วันมาฆบูชา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2559 แต่หลังจากนั้นก็กลับกลายเป็นการสัมมนาชื่อ “สกัดแผนล้มการปกครองคณะสงฆ์ไทย” กระทั่งในที่สุดก็ปรากฏเป็นภาพการใช้ “ความรุนแรง” ของพระอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ช่วงเช้า ช่วงบ่ายจนถึงช่วงเย็น ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบกันทั้งบ้านทั้งเมือง
โดยหัวหอกคนสำคัญที่เป็นแกนนำในการใช้ความรุนแรงก็คือ “พระประสงค์ ปัญญาวุฑโต” เจ้าสำนักสงฆ์เขาพุคำ ต.วังคัน อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี จนกลายเป็นคำล้อเลียนและนำไปเปรียบเทียบกับบทความของนักวิชาการปีกแดงอย่างนายนิธิ เอียวศรีวงศ์ที่เขียนเอาไว้ว่า “ทหารมีไว้ทำไม” ว่า “พระมีไว้ทำไม”
สำหรับสาเหตุที่มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเข้าไปดูแลการเคลื่อนไหวของพระในครั้งนี้ก็เพราะในทางการข่าวได้รับคำยืนยันว่า มิได้มาเพื่อสวดมนต์ในโอกาสวันมาฆบูชาจริง แต่มีนัยแอบแฝงแสดงพลับสนับสนุนการสถาปนาสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช และในที่สุดก็เป็นไปตามที่การข่าวรายงานมาจริงๆ
จากนั้น เจ้าคุณประสารได้เดินทางมายังทำเนียบรัฐบาลพร้อมกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและยื่นข้อเรียกร้อง 5 ข้อต่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาที่เดินทางไปสหรัฐอเมริกา โดยอ้างว่าเป็น “สังฆมติ” ประกอบด้วย
1. ห้ามหน่วยงานภาครัฐ เข้ามาก้าวก่ายเรื่องทางสงฆ์ ขอให้ทำหน้าที่อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา ตามแบบอย่างบรรพบุรุษไทย 2. ขอให้รัฐบาลยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติอันดีงาม ที่กระทำสืบกันมา คือ การดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์ ทางรัฐบาลจะต้องปรึกษา และได้รับความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคม (มส.) ก่อน 3. ขอให้นายกฯยึดถือดำเนินการตามมติ มส. ที่มีการเสนอสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เป็นสมเด็จพระสังฆราช 4. ขอให้ทางรัฐบาลสั่งเป็นนโยบายให้หน่วยราชการปฏิบัติต่อคณะสงฆ์ด้วยความเคารพ เอื้อเฟื้อ ไม่ข่มขู่คุกคามคณะสงฆ์ด้วยการใช้กฎหมาย และ 5. ขอให้บรรจุพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ เจ้าคุณประสารยังให้สัมภาษณ์เชิงข่มขู่ด้วยว่า “พระสงฆ์ยังมีความรู้สึกตรงกันว่า จะต้องกลับมาอีก หากข้อเรียกร้องที่ได้รับปากไปนั้น ไม่บรรลุเป้าหมายตามที่ได้รับปาก”
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่เมื่อถูกขัดขวาง ม็อบพระที่มีเป้าประสงค์แอบแฝงเช่นนี้จึงไม่สามารถรักษาสมณสารูป และมีความสำรวมแห่งสมณเพศ กระทั่งปรากฏเป็นภาพการ “ล็อกคอ” ทหาร และการกระทำอื่นๆ ที่มิต่างอะไรจากฝูงชนอันบ้าคลั่ง
กระนั้นก็ดี สิ่งที่ต้องถามกันต่อไปก็คือ “สิ่งที่ไม่ใช่กิจของสงฆ์” อย่างการชุมนุมซึ่งบ่งบอกวัตถุประสงค์ชัดแจ้งว่าเพื่อสนับสนุนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เป็นสมเด็จพระสังฆราช นั้น เจ้าคุณประสารดำเนินการตามลำพังหรือไม่
