ดูสภาพความเป็นไปในบ้านเมืองทุกวันนี้ ถ้าตระเวนถามคนทั่วไปพอจะรู้มั้ยว่าอนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ดีขึ้นหรือเลวลง ในภาคการเมือง เศรษฐกิจ สังคม คงมีไม่กี่คนกล้าเดา ด้วยความเชื่อจากการประเมินสถานการณ์ แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นจริงมั้ย
แต่ละวัน ความเคลื่อนไหว หรือการหยุดนิ่งด้านกิจกรรมการเมือง กิจกรรมภาคประชาสังคม รวมทั้งความสนใจในอนาคตของประเทศ ขาดพลังอย่างน่าใจหาย หรือถ้าจะพูดแบบนักวิชาการ คงเป็นการขาดพลวัตด้านการขับเคลื่อนองค์ประกอบทางการเมือง
ขณะที่การแต่งรัฐธรรมนูญ การสอบถามความเห็นของกลุ่มต่างๆ ยังไม่ชี้ให้เห็นว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครกล้าบอกชัดๆ ว่าจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ แม้รัฐบาลจะยืนยันซ้ำซาก น้ำเสียงจริงจังว่าทุกอย่างยังเป็นไปตามโรดแหม็บๆ คนรู้ทันไม่เคยเชื่อว่าจะจริง
นั่นเป็นเพราะการขยับตารางเวลาของการยึดครองอำนาจโดยรัฐบาลทหารของคุณท่าน จนถูกมองว่าเจตนาแท้จริงคือการยื้อไปเรื่อยๆ จนตัวเองก็ไม่รู้เช่นเดียวกันว่าจะเอาวันไหนแน่ เพราะไม่รู้จิต ความคิดของประชาชนว่าจะยอมทนสภาพนี้อีกนานหรือไม่
ความเคลื่อนไหวเกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมแต่งรัฐธรรมนูญถูกมองว่าเป็นลีลาของการเล่นเกมซ่อนกล หาข้ออ้างใหม่ๆ มากรอกหูชาวบ้าน ยังเน้นประเด็นความมั่นคง จนคนรู้ทันคันปากอยากถามว่า “ความมั่นคง” ที่ว่านั้นเป็นของประเทศหรือคณะผู้กุมอำนาจรัฐบาล
ความไม่น่าเชื่อถือ ความไม่น่าไว้ใจ ทุกก้าวย่างมีเจตนาแฝงเร้น คือประเด็นสำคัญที่ชาวบ้านคนติดตามสถานการณ์ คนรู้ทันมองว่าคนกุมอำนาจรัฐขาดความจริงใจชัดเจน ยิ่งผลงานไม่เข้าตาประชาชน แต่ละวันผ่านไปยิ่งชวนให้พวกคุณท่านหวาดผวาว่าจะโดนชาวบ้านรวมตัวกันขับไล่ เมื่อเห็นว่ารัฐบาลนี้อยู่ต่อไปยิ่งไม่กล้าจัดการตัวปัญหาหลัก
ลีลาท่าที ท่าทางของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ดูแล้วไม่ต่างจากพวกเล่นบทละครสัตว์ มีสำนวนโวหารกรอกหูชาวบ้านทุกวันเป็นเรื่องไร้สาระสมกับเป็นสังคมการเมืองซึ่งโดดเด่นในสภาพ “กำลังด้อยพัฒนาต่อเนื่อง” ทำให้รู้สึกน่าอนาถ น่าสมเพชเวทนากับอนาคตไทย
