“ถ้าเราเห็นว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าและเราเป็นมนุษย์อาจจะเข้าไม่ถึง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราทำให้ท่านเป็นมนุษย์จริงอย่างที่ท่านสอน มันจะเหลือแค่ลูกศิษย์กับอาจารย์” -อาจารย์สันติ พิเชฐชัยกุล ศิลปินประติมากรระดับโลก หนึ่งในผู้ออกเดินทางสะกดรอยตามหาพระพักตร์องค์พระพุทธเจ้า ด้วยแรงศรัทธาที่เปี่ยมล้นมาพร้อมกับพลังใจที่กระหายในคำตอบ นี่จึงเป็นก้าวแรกเล็กๆ ที่จะพาทุกสายตาไปสู่ความยิ่งใหญ่และรู้ซึ้งถึงองค์พระพุทธเจ้าอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน . .
“ตั้งแต่เป็นเด็กมีความสงสัยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าหน้าจึงไม่เหมือนคน เพราะว่าท่านเองก็สอนธรรมะ ธรรมะคือธรรมชาติ ความจริง สัจธรรม พอเรียนรู้ไปจึงรู้ว่าตั้งแต่ที่ท่านปรินิพพานไป เป็นเรื่องที่ท่านห้ามว่าไม่ให้คนยึดติด หลงใหลในสิ่งของ รูปลักษณ์ต่างๆ ให้สละทิ้งหมด เพราะฉะนั้นคนอินเดียสมัยนั้นจึงไม่มีการทำสร้างอะไรที่แสดงถึงองค์พระพุทธเจ้าขึ้นมา”
ความสงสัยในวัยเยาว์จากวันวาน นำมาสู่การค้นหาคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมพระพุทธเจ้ามีใบหน้าไม่เหมือนคน นั่นจึงทำให้เขาเริ่มศึกษาข้อมูลอย่างลึกซึ้ง และนำไปสู่การสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
“จนกระทั่ง 200 ปีหลังที่ท่านปรินิพพานไปถึงค่อยๆ มีสื่อสัญลักษณ์ให้รำลึกนึกถึงท่าน มีรอยพระพุทธบาท ธรรมจักร กวางหมอบอย่างที่เห็นไว้เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า หลังจากนั้น 2,000 ปี ทำไมพระพุทธเจ้าความเป็นคนหาย เกิดอะไรขึ้น จึงเริ่มศึกษา พอเห็นว่าหน้าที่ถูกเปลี่ยนไป พระไตรปิฎกและคัมภีร์ก็เปลี่ยนไปด้วย
เราจึงพบว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลง จนเกิดคำถามขึ้นมาว่าเราจะปั้นพระพุทธเจ้าขึ้นมาเพื่ออะไร ผมมองว่าถ้าปั้นพระพุทธเจ้าเหมือนจริง เหมือนคนขึ้นมาแล้ว เราน่าจะค้นพบคำสอนจริงๆ ของพระองค์ เพราะรูปปั้นเหมือนจริงหายไปเป็นรูปปั้นเทพเจ้า ส่วนพระไตรปิฎกก็หายไปด้วย”
การเดินทางค้นหาพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าของอาจารย์สันติและคุณเอริค่าเป็นการเดินทางผ่าน 3 ประเทศ คือ เนปาล อินเดีย และศรีลังกา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกและไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่อาจารย์สันติเป็นผู้ริเริ่มและสร้างโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อให้พระพักตร์ที่แท้จริงของพระองค์ได้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก
“การค้นหาพักตร์ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่การคิดขึ้นมาเอง แต่เป็นการผ่านการประชุมกับนักวิชาการทางพุทธศาสนาและนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าของโลก และผมเองมีโอกาสพูดคุยและศึกษาข้อมูลจากญาติสายเลือดพระพุทธเจ้า ได้เข้าสู่ดินแดนต้องห้าม ได้เห็นรูปปั้นที่เป็นความลับของตระกูล ซึ่งผมเป็นคนเดียวในโลกที่พบหลักฐานใหม่ของใบหน้าพระพุทธเจ้า ”
ความตั้งใจของเขาไม่เพียงแต่เดินทางเพื่อไขข้อสงสัยเท่านั้น แต่เขากำลังริเริ่มทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่สู่สายตาชาวโลก รวมถึงนำหลักธรรมคำสอนและแรงศรัทธามาสู่จิตใจชาวพุทธทุกคน อาจารย์สันติยังบอกอีกว่าแท้จริงแล้วความยิ่งใหญ่ขององค์พระพุทธเจ้าไม่ได้มาจากการเหาะเหินเดินอากาศอย่างที่เคยได้อ่านมา ทว่า พระองค์ยิ่งใหญ่จากจิตใจภายในของพระองค์
“ตอนนี้เรากำลังทำพระพุทธเจ้าให้เหมือนจริง ประวัติศาสตร์จริงจะกลับมา คำสอนจริงจะกลับมา มันไม่ใช่การปั้นพระพุทธเจ้าให้เหมือนจริงเท่านั้น แต่ได้หลักธรรมคำสอนกลับมาด้วย ตอนนี้อยากให้ทุกคนรู้ว่าพระพุทธเจ้าองค์จริงท่านสุดยอดกว่าที่เรารู้กันจากปรัมปรา เหาะเหินเดินอากาศ เทวดาต่างๆ อันนั้นเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น”
