ผู้จัดการรายวัน360-สบส. ประสาน สคบ. เอาผิด "ดร.เซปิง" โฆษณาชวนเชื่อ "เฟซออฟ" ชี้ไม่ใช่วิธีศัลยกรรมแบบใหม่ แค่สร้างคำใหม่ พร้อมตรวจสอบสถานพยาบาล แพทย์ หากพบมีเอี่ยว จ่อยกระดับโทษถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงกรณีการทำศัลยกรรมใบหน้าของนายสุรชัย สมบัติเจริญ นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง โดยระบุว่าเป็นการทำแบบเฟซออฟ (Face Off) ว่า การทำศัลยกรรม มีหลายวิธีที่จะทำให้สภาพใบหน้าดีขึ้น แต่สมาคมวิชาชีพด้านศัลยกรรมความงามยืนยันแล้วว่าไม่มีการใช้คำว่าเฟซออฟในการทำศัลยกรรมเสริมความงาม และไม่มีหลักฐานทางวิชาการรองรับ และจากข่าวการทำศัลยกรรมของนักร้องคนดังกล่าวก็เป็นเพียงหัตถการเดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น การดึงหน้า การดึงหน้าผาก ยกกระชับ แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย เป็นต้น ไม่ได้เป็นวิธีใหม่เลย และคำว่า “เฟซออฟ” จึงเป็นเพียงการแต่งคำขึ้นมาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้คนเกิดความคาดหวังสูง จึงไม่อยากให้มีการแตกตื่นว่าเป็นวิธีการศัลยกรรมใหม่ที่ทำให้หนุ่มสาวขึ้น การที่มีการให้ข้อมูลเรื่องเฟซออฟทางโซเชียลมีเดีย จึงถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 เพราะทำให้ประชาชนสับสน และไม่ใช่ข้อเท็จจริง
"การออกมาให้ข้อมูลเรื่องเฟซออฟของ ดร.เซปิง ไชยสาส์น เป็นการโฆษณาอวดอ้าง ประชาสัมพันธ์เกินจริงหรือไม่นั้น จากการตรวจสอบถือเป็นการให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงตามหลักวิชา และมีการบอกว่าทำแล้วจะลดอายุได้มาก ซึ่งข้อมูลทางวิชาการไม่ได้บอกขนาดนั้น เพราะการลดอายุอยู่ที่แต่ละบุคคล และเนื่องจาก ดร.เซปิง ไม่ใช่แพทย์ ไม่ใช่สถานพยาบาล แต่เป็นเอเยนซี การเอาผิดจึงเป็นส่วนของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บบริโภค (สคบ.) เพราะมีกฎหมายในมืออยู่แล้ว ซึ่ง สบส. ได้มีการประสานไปยัง สคบ. แล้ว"
ทั้งนี้ ยืนยันว่า ชื่อโครงการ "Face Off ผ่าแหลกศัลยกรรม 10 อย่างบนหน้ากระชากความแก่จาก 60 ให้เหลือ 35 Dr.Xeping” ถือว่าผิดกฎหมายของ สคบ. แน่นอน
น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า สบส.จะตรวจสอบข้อมูลด้วยว่าสถานพยาบาลและแพทย์ที่ถูกอ้างถึงในการทำศัลยกรรมให้กับนักร้องลูกทุ่งคนดังกล่าวมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับการออกมาให้ข้อมูลของ ดร.เซปิงด้วยหรือไม่ ซึ่งเป็นไปตามหน้าที่ของ สบส.ตามมาตรา 45 พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ซึ่งมีวิธีตรวจสอบอยู่ หากพบความเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นเป็นใจกับการโฆษณาเข้าข่ายมีความผิด มีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท และโทษปรับรายวันอีกวันละ 1 หมื่นบาท จนกว่าจะเลิกโฆษณา หากเกี่ยวข้องกับแพทย์จะส่งแพทยสภาพิจารณาจริยธรรม
เมื่อถามถึงมาตรการป้องกันการโฆษณาอวดอ้างเกินจริงในการทำศัลยกรรม น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการหารือร่วมระหว่าง สบส. แพทยสภา สคบ. และกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร (ไอซีที) ในการหาทางควบคุมการโฆษณาเกินจริง โอ้อวด เป็นเท็จ ซึ่งมาตรการลงโทษจะต้องชัดเจนขึ้น โดยจะยกระดับในเรื่องของการเพิกถอนใบอนุญาตสถานพยาบาลและเรื่องจรรยาบรรณของวิชาชีพแพทย์
ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ ผอ.สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ สบส. กล่าวว่า ขณะนี้ทั่วประเทศมีสถานเสริมความงามขึ้นทะเบียนกว่า 1,458 แห่ง โดยทั้งหมดนี้จะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาลฯ ห้ามอวดอ้างและชักชวนให้ผู้บริโภคไปใช้สถานพยาบาล เช่น อ้างสรรพคุณการรักษาดีที่สุด เป็นเลิศ ซึ่งทำไม่ได้
