ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การปรับยุทธศาสตร์สื่อสารต่อสาธารณะของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เลือกประหยัดถ้อยคำ เบี่ยงตัวเองออกจากการเป็น “เป้านิ่ง” ในวงสัมภาษณ์กับสื่อ ตลอดจนไปถึงการวางกฎเกณฑ์เงื่อนไขเลี่ยงกับปะทะกับนักข่าว ด้วยการจำกัดจำนวนคำถาม และเลี่ยงการให้สัมภาษณ์รายวัน โดยให้เหตุผลว่าเป็นไปตาม “มาตรฐานสากล”
ไม่เพียงแต่ส่งผลกับ “ทิศทางข่าว” ในยามที่ปัญหานานัปการรุมเร้ารัฐบาล คสช.เท่านั้น ยังส่งให้ภาพ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม โดดเด่นขึ้นมาถนัดตา
อาจจะไม่ใช่ในฐานะ “ผู้นำ” เต็มตัว แต่เป็นในฐานะ “แหล่งข่าว” ที่มีน้ำหนักทัดเทียมกับ “บิ๊กตู่”
ซึ่ง “พี่ป้อม” ในยามนี้ ก็ดูจะหลงระเริงไปกับแสงสีและไฟแฟลช สนุกสนานกับการได้ให้สัมภาษณ์รายวันแทนที่ “น้องตู่” หลายๆ ครั้งบทสัมภาษณ์ของ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” ออกไปในเชิง “เรียกแขก” กว่า “บิ๊กตู่” เสียอีก
ไม่เพียงแต่บทบาท-แอคชั่นที่ได้รับมากขึ้นเท่านั้น “อำนาจ – บารมี” ของ “บิ๊กป้อม” ก็ดูจะเบ่งบานขึ้นทุกขณะ ว่ากันว่าช่วง 2 ปีมานี้ ถนนทุกสาย ทุกกลุ่ม ทุกสีเสื้อ วิ่งตรงเข้า “บ้านโชคชัย” และ “มูลนิธิป่ารอยต่อฯ” กันอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ใกล้ฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้าย “นายทหาร – นายตำรวจ” กลางปี
จนบางคนเรียกสมญานามใหม่ว่า “ป๋าป้อม” แบบไม่ขัดเขิน
คำให้สัมภาษณ์ของ “ป๋าป้อม” ในช่วงหลังๆ มานี้ก็ดูจะดุดัน ไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน ใครแหยมมา ก็เจอตอกกลับหน้าหงายตลอด ขนาด “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ออกมาวิพากษ์ผลงาน คสช. พร้อมเสนอให้ลงจากอำนาจแบบสวยๆ โดยจัดเลือกตั้งภายในปีนี้
ยังไม่ทันสิ้นเสียง “นายทหารการเมืองรุ่นพี่” ก็เป็น “ป๋าป้อม” ที่ออกมาสวนกลับทันควัน โดยพูดทำนอง “ไม่รู้จะพูดทำไม” พร้อมฝากสารไปบอกด้วยว่า “พักผ่อนเถอะพี่” ส่วนเรื่องที่จะให้ไปหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในภาคใต้ ก็บอกปัดอย่างไม่ไยดี ขมวดทุกคำพูดแล้วก็สรุปได้ว่า “ไม่ให้ราคา” นั่นเอง
ล่าสุดก็เป็นคิวของ “เสี่ยไก่” วัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ถูกทหาร “เชิญ” ไปปรับทัศนคติ หลังโพสต์เฟซบุ๊กสับแหลกการที่ทหารไปถ่ายภาพ “คุณหนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลางงานศพพี่ชาย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่ง “บิ๊กป้อม” ในฐานะรองหัวหน้า คสช.ก็ออกมาแก้ต่างว่า ที่ทหารไปถ่ายรูป “หนูปู” คงเพราะเห็นว่าหน้าตาสะสวยเท่านั้น
“เสี่ยไก่” เลยทิ่มหมัดตรงไปที่ "บิ๊กป้อม" ว่า เหยียดเพศ พูดจาไม่ให้เกียรติ พร้อมคำ-วลีแรงๆ ในเชิงเปรียบเปรย ทั้ง "ถ่อยสถุล-ถ้าเงียบคนเค้ายังไม่รู้ว่าโง่" ที่ไม่เอ่ยชื่อใคร แต่ตามรูปประโยคคงหนีไม่พ้น “บิ๊กป้อม” นี่เอง