ตอบได้ในทันที่ว่า ไม่ใช่อย่างแน่นอน
เพราะการชุมนุมในลักษณะที่มีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า มีการนัดหมาย มีการขนพระ ขนฆราวาสมาเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ซึ่งตามรายงานข่าวแจ้งว่า ประกอบไปด้วยรถบัส 2 ชั้น 27 คัน และรถตู้ 50 คัน จะต้องมีการบริหารจัดการ ซึ่งมีหรือที่มหาเถรสมาคม(มส.) จะไม่รู้เห็น หรือแม้กระทั่งตัวเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เองก็ย่อมต้องตั้งสมมติฐานว่า รับรู้เช่นกัน
ที่สำคัญคือ การชุมนุมดังกล่าวจัดขึ้นใน “พุทธมณฑล” ซึ่งเป็นเสมือน “ทำเนียบการปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย” เป็นที่ประชุมของมหาเถรสมาคม(มส.) และเป็นที่ตั้งของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)
ด้วยเหตุดังกล่าว สิ่งที่สังคมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องถามตามมาก็คือ มหาเถรสมาคมรู้และคิดจะห้ามปรามหรือไม่
ด้วยเหตุดังกล่าว สิ่งที่สังคมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องถามตามมาก็คือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) รู้หรือไม่ และถ้ารู้แล้วคิดที่จะห้ามปรามหรือไม่
พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิได้กล่าวแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของม็อบพระสงฆ์ในครั้งนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า…
“ท่านลืมไปว่าปัญหามันไม่ใช่รัฐ แต่มันเป็นปัญหาที่สังคมไม่เห็นด้วยกับท่าน ไม่มีศรัทธาในมหาเถรสมาคม ไม่ศรัทธาในสมเด็จช่วง ที่พวกท่านศรัทธานับถือ จะทำอย่างไรให้กระแสสังคมมาเห็นด้วยกับท่าน มุ่งแต่กดดันหน่วยงานทำตัวเสื่อมศรัทธากับประชาชน เท่ากับว่ายิ่งทำให้ปัญหามันลุกลามมากขึ้น ท่านต้องมองให้กว้างว่ามันไม่ใช่เรื่องระหว่างรัฐกับมหาเถรสมาคม มันเป็นเรื่องระหว่างกระแสสังคมโดยรวมกับมหาเถรสมาคมที่มีมติและพฤติกรรมที่ค้านสายเขา น่าเสื่อมศรัทธา ถ้าท่านเห็นตรงนี้ท่านจะไม่ทำอย่างนั้น แต่ท่านเห็นว่าเป็นเรื่องของท่านกับรัฐเลยมุ่งกดดัน ใช้ภาษาใช้วิธีการกดดันอย่างเดียว ซึ่งวิธีนี้ไม่สามารถเรียกศรัทธาประชาชนกลับมาได้ ไม่ทำให้ความขัดแย้งคลี่คลายได้” (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในสัมภาษณ์พิเศษ)
...แต่จะอย่างไรก็ตาม “อานิสงส์” หรือ “ข้อดี” เพียงหนึ่งเดียวของการเกิดม็อบพระในครั้งนี้ก็คือ ทำให้สังคมไทยเห็นพ้องต้องกันว่า “ถึงเวลาที่จะปฏิรูปศาสนาอย่างจริงๆ จังๆ กันเสียที”
ชำแหละเบื้องหลังแกนนำพระ “เจ้าคุณประสาร-มหาโชว์-เสถียร”
ทีนี้ก็มาว่าด้วยเรื่อง “แกนนำพระคล้องคอ” ในครั้งนี้กันบ้างว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร
คนแรกคือ พระเมธีธรรมาจารย์(ประสาร จนฺทสโร)
คนที่สองคือ พระมหาโชว์ ทสฺสนีโย ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการสังคม ที่ปรึกษาสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.)
คนที่สามคือ ผศ.ดร.เสถียร วิพรมหา อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย นายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา(สนพ.)