วันเดียวกัน สบส. ได้ร่วมกับ สคบ. และ บก.ปคบ. ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล ย่านทาวน์อินทาวน์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเสริมความงามที่ทำการผ่าตัดให้นายสุรชัย เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางเสริมความงาม 30 เตียง ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายของ พ.ร.บ. สถานพยาบาลฯ มี นางศิริเพ็ญ พันธุ์ศรีทุม เป็นผู้ประกอบกิจการสถานพยาบาล มี นพ.มนัส เสถียรโชค เป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาล
น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวภายหลังตรวจสอบว่า จากการตรวจสอบพบว่าเป็นโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีทั้งห้องสังเกตอาการ รวมถึงห้องที่คอยรองรับในกรณีฉุกเฉิน ส่วนความเชื่อมโยงเกี่ยวกับการโฆษณาผ่าตัดศัลยกรรมให้นายสุรชัยนั้น ได้มีการเก็บข้อมูลเพื่อส่งให้คณะกรรมการพิจารณาแล้วว่าเข้าข่ายหรือไม่ แต่จากการสอบถามเบื้องต้นโรงพยาบาลระบุว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่หรือการโฆษณาใดๆ และกระแสข่าวดังกล่าวโรงพยาบาลไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ เนื่องจากโรงพยาบาลสามารถรับผู้ที่จะเข้ามาทำศัลยกรรมได้ประมาณเดือนละ 400 ราย และปกติก็เต็มอยู่แล้ว แต่ตามมาตรา 38 พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 มีการระบุชัดว่า หากปล่อยให้มีการกระทำผิดในสถานพยาบาลก็เท่ากับว่ายินยอม โดยยังไม่สามารถตัดสินได้ สบส.จึงจะต้องมีการนำเรื่องนี้เข้าสู่คณะอนุกรรมของ สบส.เพื่อพิจารณาในเรื่องนี้อีกครั้ง ก่อน ถึงจะพิจารณาว่ามีความผิดหรือไม่
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงกรณีการทำศัลยกรรมใบหน้าของนายสุรชัย สมบัติเจริญ นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง โดยระบุว่าเป็นการทำแบบเฟซออฟ (Face Off) ว่า การทำศัลยกรรม มีหลายวิธีที่จะทำให้สภาพใบหน้าดีขึ้น แต่สมาคมวิชาชีพด้านศัลยกรรมความงามยืนยันแล้วว่าไม่มีการใช้คำว่าเฟซออฟในการทำศัลยกรรมเสริมความงาม และไม่มีหลักฐานทางวิชาการรองรับ และจากข่าวการทำศัลยกรรมของนักร้องคนดังกล่าวก็เป็นเพียงหัตถการเดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น การดึงหน้า การดึงหน้าผาก ยกกระชับ แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย เป็นต้น ไม่ได้เป็นวิธีใหม่เลย และคำว่า “เฟซออฟ” จึงเป็นเพียงการแต่งคำขึ้นมาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้คนเกิดความคาดหวังสูง จึงไม่อยากให้มีการแตกตื่นว่าเป็นวิธีการศัลยกรรมใหม่ที่ทำให้หนุ่มสาวขึ้น การที่มีการให้ข้อมูลเรื่องเฟซออฟทางโซเชียลมีเดีย จึงถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 เพราะทำให้ประชาชนสับสน และไม่ใช่ข้อเท็จจริง
"การออกมาให้ข้อมูลเรื่องเฟซออฟของ ดร.เซปิง ไชยสาส์น เป็นการโฆษณาอวดอ้าง ประชาสัมพันธ์เกินจริงหรือไม่นั้น จากการตรวจสอบถือเป็นการให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงตามหลักวิชา และมีการบอกว่าทำแล้วจะลดอายุได้มาก ซึ่งข้อมูลทางวิชาการไม่ได้บอกขนาดนั้น เพราะการลดอายุอยู่ที่แต่ละบุคคล และเนื่องจาก ดร.เซปิง ไม่ใช่แพทย์ ไม่ใช่สถานพยาบาล แต่เป็นเอเยนซี การเอาผิดจึงเป็นส่วนของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บบริโภค (สคบ.) เพราะมีกฎหมายในมืออยู่แล้ว ซึ่ง สบส. ได้มีการประสานไปยัง สคบ. แล้ว"
