xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

มุก “คืนเบนซ์” สมเด็จช่วงอาจแป๊ก เมื่อ “ลุงตู่” ส่งสัญญาณ 4G เคลียร์ให้จบก่อนตั้งสังฆราช

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

เบนซ์ของสมเด็จช่วงถูกนำไปมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เป็นการแก้เกมที่ต้องบอกว่า “ขำกันไม่ออก” เลยทีเดียว เมื่อทีมกฎหมายชุดใหม่ของ “พระมหาศาสนมุนี” (พระธนกิจ สุภาโว) หรือ “หลวงพี่แป๊ะ” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ในฐานะผู้จัดการรถเบนซ์โบราณ หมายเลขทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีชื่อ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ)” เป็นผู้ครอบครอง ได้นำรถผิดกฎหมายคันดังกล่าวขึ้นรถสไลด์มามอบให้กับเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2559 พร้อมกับแจ้งความดำเนินคดีกับ “นายวิชาญ รัษฐปานะ” เจ้าของอู่วิชาญ

“หากตรวจสอบรถคนนี้แล้วพบว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ออกเป็นหนังสือ อย่าแถลงข่าวว่ารถคันนี้ถูกหรือผิดอย่างไร หรือใครเป็นผู้ต้องหา และอย่าพูดคลุมเครือว่าเป็นรถจะประกอบเนื่องจากพระเป็นเพียงผู้ซื้อและตกเป็นเหยื่อของการหลอกขาย หากพบว่าผิดก็ให้ไปดำเนินคดีกับผู้ขายไม่ใช่ทางวัดปากน้ำฯ”นายสุรพงษ์ สิทธิกร ทนายคามของหลวงพี่แป๊ะอธิบายให้เหตุผล

ไม่ได้ฟ้องเล่นๆ ด้วยนะขอรับ เพราะงานนี้หลวงพี่แป๊ะเรียกค่าเสียหายจากอู่วิชาญเป็นเงินถึง 10,050,000 บาท โดยแบ่งเป็นค่ารถ 4 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 5 ล้านกว่าบาท และค่าเสียชื่อเสียงอีก 5 ล้านบาท

ฟังแล้วพุทธศาสนิกชนก็งงเป็นไก่ตาแตกไปตามๆ กันว่า #ทีมสมเด็จช่วง จะมาไม้ไหน หรือได้ศึกษากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วและเห็นว่า นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์รอดพ้นจากคดีความได้กระมัง?

และเมื่อจับยามสามตาแล้วใช้ทฤษฎี Change ว่าด้วยเรื่องดาวมฤตยูของเจ้าคุณธงชัยหรือพระพรหมมังคลาจารย์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรฯ พินิจพิเคราะห์ดูแล้ว ก็สรุปได้ว่า เรื่องของเรื่องคือ มีความพยายามเบี่ยงเบนคดีทำให้เป็นเรื่อง “ถูกหลอกขาย” รถยนต์ที่ผิดกฎหมายจากทางอู่วิชาญ และนำรถที่ผิดกฎหมายคันดังกล่าวไปมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเมื่อนำรถไปคืนแล้วก็จะได้จบๆ กันไป เพราะเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจให้เป็นที่ประจักษ์ หรือพูดง่ายๆ ก็คือพยายามพลิกสถานะจาก “จำเลย” ให้กลายเป็น “โจทก์” เปลี่ยนสถานะความสุ่มเสี่ยงจาก “ผู้ต้องหา” ให้เป็น “ผู้เสียหาย” นั่นเอง

แหม...ประวัติศาสตร์มันช่างซ้ำรอยเหมือนคดีของพระธัมมชโยที่เคยต้องคดียักยอกที่ดินวัดและต่อมาก็นำไปคืน ซึ่งสุดท้ายก็มีการถอนฟ้องและคดีก็ยุติไปโดยอัยการ สูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องเสียเหลือเกิน

แล้วจะให้อู่วิชาญนิ่งเฉยเลยผ่านได้อย่างไรเมื่อความซวยเดินทางมาเยือนแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ดังนั้น เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2559 นายวิชาญ รัษฐปานะจึงได้เดินทางไปยังกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เพื่อขอทนายความสู้คดีและคุ้มครองในฐานะพยาน