ทั้ง 3 คนเป็นที่ชัดเจนว่า นอกจากจะมีจุดยืนสนับสนุนเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) อย่างชัดแจ้งแล้ว ยังเห็นได้ชัดเจนว่า เป็นพระและฆราวาสที่มีจุดยืนทางการเมืองอยู่ในฝ่ายของระบอบทักษิณอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะแกนนำม็อบคือเจ้าคุณประสารที่ปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์ของคนเสื้อแดงจนเป็นเรื่องปกติ รวมทั้งมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับ “นายทักษิณ ชินวัตร” ในระดับที่ไม่ธรรมดาดังปรากฏภาพเจ้าคุณประสารปรากฏข้างกายของนายทักษิณเสมอเมื่อมีกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นที่ลาว ยุโรป และสหรัฐอเมริกา
และที่เป็นข่าวโด่งดังที่สุดก็คือ การที่เจ้าคุณประสารไปร่วมประชุมสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐฯ และ ได้นำพระธรรมทูต 20 รูป เข้าพบนายทักษิณที่วัดไทยในสหรัฐฯ ด้วย
ขณะที่พระมหาโชว์และผศ.ดรเสถียรก็เคยขึ้นเวทีชุมนุมของคนเสื้อแดงและออกโทรทัศน์ของคนเสื้อแดงอยู่เป็นประจำ จนสามารถกล่าวได้ว่าเป็น “แดงสายวัด” โดยพระมหาโชว์และผศ.ดร.เสถียรมีความสัมพันธ์กันแนบแน่น และมหาเสถียรยังดึงพระมหาโชว์มาร่วมงานสานต่อแนวคิดพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอีกด้วย
แน่นอน ย่อมไม่ใช่พระที่มาชุมนุมทั้งหมดรู้เห็นกับเคลื่อนไหวด้วยวัตถุประสงค์หนุนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ให้ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเป็นหลัก และเห็นดีเห็นงามกับการใช้ความรุนแรง
นอกจากนี้ ยังมีการขุดคุ้ยข้อมูลออกมาด้วยว่า องค์กรสำคัญที่อยู่เบื้องหลังม็อบพระของเจ้าคุณประสารในครั้งนี้ก็คือ “วัดพระธรรมกาย” ที่ให้การสนับสนุนในเรื่องของ “ปัจจัย” และ “การเกณฑ์คน” ด้วยประสบการณ์อันช่ำชองในการนิมนต์พระมาร่วมงานของทางวัดอย่างต่อเนื่อง
แน่นอน ไม่มีหลักฐานหรือข้อเท็จจริงไปปรักปรำวัดพระธรรมกายของพระเทพญาณมหามุนีได้ แต่การที่มีคำยืนยันตรงกันว่าพบ “ทนายความของวัดพระธรรมกาย” เดินตามหลังเจ้าคุณประสารต้อยๆ ในการนำม็อบพระบุกพุทธมณฑลก็เป็นเรื่องที่ทำให้สามารถนำมาเชื่อมโยงความสัมพันธ์กันได้ เพราะก็เป็นที่รับรู้อยู่แล้วว่า ความสัมพันธ์ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) กับพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายนั้น ลึกซึ้งเพียงใด
นอกจากนั้น การที่ในวันเดียวกับที่ม็อบพระไปชุมนุมที่พุทธมณฑลแล้วเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้มีคำสั่งให้ทหารไปเฝ้าสังเกตการณ์และควบคุมอยู่ที่หน้าวัดพระธรรมกาย ก็อาจจะเป็นเพราะรับรู้ได้ถึง “อะไรบ้างอย่าง” จึงทำให้ต้องตัดสินใจส่งเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจไปสังเกตการณ์
และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ยุทธการ “พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ” ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ข้อที่เจ้าคุณประสารอ้างว่าเป็นสังฆมตินั้น เป็นที่รับรู้กันในหมู่สงฆ์ว่า ได้รับการสนับสนุนสุดแรงจาก “วัดธรรมกาย” มาโดยตลอด
ขณะเดียวกัน ก็คงจะไม่เกินเลยหรือคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงเท่าใดนักถ้าหากจะมีการเชื่อมโยงไปถึง “กลุ่มคนเสื้อแดง” แห่ง “ระบอบทักษิณ” ว่ามีส่วนรู้เห็นกับการเคลื่อนไหวของม็อบพระในครั้งนี้ ยิ่งเมื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ของแกนนำม็อบพระในครั้งนี้ด้วยแล้ว ยิ่งเห็นได้ชัดว่า มีความแน่นแฟ้นกับคนเสื้อแดงอย่างแนบแน่น
โดยเฉพาะตัวนายจตุพรเองก็ประกาศชัดเจนว่าหนุน สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เป็นสมเด็จพระสังฆราช รวมทั้งหลังเกิดปรากฏการณ์ม็อบพระที่ “เขตอภัยทาน” นายจตุพรก็ออกมา กล่าวในรายการมองไกล ผ่านยูทิวบ์ เห็นดีเห็นเห็นงามกับการเคลื่อนไหวของพระในครั้งนี้อีกด้วย
