นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กล่าวถึงการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินสนับสนุน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า ที่ผ่านมาสตง.ได้มีการแจ้งเตือนการใช้จ่ายงบประมาณของ สสส. อย่างสม่ำเสมอ เพียงแต่ปัญหาหรือข้อสังเกตเหล่านั้น ยังไม่ได้รับการแก้ไขยุติลงได้ ก็ยังคงต้องตรวจสอบและเสนอแนะไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันทางรัฐบาลได้มีการปรับแก้ในเรื่องระเบียบที่เกี่ยวกับความทับซ้อนของผู้ดำรงตำแหน่งใน สสส. กับองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากสสส. ที่อาจจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ในยุคปัจจุบันคงต้องทบทวนกันใหม่ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และปลอดจากผลประโยชน์ทับซ้อน หรือผลประโยชน์ขัดกัน
ผู้สื่อข่าวถามถึงแนวโน้มในการเรียกชำระภาษีย้อนหลังของมูลนิธิ หรือองค์กรที่รับเงินสนับสนุนจากสสส. นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของผู้เสียภาษี และผู้จัดเก็บอยู่แล้ว จะบอกว่าจัดเก็บแล้วทำให้เกิดผลกระทบคงไม่ได้ เพราะกฎหมายการจัดเก็บ ไม่มีการยกเว้น ต้องปฏิบัติให้ครบถ้วน เพราะฉะนั้นถ้าเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย การเป็นองค์กร หน่วยงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการกุศลโดยเจตนาเนื้อแท้แล้ว ถ้ามีเจตนาที่ดี การเสียภาษีก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำตามหน้าที่ และทำให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวม ต้องถือปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และครบถ้วนด้วย
“ จากนี้ไป สตง. จะต้องมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้นแล้ว ที่ผ่านมาเราอาจจะยังไม่ได้ลงไปในรายละเอียดมากนัก เราจะตามจากเงินที่ใช้จ่ายไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ที่เราจะเข้าไปได้ เพราะฉะนั้นตามที่กล่าวอ้างมาข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ต้องเป็นเรื่องที่ตรวจสอบได้ตามหลักเกณฑ์ ให้เกิดความโปร่งใส มีความเป็นธรรมาภิบาล” นายพิศิษฐ์ กล่าว
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ ถ้าการอนุมัติเงินของกองทุน สสส. ต้องผ่านงบประมาณแผ่นดินเหมือนหน่วยงานราชการอื่นๆ นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการออกแบบ ในปัจจุบันต้องการให้คล่องตัว มีอิสระ แต่อย่างไรเสีย ต้องอยู่ในระบบการควบคุมและตรวจสอบได้ด้วย หากอิสระทำตามใจโดยไม่มีการควบคุมตรวจสอบ ก็ไม่ควรจะเป็นเงินจากแผ่นดิน แม้แต่เงินส่วนตัวของภาคเอกชนยังมีระบบในการตรวจสอบได้
ฉะนั้น นี่จะเป็นส่วนหนึ่งในการนำมาประกอบการพิจารณาเรื่องการปรับปรุงการตรวจสอบของ สตง.ให้มีความใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบสามารถอธิบายได้อย่างโปร่งใส รัดกุม ให้มั่นใจว่าเงินที่ออกไปให้กับองค์กรอื่นมีการใช้จ่ายที่ตรงตามวัตถุประสงค์ในการดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวถามถึงแนวโน้มในการเรียกชำระภาษีย้อนหลังของมูลนิธิ หรือองค์กรที่รับเงินสนับสนุนจากสสส. นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของผู้เสียภาษี และผู้จัดเก็บอยู่แล้ว จะบอกว่าจัดเก็บแล้วทำให้เกิดผลกระทบคงไม่ได้ เพราะกฎหมายการจัดเก็บ ไม่มีการยกเว้น ต้องปฏิบัติให้ครบถ้วน เพราะฉะนั้นถ้าเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย การเป็นองค์กร หน่วยงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการกุศลโดยเจตนาเนื้อแท้แล้ว ถ้ามีเจตนาที่ดี การเสียภาษีก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำตามหน้าที่ และทำให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวม ต้องถือปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และครบถ้วนด้วย
“ จากนี้ไป สตง. จะต้องมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้นแล้ว ที่ผ่านมาเราอาจจะยังไม่ได้ลงไปในรายละเอียดมากนัก เราจะตามจากเงินที่ใช้จ่ายไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ที่เราจะเข้าไปได้ เพราะฉะนั้นตามที่กล่าวอ้างมาข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ต้องเป็นเรื่องที่ตรวจสอบได้ตามหลักเกณฑ์ ให้เกิดความโปร่งใส มีความเป็นธรรมาภิบาล” นายพิศิษฐ์ กล่าว
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ ถ้าการอนุมัติเงินของกองทุน สสส. ต้องผ่านงบประมาณแผ่นดินเหมือนหน่วยงานราชการอื่นๆ นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการออกแบบ ในปัจจุบันต้องการให้คล่องตัว มีอิสระ แต่อย่างไรเสีย ต้องอยู่ในระบบการควบคุมและตรวจสอบได้ด้วย หากอิสระทำตามใจโดยไม่มีการควบคุมตรวจสอบ ก็ไม่ควรจะเป็นเงินจากแผ่นดิน แม้แต่เงินส่วนตัวของภาคเอกชนยังมีระบบในการตรวจสอบได้
ฉะนั้น นี่จะเป็นส่วนหนึ่งในการนำมาประกอบการพิจารณาเรื่องการปรับปรุงการตรวจสอบของ สตง.ให้มีความใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบสามารถอธิบายได้อย่างโปร่งใส รัดกุม ให้มั่นใจว่าเงินที่ออกไปให้กับองค์กรอื่นมีการใช้จ่ายที่ตรงตามวัตถุประสงค์ในการดำเนินการ