“ผมได้รับหมายศาลส่งมาถึงบ้านเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา เป็นคดีหมายเลขดำที่ ส 359/2559 โดยมีพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ (ธนกิจ ศรีอุ่นเรือน) เป็นผู้ฟ้อง และมีนายสุรพงษ์ สิทธิกรณ์ ทนายความเป็นผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องผม ซึ่งศาลได้นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 25 เม.ย.นี้ เวลา 13.30 น. ส่งผลให้ครอบครัวเกิดความเครียดเพราะที่ผ่านมาไม่เคยถูกฟ้องร้องเลย ผมไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลวงพี่แป๊ะจึงฟ้องร้องผม แทนที่จะไปฟ้องผู้ที่จัดหาอะไหล่ หรือทำการจดประกอบรถให้ ผมเป็นเพียงผู้รับจ้างซ่อมรถเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทางหลวงพี่แป๊ะไม่ได้ติดต่อพูดคุยกับผม ทั้งที่ในช่วงที่มีการทำรถก็มีการติดต่อกันอย่างต่อเนื่องและมีการทยอยจ่ายเงินค่าจ้างเป็นงวด” นายวิชาญแจกแจง

จากนั้นนายวิชาญได้เปิดเผยข้อมูลโดยยืนยันว่าไม่ใช่เจ้าของรถและอะไหล่ที่มีคนว่าจ้างจัดหามาให้ทำประกอบตัวรถ อีกทั้งไม่ได้เป็นคนดำเนินการในเรื่องการจดประกอบเพราะไม่เคยรู้เรื่องการจดประกอบแต่อย่างใด เป็นเพียงช่างมีหน้าที่แค่ซ่อมรถคันดังกล่าว โดยหลวงพี่แป๊ะเป็นผู้ว่าจ้าง สำหรับจำนวนเงิน 4 ล้านบาทในการซ่อมรถเบนซ์โบราณนั้น มีการแบ่งค่าจ้าง 2.5 ล้านบาทให้บริษัท อ๊อด 89 ซึ่งเป็นผู้จัดหาอะไหล่รถมา แต่จะเป็นผู้ดำเนินการเรื่องจดประกอบหรือจดทะเบียนไม่ยืนยัน ส่วนตนเองรับงานซ่อมเป็นค่าจ้าง 1.5 ล้านบาทก็เป็นค่าแรงของช่างและบริการต่างๆ เมื่อทำรถเสร็จเรียบร้อยก็เข้าสู่ขั้นตอนการจดประกอบซึ่งไม่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ไม่ทราบว่าหลวงพี่แป๊ะรู้จักกับบริษัท อ๊อด 89 หรือไม่ แต่ระหว่างการซ่อมรถดังกล่าวก็มีการพบกันหลายครั้ง

ฟังจากคำให้การของนายวิชาญแล้วก็ต้องบอกว่า งานนี้ความซวยมาเยือนแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวจริงๆ นะจ๊ะ เพราะเรื่องของเรื่องก็คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษสรุปเอาไว้ชัดเจนว่า การจดประกอบชิ้นส่วนขึ้นเป็นรถสมบูรณ์พบหลักฐานว่า หจก. อ๊อด 89 ได้ร่วมกับอู่วิชาญ เป็นผู้ประกอบรถยนต์จากเครื่องยนต์และตัวถัง พร้อมอุปกรณ์ส่วนควบโดยเป็นไปตามการสั่งซื้อของ “พระมหาศาสนมุนี” หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำและเป็นเลขานุการ สมเด็จช่วง ในราคา 4 ล้านบาท

หวยก็เลยมาออกที่อู่วิชาญด้วยประการฉะนี้

ส่วนสุดท้ายแล้ว ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ คดีจะพลิกอย่างที่ทีมกฎหมายพยายามหาช่องหรือไม่ ก็ต้องติดตามกันต่อไปเพราะขณะนี้ยังเพียงอยู่ในขั้นตอนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษนัดหมายเข้าไป “กราบ” สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ในวันที่ 16 มีนาคม 2559 เพื่อให้ถ้อยคำเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดเท่านั้น ยังมิได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกันอย่างไร