ส่งผลให้อดีต “ขาประจำ” ที่เข้าออก “บ้านโชคชัย-มูลนิธิป่ารอยต่อฯ” ได้อย่างสะดวกโยธิน ก็เลยถูกหิ้วเข้าค่ายทหารปรับทัศนคติ และกลับออกมาพร้อมคดีกระทำผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯอีกต่างหาก
จริงๆ แล้ว “เสี่ยไก่” ถือเป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่ใกล้ชิด “บิ๊กป้อม” มายาวนาน ก่อนจะมาติด “แบล็กลิสต์” ห้ามเข้าเขตทหารในช่วงหลัง เนื่องจากวิพากษ์วิจารณ์ คสช.ไม่หยุดหย่อน โดยมักใช้คำแรงที่ “บิ๊ก คสช.” ไม่ปลื้ม เมื่อปีกลายก็เคยถูก "ไอ้เณร" ดักทุบหัวที่หน้าสนามบอล แถวเมืองทองธานี มาแล้วหนหนึ่ง
ความจริงอีกประการคือ “เสี่ยไก่” ก็ใช้พื้นที่เฟซบุคส่วนตัวเขียนข้อความโจมตีการทำงานของ คสช.มาอย่างต่อเนื่อง แทบจะเป็นรายวัน แต่ก็ไม่มีสัญญาณว่าจะถูกเชิญเข้าค่าย แต่พอเขียนในเชิงต่อว่า “บิ๊กป้อม” ก็มีทหารบุกมาถึงบ้านทันที นอกจากได้ไปจิบกาแฟที่ค่ายทหารแล้ว ยังมีคดีติดออกมาด้วย
สะท้อนให้เห็นว่า วันนี้ “ป๋าป้อม” ทะยานไปไกลแล้ว ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง “บุรุษที่แตะต้องไม่ได้” ใครจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรต้องตรองให้หนัก
ไม่เว้นกระทั่งเรื่อง “ร่างรัฐธรรมนูญ” ที่ “บิ๊กป้อม” ออกมาพูดเสียงดังฟังชัดว่า สนันสนุนให้ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) มาจากการ“สรรหา” ทั้งหมด โดยอ้างว่า เป็นมาตรการชั่วคราวในช่วง “เปลี่ยนผ่าน” เพื่อประสานการทำงานร่วมกันกับ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง เกี่ยวกับการปฏิรูป-ปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติตามกรอบที่วางไว้
ถือเป็นคอมเมนต์ลงลึกในหลักการร่างรัฐธรรมนูญ อย่างที่แม้แต่ “บิ๊กตู่” ก็ยังไม่เคยพูดชัดขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นในรัฐบาล หรือใน คสช.ก็คงถูกมองว่า “ล้ำเส้น” เพราะถือว่าหน้าที่ไม่ใช่ แถมยังเป็นการ “ชี้นำ” การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญของ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) อีกด้วย
แต่นี่ “ป๋าป้อม” เป็นคนเขี่ยลูกเอง กระทั่ง “บิ๊กตู่” ยังต้องออกมาแสดงความสนับสนุน และไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจที่ กรธ.ขอแขวนเนื้อหาในส่วนของที่มา ส.ส.-ส.ว.เป็นบทท้ายๆ ซึ่งคาดว่าเพื่อหยั่งกระแสดูว่า สิ่งที่ “บิ๊กป้อม” จุดพลุขึ้นมาได้รับการยอมรับแค่ไหน ขณะที่ “บิ๊กตู่” ที่มาให้สัมภาษณ์ในภายหลังก็รับบท “ลูกคู่” บอกว่า เห็นตรงกัน
อาจจะพอตีความได้ว่า ใครกันแน่เป็น “แป๊ะ” ตัวจริง
แต่ที่ฮือฮากว่าเรื่องอื่นๆ ก็เป็นคิวของ “บิ๊กตุ้ม” พล.ร.อ.พระจุณณ์ ตามประทีป สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่จู่ๆ โดนหมายเรียกให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในวันที่ 10 มี.ค. นี้ ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.)