ทั้งนี้ ยืนยันว่า ชื่อโครงการ "Face Off ผ่าแหลกศัลยกรรม 10 อย่างบนหน้ากระชากความแก่จาก 60 ให้เหลือ 35 Dr.Xeping” ถือว่าผิดกฎหมายของ สคบ. แน่นอน
น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า สบส.จะตรวจสอบข้อมูลด้วยว่าสถานพยาบาลและแพทย์ที่ถูกอ้างถึงในการทำศัลยกรรมให้กับนักร้องลูกทุ่งคนดังกล่าวมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับการออกมาให้ข้อมูลของ ดร.เซปิงด้วยหรือไม่ ซึ่งเป็นไปตามหน้าที่ของ สบส.ตามมาตรา 45 พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ซึ่งมีวิธีตรวจสอบอยู่ หากพบความเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นเป็นใจกับการโฆษณาเข้าข่ายมีความผิด มีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท และโทษปรับรายวันอีกวันละ 1 หมื่นบาท จนกว่าจะเลิกโฆษณา หากเกี่ยวข้องกับแพทย์จะส่งแพทยสภาพิจารณาจริยธรรม
เมื่อถามถึงมาตรการป้องกันการโฆษณาอวดอ้างเกินจริงในการทำศัลยกรรม น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการหารือร่วมระหว่าง สบส. แพทยสภา สคบ. และกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร (ไอซีที) ในการหาทางควบคุมการโฆษณาเกินจริง โอ้อวด เป็นเท็จ ซึ่งมาตรการลงโทษจะต้องชัดเจนขึ้น โดยจะยกระดับในเรื่องของการเพิกถอนใบอนุญาตสถานพยาบาลและเรื่องจรรยาบรรณของวิชาชีพแพทย์
ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ ผอ.สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ สบส. กล่าวว่า ขณะนี้ทั่วประเทศมีสถานเสริมความงามขึ้นทะเบียนกว่า 1,458 แห่ง โดยทั้งหมดนี้จะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาลฯ ห้ามอวดอ้างและชักชวนให้ผู้บริโภคไปใช้สถานพยาบาล เช่น อ้างสรรพคุณการรักษาดีที่สุด เป็นเลิศ ซึ่งทำไม่ได้
วันเดียวกัน สบส. ได้ร่วมกับ สคบ. และ บก.ปคบ. ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล ย่านทาวน์อินทาวน์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเสริมความงามที่ทำการผ่าตัดให้นายสุรชัย เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางเสริมความงาม 30 เตียง ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายของ พ.ร.บ. สถานพยาบาลฯ มี นางศิริเพ็ญ พันธุ์ศรีทุม เป็นผู้ประกอบกิจการสถานพยาบาล มี นพ.มนัส เสถียรโชค เป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาล
น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวภายหลังตรวจสอบว่า จากการตรวจสอบพบว่าเป็นโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีทั้งห้องสังเกตอาการ รวมถึงห้องที่คอยรองรับในกรณีฉุกเฉิน ส่วนความเชื่อมโยงเกี่ยวกับการโฆษณาผ่าตัดศัลยกรรมให้นายสุรชัยนั้น ได้มีการเก็บข้อมูลเพื่อส่งให้คณะกรรมการพิจารณาแล้วว่าเข้าข่ายหรือไม่ แต่จากการสอบถามเบื้องต้นโรงพยาบาลระบุว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่หรือการโฆษณาใดๆ และกระแสข่าวดังกล่าวโรงพยาบาลไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ เนื่องจากโรงพยาบาลสามารถรับผู้ที่จะเข้ามาทำศัลยกรรมได้ประมาณเดือนละ 400 ราย และปกติก็เต็มอยู่แล้ว แต่ตามมาตรา 38 พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 มีการระบุชัดว่า หากปล่อยให้มีการกระทำผิดในสถานพยาบาลก็เท่ากับว่ายินยอม โดยยังไม่สามารถตัดสินได้ สบส.จึงจะต้องมีการนำเรื่องนี้เข้าสู่คณะอนุกรรมของ สบส.เพื่อพิจารณาในเรื่องนี้อีกครั้ง ก่อน ถึงจะพิจารณาว่ามีความผิดหรือไม่