ภาคการเมืองมีแต่พวกลีลาร้อยลิ้นกะลาวน วางท่าโอ่อ่า คุณธรรมสูงน่าเชื่อถือ แต่เป็นเพียงโวหาร รัฐบาลคุณท่านมักโอ้อวดหลักคิดเพื่อชาติ มุ่งสู่ประชาธิปไตยมีนโยบายยุทธศาสตร์ชาติกำหนดทิศทางไว้ยาว 20 ปี โดย 5 ปีแรกยังเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจ
เมื่อถามถึงความโปร่งใสในแนวนโยบาย การตรวจสอบเรื่องต่างๆ ผู้มีอำนาจกลับไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าทำไมประชาชนไม่มีสิทธิได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารในเรื่องหรือโครงการต่างๆ ถ้าเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง ทำไมต้องปกปิดซ่อนเงื่อนงำไม่ให้รับรู้
การอ้าง 5 ปีแรกสำหรับการเปลี่ยนผ่าน เมื่อถูกเค้นถามว่า “ใคร” เป็นผู้กุมอำนาจรัฐในช่วงนั้น เป็นคนจากรัฐบาลปัจจุบันหรือไม่ ก็ไร้คำตอบ มีแต่ความเงียบงัน ทำให้ชาวบ้านคนรู้ทันกล้าสรุปได้ว่ากลุ่มอำนาจปัจจุบันก็ไม่รู้เช่นกัน หรือจะเป็นกลุ่มปัจจุบัน
ทำไมไม่กล้าประกาศอย่างองอาจว่า “เพื่อความมั่นคง” จำเป็นต้องให้คนจากฐานอำนาจรัฐบาลปัจจุบันกำกับดูแลเพื่อการเปลี่ยนผ่านให้ราบรื่น แต่ก็นั่นแหละ เมื่อถูกสงสัยในพฤติกรรมว่าขาดความจริงใจ สุจริตใจ มีแผนแฝงเร้น จึงไม่กล้าบอก กลัวจะถูกเล่นงาน
ประชาชนยอมทนกับสภาพไร้สิทธิต่างๆ นานเกือบ 2 ปี แลกกับผลงานโดยรวมไม่น่าประทับใจ ปัญหาหลักเรื้อรังไม่ได้รับการแก้ไข เรื่องไม่ควรทำกลับขยัน ทั้งยังมีเงื่อนงำต่อเนื่องกับการดูแลเอาใจกลุ่มนายทุน กลุ่มผลประโยชน์ จึงต้องอยู่ไปแบบอ้อมๆ แอ้มๆ
เมื่อการเชื่อมโยง 5 ปีเป็นเงื่อนไข ถ้ามีเลือกตั้ง นักซื้อเสียงชนะการเลือกตั้งย่อมอ้างว่าต้องยึดนโยบายพรรคซึ่งได้หาเสียงกับประชาชน ถ้าไม่ทำตามจะผิดคำมั่นสัญญาได้ และยังอ้างด้วยว่านักการเมืองถูกเลือกมาโดยประชาชน ย่อมมีสิทธิมากกว่านักรัฐประหาร
ความเป็นจริงก็คือ นักซื้อเสียงเลือกตั้งเสียเวลาให้ช่วงว่างปลอดการเมืองกว่า 3 ปี เมื่อคณะคุณท่านกุมอำนาจ ถ้ามีเลือกตั้งในปี 2560 ย่อมต้องถอนทุนสำหรับการซื้อเสียง ชดเชยการเสียโอกาสโกงสร้างรายได้ ยอมทนกับสภาวะขมขื่นต้องปรับทัศนคติซ้ำซาก
ขบวนการเหลี่ยมได้รับการเชื่อมโยงกับตัวแทนของกลุ่มอำนาจหลักในคณะของคุณท่าน ทุกวันนี้ได้เจ๊าะแจ๊ะคลุกคลีตีโมงทุกวี่วัน เหลี่ยมเร่ร่อนพยายามส่งสัญญาณว่าได้วางตัวแทนนักประสานผลประโยชน์ไว้แล้ว โฆษณาสรรพคุณจนคนรู้ทันคลื่นไส้อยากอ้วก