แต่ที่แน่ๆ คือเมื่อฟังความเห็นของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่บอกว่า “รถที่ผิดกฎหมายจะไปอยู่ที่ใดไม่ใช่ประเด็น เพราะไม่สามารถจะยุติหรือไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่ดำเนินคดีตามกฎหมายได้” แล้ว ก็ไม่รู้ว่าการแก้เกมครั้งนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ หรือจะยิ่งกลายเป็นวัวพันหลักหนักเข้าไปกว่าเดิมอีก

ถัดจากเรื่องหมากกลรถเบนซ์ที่กำลังงัด “วิชาก้นหีบ” ออกมาสู้กันอย่างระทึกใจ ก็มาถึงเรื่องสำคัญที่ “ร้อนฉ่า” ไม่แพ้กัน เมื่อ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” ส่งคำวินิจฉัยกรณีมติของมหาเถรสมาคม(มส.) เรื่องเสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นสมเด็จสังฆราชว่า “ผิดขั้นตอน” โดยไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย มาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)

ทั้งนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินมีคำวินิจฉัยซึ่งสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้

“การแต่งตั้งพระสังฆราชเป็นอำนาจของนายกฯ ที่จะต้องเป็นผู้เสนอนามพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด โดยสมณศักดิ์ โดยมหาเถรสมาคมมีอำนาจหน้าที่ให้ความเห็นชอบ ตามที่นายกฯ เสนอนามมา เมื่อมหาเถรสมาคมให้ความเห็นชอบแล้ว นายกฯ จึงเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด เสนอขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อไป ซึ่งจากการที่มหาเถรสมาคม มีการเสนอชื่อ "สมเด็จสมช่วง" เมื่อ 5 ก.พ. นั้น ถือว่าเป็นการกระทำผิดขั้นตอนของกฎหมาย เข้าข่ายไม่ถูกต้อง ที่ถูกคือสำนักพุทธฯ ต้องเสนอเรื่องไปรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะเสนอให้นายกฯ พิจารณา หลังจากนายกฯ พิจารณาแล้ว ก็จะนำรายชื่อที่นายกฯ พิจารณา ไปให้มหาเถรสมาคม เพื่อพิจารณาว่ามหาเถรสมาคมจะเห็นด้วยกับขั้นตอนที่นายกฯ เสนอไปหรือไม่ ทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน มั่นใจว่าสิ่งที่พิจารณา ได้ทำอย่างถูกต้องแล้ว เพราะเราได้ให้ผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญพิจารณาอย่างรอบคอบ และเชื่อว่าหลังจากนี้ จะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากพอสมควร”นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงคำวินิจฉัย

งานนี้เล่นเอาเจ้าของสมญานาม “สารไม่ทิ้งช่วง” ถึงกับเต้นเป็นเจ้าเข้าอีกรอบ โดยเฉพาะเมื่อนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีในฐานะมือกฎหมายของรัฐบาลและคสช.ให้ความเห็นเอาไว้ว่า “ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ต้องนับถือและให้เกียรติท่าน เมื่อมีความเห็นมาก็ต้องถือว่ามีน้ำหนักมากกว่าคนความเห็นคน อื่นๆ ทั่วไป”
เจ้าคุณประสารขณะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนิมนต์ไปปรับทัศนคติก่อนการแถลงข่าว
วันที่ 7 มีนาคม 2559 พระเมธีธรรมาจารย์(ประสาร จนฺทสาโร) หรือเจ้าคุณประสาร หรืออดีตนายประสาน หนองพร้าว ซึ่งถือว่าเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันของ #ทีมสมเด็จช่วง ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิพักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย(ศพศ) ได้ระดมเครือข่ายมาแถลงท่าทีเพื่อตอบโต้คำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ศูนย์ประชุมวัดศรีสุดาราม