เนื่องจากมี “พลเมืองดี” แจ้งว่า มีการส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์จากโทรศัพท์มือถือของ “พะจุณณ์” ระบุถึงซื้อขายตำแหน่งแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) โดยมี “นายทหารยศ พล.อ.” รายหนึ่งพัวพัน และจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เป็นการส่งข้อความจากมือถือของ “พะจุณณ์” จริง
และแม้ว่า “บิ๊กตุ้ม” จะยืดอกยอมรับว่า ส่งข้อความที่ว่าจริง แต่ไม่ได้เอ่ยชื่อใคร เป็นเพียงการแจ้งเบาะแสว่ามี “นายพลเอกนอกราชการ” ตั้งโต๊ะรับ “แป๊ะเจี๊ยะ” ให้ “สีกากี” ที่หวังลาภยศสรรเสริญเข้าต่อรองจนเป็นล่ำเป็นสัน ซึ่ง “นายทหารยศ พล.อ.” ที่ว่า ก็ถูกเชื่อมโยงไปถึง “บิ๊ก คสช.” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะกุมอำนาจอยู่อย่างเบ็ดเสร็จ
ถือเป็นเรื่องที่เขย่า สตช.จนอยู่นิ่งกันไม่ได้ ทั้ง พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่ออกมาเปิดหัวออกหน้าว่า คุมสำนวนคดีนี้ด้วยตัวเอง ก่อนที่ "บิ๊กแป๊ะ" พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.จะออกมาสำทับว่า งานนี้เอาจริง ไม่มารับหมายเรียก ก็ต้องเจอหมายจับ
ที่เหนือความคาดหมายก็ท่าทีของ “บิ๊กป้อม” ที่ภาษาในวงการระบุว่า “เปิดศึกซึ่งหน้า” เมื่อสนับสนุนให้ตำรวจเอาผิดกับ “พะจุณณ์” พร้อมยืนยันว่า ในยุคที่ตัวเองดูแล สตช.ไม่มีการซื้อขายตำแหน่งในการแต่งตั้งตำรวจแน่นอน
ก็เท่ากับส่งสัญญาณให้ “สีกากี” ใส่เกียร์เดินหน้าเต็มสูบ
อย่าลืมว่า “พะจุณณ์” นอกจากเป็น สปท.ที่ได้รับแต่งตั้งจาก คสช.แล้ว ยังพะยี่ห้อ “ป๋าการันตี” เป็นอดีตหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ และอดีตทหารคนสนิทของ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ แม้ระยะหลังมีพูดกันหนาหูว่า “พระจุณณ์” ไม่ได้รับความไว้ใจเหมือนเก่าก่อนก็ตาม
เมื่อเช็ครุ่นแล้วก็พบอีกว่า “พะจุณณ์” จบเตรียมทหารรุ่น 12 รุ่นเดียวกับ “บิ๊กตู่” หัวหน้า คสช. และยังเป็นหนึ่งใน “ขุนพลฝ่ายอำมาตย์” ที่ชักธงรบกับ “ระบอบทักษิณ” มานักต่อนัก กระทั่งศึกล่าสุดก็ร่วมกับ “ม็อบนกหวีด” ก็เปิดหน้าร่วมศึก ก่อนจะนำมาสู่การยึดอำนาจ
เรื่องนี้มีกลิ่นทะแม่งๆ ทันทีที่ตำรวจออกหมายเรียก “อดีตลูกรักป๋า” ให้มารายงานตัวตามคำสั่ง แทนที่จะทำให้เรื่องเงียบไปเคลียร์กันหลังไมค์ ใช้ทางลับคุยกัน เพื่อไม่ให้เสื่อมเสียทั้ง 2 ฝ่าย และไม่ถูกฝ่ายตรงข้ามนำไปขยายความเป็น “ศึกคนกันเอง”