และที่น่าสนใจยิ่งก็คือยังมี “แดงล้มเจ้า” อย่าง “เจ๊เพ็ญ-นายจักรภพ เพ็ญแข” ที่หลบหนีคดีจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไปอยู่ต่างประเทศ ก็ออกมาชื่นชมพฤติกรรมของม็อบพระที่นำโดยเจ้าคุณประสารในครั้งนี้เช่นกัน
กระทั่ง นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวแสดงความคิดเห็นต่อท่าทีของแกนนำคนเสื้อแดงเหล่านี้ว่า ว่า “จริงๆ การปกครองของสงฆ์ที่เสื้อแดงหรือ นปช. กำลังดีเฟนด์นี้เป็นระบอบอำมาตย์อย่างหนึ่งเลย เป็น ตลกร้ายมากๆ ที่ขบวนการที่อ้างว่าสู้กับระบอบอำมาตย์ยังคงมาเชียร์ระบอบอำมาตย์ของพระแบบนี้”
และเมื่อเป็นเช่นนี้ นี่คือความสัมพันธ์ที่ต้องถอดสมการทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
กล่าวคือ เมื่อม็อบซึ่งนำโดยเจ้าคุณประสาร และมีความชัดแจ้งว่า สนับสนุนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชและเรียกร้องให้รัฐธรรมนูญบัญญัติให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอันเป็นแนวคิดของวัดพระธรรมกายท่ามกลางการเห็นดีเห็นงามของกลุ่มคนเสื้อแดงแห่งระบอบทักษิณ ก็หมายความว่า กลุ่มคนเหล่านี้มีความคิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
คำถามมีอยู่ว่า เป้าประสงค์สูงสุดของการผลักดันให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติหมายถึงการเติบใหญ่ของลัทธิธรรมกายอย่างไร้ขอบเขตจำกัดด้วย ใช่หรือไม่
ขณะที่กรณีรถยนต์โบราณยี่ห้อ Mercedes Benz รุ่น W186 ปี ค.ศ.1951-1957 ทะเบียน ขม 99 ซึ่งอยู่ภายใต้การครอบครองของ “เจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ)” เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ” และกรมสอบสวนคดีพิเศษแจงแจกให้เห็นว่า “เป็นรถที่ทำผิดกฎหมายในทุกขั้นตอนของการนำเข้าและจดประกอบ” ก็ยังมิได้มีความชัดเจนว่า ดำเนินการไปถึงขั้นตั้งข้อหาหรือไม่ และจะตั้งข้อกล่าวหากับใครบ้าง
แต่ที่แน่ๆ คือเพียงแค่การรสนิยมการชอบสะสม “รถยนต์โบราณ” ก็ต้องถือว่าเป็น “โลกวัชชะ” หรือสิ่งที่โลกติเตียนแล้ว ยิ่งเมื่อพบว่า รถยนต์ที่สะสมนั้นผิดกฎหมายด้วยแล้ว คงไม่ต้องสาธยายว่า โลกจะติเตียนมากมายขนาดไหนและจะมีผลต่อการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่หรือไม่
เฉกเช่นเดียวกับคดีสำคัญอีกคดีหนึ่งซึ่งสังคมกำลังเฝ้าจับตาไม่แพ้กัน นั่นคือคดีสหกรณ์เครดิตยูนี่ยนคลองจั่น ซึ่งมีตัวละครสำคัญอย่าง พระเทพญาณมหามุนี(ไชยบูลย์ ธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ซึ่งพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายาให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “ภายในเดือนนี้จะมีความชัดเจน” ก็ยังไม่แน่ชัดว่าพระธัมมชโยจะต้องคดีและถูกตั้งข้อหา “ฟอกเงิน” และ “รับของโจร” หรือไม่ ปัญหามีอยู่ว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาจะถอดสลักสมการการเมืองและการศาสนาซึ่งเชื่อมโยงกับการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์อย่างไร
จะปล่อยไว้ จะซื้อเวลาไว้แล้วผลักภาระทั้งหลายทั้งปวงไปให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือจะจัดการให้แล้วเสร็จในขณะที่ตนเองมีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์เต็มมือเพื่อมิให้เกิดข้อครหาที่ระคายเคืองกับสถาบันเบื้องสูงจนถูกฉกฉวยไปสร้างสถานการณ์ทางการเมืองและสร้างความปั่นป่วนให้กับชาติบ้านเมือง
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศว่า “ถ้ายังมีปัญหาอยู่ก็ยังแต่งตั้งไม่ได้อยู่ดี เพราะผมคงไม่เอาความขัดแย้งขึ้นมาให้เป็นเรื่องเป็นราว” เพียงพอแล้วหรือไม่
เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า กลุ่มการเมืองใดมีโอกาสที่จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งมากที่สุด