ถ้าขบวนการเหลี่ยมชิงอำนาจคืนได้ตามคาดผ่านมหกรรมซื้อเสียงเลือกตั้ง ตัวเชื่อมย่อมรับประกันความปลอดภัยสำหรับคณะคุณท่าน อาจขอให้ยอมเอาอย่าง “บังเละ” โดยสยบต่อขบวนการเหลี่ยมแลกกับการไม่โดนเอาคืน แต่ฐานอำนาจกองทัพต้องปรับเปลี่ยน
เมื่อได้อำนาจรัฐแล้ว นักซื้อเสียงเลือกตั้งคงไม่รุนแรงกับการไล่คิดบัญชีเอาคืนกับพวกทหาร กลัวว่าจะโดนรัฐประหารอีกถ้าความอดอยากปากแห้งทำให้ต้องโกงกินกอบโกยรอบใหม่ นักการเมืองสามานย์ย่อมปล่อยให้ประชาชนก่นด่าประณาม “นักเสียของ รุ่น 2”
ยุทธศาสตร์ชาติ 5 ปีช่วงเปลี่ยนผ่าน หรือ 20 ปี เป็นเรื่องน่าหัวร่อ แม้จะอ้างกลไกด้านสภาหรือวุฒิสภาก็ตาม ล้วนสะท้อนให้เห็นกลเกมการยื้ออำนาจ ใช้ข้ออ้างคิดใหม่รายวันมากล่อมให้ชาวบ้านเชื่อว่าพวกตัวเองไม่ทะเยอทะยาน ไม่หวังเป็นใหญ่ทอดอำนาจ
ทุกวันนี้ท่านผู้กุมอำนาจยังไม่รู้ว่าจะลงจากหลังเสือมาสบสายตารู้ทันของประชาชนอย่างไร ยิ่งถ้ามีข้อพิสูจน์ได้ชัดว่าที่ผ่านมาเป็นเพียงปาหี่ลีลาสมบัติผลัดกันชม ทั้งอำนาจเก่า อำนาจใหม่ในขบวนการซูเอี๋ยจะต้องร่วมกันเผชิญกับพลังแค้นของประชาชนคนดีแน่ๆ
ประเทศไทยยังไม่เคยมีรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน สภาวะจำทนเริ่มจากปี 2475 ยุคคณะราษฎร์กำมะลอ ต้องมีวันสิ้นสุดด้วยพลังของประชาชน
แต่ละวัน ความเคลื่อนไหว หรือการหยุดนิ่งด้านกิจกรรมการเมือง กิจกรรมภาคประชาสังคม รวมทั้งความสนใจในอนาคตของประเทศ ขาดพลังอย่างน่าใจหาย หรือถ้าจะพูดแบบนักวิชาการ คงเป็นการขาดพลวัตด้านการขับเคลื่อนองค์ประกอบทางการเมือง
ขณะที่การแต่งรัฐธรรมนูญ การสอบถามความเห็นของกลุ่มต่างๆ ยังไม่ชี้ให้เห็นว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครกล้าบอกชัดๆ ว่าจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ แม้รัฐบาลจะยืนยันซ้ำซาก น้ำเสียงจริงจังว่าทุกอย่างยังเป็นไปตามโรดแหม็บๆ คนรู้ทันไม่เคยเชื่อว่าจะจริง
นั่นเป็นเพราะการขยับตารางเวลาของการยึดครองอำนาจโดยรัฐบาลทหารของคุณท่าน จนถูกมองว่าเจตนาแท้จริงคือการยื้อไปเรื่อยๆ จนตัวเองก็ไม่รู้เช่นเดียวกันว่าจะเอาวันไหนแน่ เพราะไม่รู้จิต ความคิดของประชาชนว่าจะยอมทนสภาพนี้อีกนานหรือไม่