มีการ “ถอดรหัส” ข้อความไลน์สะเทือนตึก สตช. ชี้ตรงกันว่า “นายพลยศ พล.อ.” ที่ถูกเอ่ยถึงน่าจะหมายถึง “บิ๊กป้อม” โยงกับทุกๆ ครั้งที่มีสื่อสัมภาษณ์แล้วมีคำถามประเภท “วิ่งเต้น – ตั้งโต๊ะ - แป๊ะเจี๊ยะ” ทีไร “บิ๊กป้อม” ออกอาการหัวเสียด่ากราดแทบทุกครั้ง
จนอดสงสัยไม่ได้ว่า จริงๆ แล้วการซื้อขายตำแหน่งของ “นายตำรวจ” ตลอดจน “นายทหาร” มันหมดไปจากประเทศไทยจริงๆ แล้วหรือ เพราะอาการของ “คนคุมโผ” ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่รู้กันทั้งบางแล้วว่า คิดจะก้าวหน้าเติบใหญ่ใน “วงการตำรวจ” ไม่ได้ดูกันที่เรื่องฝีมือ โชค หรือวาสนา ว่ากันเพียวร์ๆ ในเรื่อง "คอนเนคชั่น – หน้าตัก” มากกว่า
สมัย "นักการเมือง" เรืองอำนาจ มักถูกข้อครหาเป็นโต้โผรับใต้โต๊ะโยกย้ายตำแหน่งของ "บิ๊กสีกากี" อยู่หลายครั้งหลายครา แต่ครั้งนี้จะเป็นไปตามสิ่งที่ “พะจุณณ์” ไลน์และกลายเป็นคดีความหรือไม่ เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะลองเล่นกันถึงขั้นฟ้องร้องแล้ว งานนี้ต้องมีคนพูดความจริงและมีคนที่พูดโกหกอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ แม้จะโดนตั้งข้อหาเอาเรื่องเป็นคดีความ “พะจุณณ์” ก็เฉยๆ ระดับนี้มองเป็นเรื่อง “กระจอก” แถมยังให้เกียรติรัฐบาล คสช.ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด งดให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ในทุกกรณี จะมีก็แต่ “ชาญชัย อิสระเสนารักษ์” อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ บัดดี้ปราบโกงของ “เฮียวิลาศ จันทรพิทักษ์” ที่วันนี้มาช่วยงาน “บิ๊กตุ้ม” ออกมาปล่อยหมัดหนักย้อนศรไปยัง “บิ๊กป้อม” ถามกันตรงๆ ว่าหากอยากทราบเรื่องค่า “แป๊ะเจี๊ยะ” ให้มากขึ้น ต้องไปถาม “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายคลานตามกันของ “บิ๊กป้อม”
เปิดตัวละครให้ที่เหมือนจะลับ แต่ก็ไม่ลับ เพราะเห็นหน้าก็รู้ตื้นลึกหนาบางกันอยู่แล้ว แฉกันให้เห็นว่างานนี้ถึงขั้นติดดาบปลายปืนกันแล้ว
เจอดอกนี้ไป “ทีมสีกากี” ถึงกลับเงียบกริบ “แก้เกี้ยว” ด้วยการเตรียมฟ้องหมิ่นประมาท “พะจุณณ์” เพิ่มอีก 1 ข้อหา เนื่องจากทำองค์กรตำรวจเสียหาย
เบี่ยงกระแสที่พุ่งเป้าไปที่ “นายพลเอกนอกราชการ” เป็นเรื่องของ “องค์กรตำรวจ” แทน
