MGR Online - “บิ๊กต๊อก” เผยผลสอบดีเอสไอเบื้องต้นยืนยันเบนซ์สมเด็จช่วง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ผิดกฎหมายเหตุเลี่ยงภาษี แต่รายละเอียดต้องรอแถลงวันที่ 18 ก.พ.ว่าผิดในขั้นตอนใดบ้าง และเมื่อรถผิดกฎหมายแล้วผู้ครอบครองจะมีความผิดด้วยหรือไม่ ย้อน “ม็อบพระ” ไม่ว่าพระสงฆ์หรือฆราวาสล้วนต้องเคารพกฎหมาย ไม่มียกเว้น
วันนี้ (16 ก.พ.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงผลการตรวจสอบรถเบนซ์ หมายเลขทะเบียน ขม 99 ที่มีชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเป็นผู้ครอบครองว่า ตนได้รับรายงานสรุปผลการตรวจสอบจาก พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้วโดยผลสอบพบว่ารถยนต์ดังกล่าวผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ต้องรอรายละเอียดการชี้แจงอย่างเป็นทางการจากอธิบดีดีเอสไอในวันที่ 18 ก.พ.นี้อีกครั้ง
ทั้งนี้ ในการตรวจสอบจะเป็นอย่างไร ผิดกฎหมายในขั้นตอนใดบ้าง และกรณีรถผิดกฎหมายแล้วผู้ครอบครองจะมีความผิดด้วยหรือไม่ เป็นเรื่องของขั้นตอนที่ต้องดำเนินการหลังจากนี้ว่าได้รู้หรือจงใจหรือไม่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน โดยที่ผ่านมาดีเอสไอได้รายงานผลการทำงานกับตนเป็นระยะ อนึ่ง สำหรับรถเบนซ์คันดังกล่าวเป็นหนึ่งในรถที่มีอยู่ในบัญชีรายชื่อรถจดประกอบที่ดีเอสไอตรวจสอบเกี่ยวกับกรณีการหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งขณะนี้มีการส่งข้อมูลรถยนต์บางส่วนให้กรมศุลกากรประเมินภาษีในส่วนที่ชำระไว้ไม่ครบ
นอกจากนี้ พล.อ.ไพบูลย์ยังกล่าวถึง 5 ข้อเรียกร้องของเครือข่ายคณะสงฆ์และองค์กรภาคีพุทธบริษัท 4 ทั่วประเทศที่ยื่นต่อรัฐบาลวานนี้ (15 ก.พ.) โดยข้อที่ 1 ขอให้หน่วยงานราชการห้ามเข้ามาก้าวก่ายเรื่องทางสงฆ์ โดย พล.อ.ไพบูลย์ระบุว่า ตนไม่เข้าใจความหมายที่ไม่ให้หน่วยงานราชการไปยุ่ง แต่หากถามตนเกี่ยวกับหน่วยงาน ดีเอสไอ ซึ่งต้องทำคดี โดยข้าราชการทุกคนทำตามหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นทั้งพระสงฆ์หรือฆราวาสต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันทั้งหมด จะห้ามกระทรวงยุติธรรมและดีเอสไอทำงาน เป็นไปไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะต้องมีการดำเนินคดีต่อไปใช่หรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ต้องถามประชาชน ถามสื่อมวลชนบ้างว่าสิ่งที่ดีเอสไอทำเป็นหน้าที่ใช่หรือไม่ และที่ทำนั้นคือทำต่อผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้กระทำผิดกฎหมายใช่หรือไม่ เพราะเป็นคดีสืบเนื่องมาจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น รวมทั้งไปเกี่ยวข้องกับประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยจะยกเว้นการกระทำของผู้ใดผู้หนึ่งได้หรือไม่ ตอบว่าไม่ได้ เพราะฉะนั้นข้อที่เสนอหรือเรียกร้องมาตรงกับส่วนนี้หรือไม่ ถ้าตรงก็ไม่มีทางมากดดันกระทรวงยุติธรรมได้เพราะต้องทำตามหน้าที่
“การที่มีคนมาบอกว่าไม่ให้เอาเรื่องอาณาจักรยุ่งเกี่ยวกับศาสนจักรนั้นอย่าเอามาผูกกัน ผมไม่เข้าใจความหมายที่พูดเพราะเป็นประเด็นกว้างไม่ลงรายละเอียด สำหรับเรื่องคดีเป็นไปไม่ได้ เพราะเกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการ นอกจากนี้ เหตุการณ์ความวุ่นวายระหว่างพระสงฆ์กับทหารเมื่อวานนี้ หากมีความเชื่อมโยงกับคดีที่ผมรับผิดชอบ ไม่สามารถกดดันผมได้ เพราะเป็นงานของกระทรวงยุติธรรมที่ต้องทำเช่นกัน” รมว.ยุติธรรมกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตนักการเมืองออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเชื่อมโยงระหว่างเรื่องพระสงฆ์และการเมืองนั้น ด้าน พล.อ.ไพบูลย์กล่าวเพิ่มว่า คนที่ออกนอกประเทศและไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะมาบอกคนที่กำลังทำตามกฎหมายได้อย่างไร ตอบได้เพียงเท่านี้ สังคมต้องคิดเอาเอง บอกตัวเองให้เดินตามกฎหมายเสียก่อนแล้วค่อยบอกคนอื่น ทั้งนี้มองว่าเรื่องพระสงฆ์กำลังถูกดึงเข้าไปยังเรื่องการเมืองต้องช่วยกันให้อยู่ในกรอบกฎหมาย ซึ่งเรื่องคดีสหกรณ์ฯ คลองจั่น ไม่เกี่ยวข้องศาสนจักร แต่ต้องดูว่ามีใครพยายามดึงเข้าไปเป็นเรื่องเดียวกัน โดยตนกำลังดำเนินการต่อเฉพาะตัวบุคคล อย่าไปเชื่อมโยงกับวัดพระธรรมกาย แต่เป็นบุคคลที่อยู่ในวัดเท่านั้น