ความเคลื่อนไหวเกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมแต่งรัฐธรรมนูญถูกมองว่าเป็นลีลาของการเล่นเกมซ่อนกล หาข้ออ้างใหม่ๆ มากรอกหูชาวบ้าน ยังเน้นประเด็นความมั่นคง จนคนรู้ทันคันปากอยากถามว่า “ความมั่นคง” ที่ว่านั้นเป็นของประเทศหรือคณะผู้กุมอำนาจรัฐบาล
ความไม่น่าเชื่อถือ ความไม่น่าไว้ใจ ทุกก้าวย่างมีเจตนาแฝงเร้น คือประเด็นสำคัญที่ชาวบ้านคนติดตามสถานการณ์ คนรู้ทันมองว่าคนกุมอำนาจรัฐขาดความจริงใจชัดเจน ยิ่งผลงานไม่เข้าตาประชาชน แต่ละวันผ่านไปยิ่งชวนให้พวกคุณท่านหวาดผวาว่าจะโดนชาวบ้านรวมตัวกันขับไล่ เมื่อเห็นว่ารัฐบาลนี้อยู่ต่อไปยิ่งไม่กล้าจัดการตัวปัญหาหลัก
ลีลาท่าที ท่าทางของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ดูแล้วไม่ต่างจากพวกเล่นบทละครสัตว์ มีสำนวนโวหารกรอกหูชาวบ้านทุกวันเป็นเรื่องไร้สาระสมกับเป็นสังคมการเมืองซึ่งโดดเด่นในสภาพ “กำลังด้อยพัฒนาต่อเนื่อง” ทำให้รู้สึกน่าอนาถ น่าสมเพชเวทนากับอนาคตไทย
ภาคการเมืองมีแต่พวกลีลาร้อยลิ้นกะลาวน วางท่าโอ่อ่า คุณธรรมสูงน่าเชื่อถือ แต่เป็นเพียงโวหาร รัฐบาลคุณท่านมักโอ้อวดหลักคิดเพื่อชาติ มุ่งสู่ประชาธิปไตยมีนโยบายยุทธศาสตร์ชาติกำหนดทิศทางไว้ยาว 20 ปี โดย 5 ปีแรกยังเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจ
เมื่อถามถึงความโปร่งใสในแนวนโยบาย การตรวจสอบเรื่องต่างๆ ผู้มีอำนาจกลับไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าทำไมประชาชนไม่มีสิทธิได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารในเรื่องหรือโครงการต่างๆ ถ้าเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง ทำไมต้องปกปิดซ่อนเงื่อนงำไม่ให้รับรู้
การอ้าง 5 ปีแรกสำหรับการเปลี่ยนผ่าน เมื่อถูกเค้นถามว่า “ใคร” เป็นผู้กุมอำนาจรัฐในช่วงนั้น เป็นคนจากรัฐบาลปัจจุบันหรือไม่ ก็ไร้คำตอบ มีแต่ความเงียบงัน ทำให้ชาวบ้านคนรู้ทันกล้าสรุปได้ว่ากลุ่มอำนาจปัจจุบันก็ไม่รู้เช่นกัน หรือจะเป็นกลุ่มปัจจุบัน
ทำไมไม่กล้าประกาศอย่างองอาจว่า “เพื่อความมั่นคง” จำเป็นต้องให้คนจากฐานอำนาจรัฐบาลปัจจุบันกำกับดูแลเพื่อการเปลี่ยนผ่านให้ราบรื่น แต่ก็นั่นแหละ เมื่อถูกสงสัยในพฤติกรรมว่าขาดความจริงใจ สุจริตใจ มีแผนแฝงเร้น จึงไม่กล้าบอก กลัวจะถูกเล่นงาน