ยิ่งไปกว่านั้น ตำรวจดันมาเอาเรื่องกับ “คนแจ้งเบาะแส” แทนที่จะไปหา “ต้นตอ” ว่ามีการซื้อขายจริงหรือไม่อย่างไร ที่สำคัญ “ข้อความไลน์” ที่“พะจุณณ์” ส่งต่อไปก็อยู่ใน 2 กลุ่มเท่านั้น กลุ่มหนึ่ง “เตรียมทหารรุ่น 12” อีกกลุ่มก็ “กลุ่มตำรวจ” ดูๆ แล้วก็มีแต่ “คนกันเอง” ทั้งนั้น ไม่น่าหลุดออกมาจนเป็นเรื่องใหญ่โต
เมื่อตำรวจทำในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่อง ก็เกิดการเชื่อมโยงกลายเป็นความบาดหมางระหว่าง “ทีมป้อม” กับ “ทีมป๋า” อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก แม้ในทางลับก็มีการประลองกำลังภายในกันอยู่เนืองๆก็ตาม
ยิ่งระยะหลัง “บิ๊กป้อม” สถาปนาตัวเองเป็น “ป๋าป้อม” จนถูกนำไปเปรียบเทียบบารมีกับ “ป๋าเปรม” ซุบซิบกันในวงการ “ขุนทหาร” ว่ามูลนิธิป่ารอยต่อฯมีบารมีแข่งตีคู่กันมากับ “มูลนิธิรัฐบุรุษ” จน “บิ๊กป้อม” ต้องขอเข้าเคลียร์ใจกับ “ป๋าเปรม” ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์มาแล้ว
แม้ฉากหน้า “ป๋าเปรม” จะยิ้มแย้มแจ่มใส หลัง “บิ๊กป้อม” นำ “น้องทหาร” เข้าพบ แต่ฉากหลังคนรอบกายมักบอกว่า “ป๋าไม่แฮปปี้” กับบทบาทของ “บิ๊กป้อม” มาตลอด เพราะรู้อยู่ว่าหวังรวบอำนาจให้อยู่กับตัวเองเพียงคนเดียว ทำตัวเป็น “ศูนย์รวมอำนาจ” ส่งผลให้ 2 ผู้ยิ่งใหญ่เป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่สามารถบรรจบมาพบรักกันได้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเลือก “แทงหวย” ถูกข้าง
ฝ่าย “บิ๊กป้อม” เองก็คงหวาดระแวงจะถูก “สกัดดาวรุ่ง” ใครที่โผล่ออกมาแล้วไม่เป็นผลดีต้องเคลียร์ให้หมด ทั้ง “พะจุณณ์” กับปมซื้อขายตำแหน่ง อาจจะรวมไปถึงที่ตวาดเสียงดังใส่ “บิ๊กจิ๋ว” ที่ระยะหลังว่ากันว่ากลับไปประจำการเป็น “ลูกป๋าคนโปรด” อีกครั้ง
เกมนี้ไม่ได้อยู่ที่ใครซื้อขายตำแหน่ง หรือใครเรียกรับผลประโยชน์ แต่กลายเป็น “สงครามตัวแทน” ระหว่าง “ทีมสีกากี” ที่ถือหาง “บิ๊กป้อม” กับฝ่าย “พะจุณณ์” ที่พะยี่ห้อ “ป๋าเปรม” ที่เลยเถิดไปถึงรอยร้าวระหว่างขั้วอำนาจ “ขุนทหาร - อำมาตย์” ที่ขมึงเกลียวกันเป็นพิเศษในช่วง “เปลี่ยนผ่าน”
จากนี้ต้องจับตา “สงครามตัวแทน” ระหว่าง 2 ขั้วอำนาจ ที่ไม่จบเพียงแค่เรื่อง “กระจอกๆ” อย่างการซื้อขายตำแหน่งตำรวจแน่นอน แต่จะเปลี่ยนเกมมาอยู่ในประเด็นที่ร้อนแรงยิ่งขึ้นไปตามสถานการณ์
และต้องจับตาด้วยว่า “คนตรงกลาง” อย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะจัดการปัญหา “คนกันเอง” อย่างไร??.