แต่สุดท้ายก็จบแบบไปไม่เป็นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าไปนิมนต์เจ้าคุณประสาร พร้อมด้วยแกนนำคือพระเทพประสิทธิมนต์ เจ้าอาวาสวัดศรีสุดารามและนายเสถียร วิพรมหา นายกสมาคมนักวิชากรเพื่อพระพุทธศาสนา(สนพ) ไปหารือ ก่อนที่เจ้าคุณประสารจะออกมาแถลงสั้นๆ ว่าได้มอบหมายให้พระครูปลัดกวีวัฒน์ รองเลขาธิการ ศพศ.เป็นผู้แถลงจุดยืนแทน ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า “ผู้ตรวจการแผ่นดินมีเจตนาวินิจฉัยตีความกฎหมายผิด ขัดต่อจารีต ราชประเพณี และขัดต่อจริยธรรมขององค์กรอิสระอย่างร้ายแรง ก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่คณะสงฆ์และสังคมไทยอย่างรุนแรง ดังนั้น ศพศ และ สนพ จึงมีมติรวบรวมรายชื่อพระสงฆ์และคฤหัสถ์ จำนวน 20,000 รายชื่อ เพื่อยื่นต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ให้ถอดถอนผู้ตรวจการแผ่นดิน”

ส่วนการเคลื่อนไหวของ #ทีมสมเด็จช่วง นั้น นายเสถียรระบุว่า จากนี้จะไม่เคลื่อนไหวอย่างโจ่งแจ้ง แต่อาจใช้การออกแถลงการณ์แต่ละกรณีให้สื่อมวลชน

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า เรื่องร้อนเรื่องรถเบนซ์และเรื่องการตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่จะมีความชัดเจนอย่างที่ไม่ต้องตีความกันอีกต่อไป เมื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้งเมื่อถูกถามเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ต้องรอให้คดีความต่างๆ เรียบร้อยก่อนหรือไม่ว่า “ควรจะเป็นอย่างนั้นไหมล่ะ ก็เหมือนกับการตั้งทหาร ตำรวจ ถ้าตั้งคนที่ไม่ได้รับความเห็นชอบร่วมกัน มีคดีความก็ตั้งไม่ได้ ยังไง ก็ตั้งไม่ได้ ไม่ใช่ว่าคนนี้จะถูกปลดอยู่แล้วเลยต้องตั้งตามนั้น ไม่ใช่ เพราะต้องตรวจสอบว่า มันใช่หรือไม่ใช่ กฎหมายเป็นกลไกการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ไม่ใช่ใช้ความรู้สึกตัดสินกันเอง...”

เมื่อนายกฯ ลุงตู่ส่งสัญญาณชัดเจนแบบนี้ ก็เป็นอันว่า งานนี้ #ทีมสมเด็จช่วง คงต้องเร่งแก้ทุกคดีและทุกปมปัญหาให้ลุล่วงเสียก่อน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะกินระยะเวลายาวนานแค่ไหน และไม่แน่นักว่า อาจจะต้องรอจน “รากงอก” เลยก็ว่าได้ เพราะเอาแค่เบาะๆ จากคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็จะเห็นว่า กระบวนการตรวจสอบคดีรถเบนซ์นั้นน่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 10 เดือนกันเลยทีเดียว

เฉกเช่นเดียวกับกระแสข่าวเรื่องเงินประจำตำแหน่งจำนวน 23 ล้านบาท ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า ข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร เพราะถ้าเป็นเรื่องจริง จุดจบของเรื่องราวทั้งหมดอาจ “ไว” กว่าที่คิดก็เป็นได้

ส่วน #ทีมธัมมี่ ก็คงต้องหนาวๆ ร้อนๆ ไปตามๆ กันเมื่อศาลอาญามีคำพิพากษาจำคุก “นายศุภชัย ศรีศุภอักษร” อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น อัครสาวกคนสำคัญของพระธัมมชโยเป็นเวลา 16 ปี ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ผู้อื่นและจัดการทรัพย์สินผู้อื่นโดยทุจริต เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา เพราะไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ผลของกรรมจะตามมาสำเร็จโทษบรรดา “ผู้ที่รับเช็คเงินโกง” เหล่านี้ในคดี “รับของโจร” และ “ฟอกเงิน”

จะ “คุณพระช่วย” หรือ “ช่วยคุณพระ” กันได้หรือไม่ ก็แล้วแต่ “ดาวมฤตยู” จะนำทาง.....นะจ๊ะ



กำลังโหลดความคิดเห็น