ประชาชนยอมทนกับสภาพไร้สิทธิต่างๆ นานเกือบ 2 ปี แลกกับผลงานโดยรวมไม่น่าประทับใจ ปัญหาหลักเรื้อรังไม่ได้รับการแก้ไข เรื่องไม่ควรทำกลับขยัน ทั้งยังมีเงื่อนงำต่อเนื่องกับการดูแลเอาใจกลุ่มนายทุน กลุ่มผลประโยชน์ จึงต้องอยู่ไปแบบอ้อมๆ แอ้มๆ
เมื่อการเชื่อมโยง 5 ปีเป็นเงื่อนไข ถ้ามีเลือกตั้ง นักซื้อเสียงชนะการเลือกตั้งย่อมอ้างว่าต้องยึดนโยบายพรรคซึ่งได้หาเสียงกับประชาชน ถ้าไม่ทำตามจะผิดคำมั่นสัญญาได้ และยังอ้างด้วยว่านักการเมืองถูกเลือกมาโดยประชาชน ย่อมมีสิทธิมากกว่านักรัฐประหาร
ความเป็นจริงก็คือ นักซื้อเสียงเลือกตั้งเสียเวลาให้ช่วงว่างปลอดการเมืองกว่า 3 ปี เมื่อคณะคุณท่านกุมอำนาจ ถ้ามีเลือกตั้งในปี 2560 ย่อมต้องถอนทุนสำหรับการซื้อเสียง ชดเชยการเสียโอกาสโกงสร้างรายได้ ยอมทนกับสภาวะขมขื่นต้องปรับทัศนคติซ้ำซาก
ขบวนการเหลี่ยมได้รับการเชื่อมโยงกับตัวแทนของกลุ่มอำนาจหลักในคณะของคุณท่าน ทุกวันนี้ได้เจ๊าะแจ๊ะคลุกคลีตีโมงทุกวี่วัน เหลี่ยมเร่ร่อนพยายามส่งสัญญาณว่าได้วางตัวแทนนักประสานผลประโยชน์ไว้แล้ว โฆษณาสรรพคุณจนคนรู้ทันคลื่นไส้อยากอ้วก
ถ้าขบวนการเหลี่ยมชิงอำนาจคืนได้ตามคาดผ่านมหกรรมซื้อเสียงเลือกตั้ง ตัวเชื่อมย่อมรับประกันความปลอดภัยสำหรับคณะคุณท่าน อาจขอให้ยอมเอาอย่าง “บังเละ” โดยสยบต่อขบวนการเหลี่ยมแลกกับการไม่โดนเอาคืน แต่ฐานอำนาจกองทัพต้องปรับเปลี่ยน
เมื่อได้อำนาจรัฐแล้ว นักซื้อเสียงเลือกตั้งคงไม่รุนแรงกับการไล่คิดบัญชีเอาคืนกับพวกทหาร กลัวว่าจะโดนรัฐประหารอีกถ้าความอดอยากปากแห้งทำให้ต้องโกงกินกอบโกยรอบใหม่ นักการเมืองสามานย์ย่อมปล่อยให้ประชาชนก่นด่าประณาม “นักเสียของ รุ่น 2”
ยุทธศาสตร์ชาติ 5 ปีช่วงเปลี่ยนผ่าน หรือ 20 ปี เป็นเรื่องน่าหัวร่อ แม้จะอ้างกลไกด้านสภาหรือวุฒิสภาก็ตาม ล้วนสะท้อนให้เห็นกลเกมการยื้ออำนาจ ใช้ข้ออ้างคิดใหม่รายวันมากล่อมให้ชาวบ้านเชื่อว่าพวกตัวเองไม่ทะเยอทะยาน ไม่หวังเป็นใหญ่ทอดอำนาจ
ทุกวันนี้ท่านผู้กุมอำนาจยังไม่รู้ว่าจะลงจากหลังเสือมาสบสายตารู้ทันของประชาชนอย่างไร ยิ่งถ้ามีข้อพิสูจน์ได้ชัดว่าที่ผ่านมาเป็นเพียงปาหี่ลีลาสมบัติผลัดกันชม ทั้งอำนาจเก่า อำนาจใหม่ในขบวนการซูเอี๋ยจะต้องร่วมกันเผชิญกับพลังแค้นของประชาชนคนดีแน่ๆ
ประเทศไทยยังไม่เคยมีรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน สภาวะจำทนเริ่มจากปี 2475 ยุคคณะราษฎร์กำมะลอ ต้องมีวันสิ้นสุดด้วยพลังของประชาชน