การสร้างองค์พระพุทธเจ้าเสมือนจริงขึ้นมานั้น สิ่งสำคัญเพื่อขจัดช่องว่างระหว่างมนุษย์กับพระพุทธเจ้า เพราะรูปปั้นที่เสมือนจริงจะแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์และอาจารย์ ซึ่งช่วยให้มีความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นถึงแก่นแท้ของหลักพระธรรมคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธองค์ นอกจากนี้ยังเป็นการปลูกฝังสายสัมพันธ์ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ที่เป็นพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ถือเป็นวิธีที่ทำให้เข้าถึงพระพุทธองค์ได้อีกทางหนึ่ง
“ถ้าเราเห็นว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าและเราเป็นมนุษย์อาจจะเข้าไม่ถึง บางครั้งคิดว่าทำไม่ได้ไม่เป็นไร มีท่านคนเดียวที่ทำได้ งั้นเอาท่านขึ้นหิ้งกราบไหว้กัน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราทำให้ท่านเป็นมนุษย์จริงอย่างที่ท่านสอน มันก็จะเหลือแค่ลูกศิษย์กับอาจารย์ เราจะเข้าถึงพระองค์ท่านได้มากขึ้น คนจะกล้าปฏิบัติตามคำสอนที่แท้จริงของท่าน มันจะทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นถ้าทุกคนปฏิบัติตามที่ท่านสอน”
“ตรงนี้เลยคิดว่าไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร ถ้าจะทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างที่พระองค์สอน” อาจารย์สันติเปรยขึ้น ก่อนจะเล่าต่อไปถึงขั้นตอนการทำโครงการตามหาพระพักตร์ขององค์พระพุทธเจ้า ซึ่งมีการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วน มีการปรึกษาหารือกับเหล่านักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ ร่วมกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบที่ใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด
“ผมไม่ได้คิดเอง หลับฝันเองว่าเป็นแบบนี้เป็นแบบนั้น ผมเชิญปรมาจารย์ด้านพระพุทธ ด้านจิตวิทยา ด้านโบราณคดี ด้านประวัติศาสตร์ ผมเอามาหมดเลย ผมศึกษาแล้วรับคำปรึกษาเพื่อจะดีไซน์ออกมาว่า พระพุทธรูปออกที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดตามประวัติศาสตร์ของโลก มีความเป็นไปได้เท่าไหร่ต้องมีข้อมูลอ้างอิง
ผมไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อคนไทยของเรา คนเอเชีย หรือคนที่นับถือศาสนาพุทธทุกคนบนโลกนี้เท่านั้น แต่ยังไปสู่มวลมนุษยชาติ คนศาสนาอื่น ประเทศอื่น ชาติอื่น ซึ่งเขาอาจจะกลับมาเห็นและชื่นชมว่าคนไทยเอาจริงเอาจังมาก ทำของจริงที่พิสูจน์ได้ เขาจะเกิดความเชื่อและความนับถือ อยากเดินทางมาบ้านเรา”
ภายหลังจากการเดินทางค้นหาพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาจารย์สันติได้เตรียมสร้างประติมากรรมโลหะรูปปั้นพระพุทธเจ้าขนาดเท่าจริงและขนาดใหญ่ที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดในโลก ซึ่งจะความละเอียดสูงและสมจริง ขนาดความสูง 19 เมตร เพื่อถ่ายทอดตัวตนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นการย้อนกลับไปสู่ยุคสมัยเมื่อเกือบ 2,600 ปีแห่งพุทธกาล โดยจะประดิษฐาน ณ ประเทศไทยเพื่อเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ประเทศอีกด้วย
“รูปปั้นพระพุทธเจ้าที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดในโลกจะสามารถสื่อถึงคำสอนของพระพุทธองค์ในเรื่องสัจธรรม และสภาวะที่เป็นจริงได้อย่างแม่นยำชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งผู้ที่ได้ชมรูปปั้นพระพุทธเจ้าที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดในโลก จะสามารถย้อนรำลึกและนึกถึงประวัติศาสตร์ได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่นแท้แห่งสัจธรรมมากขึ้น”
“การปั้นพระพุทธรูปให้เป็นมนุษย์ถือว่าถูกต้องที่สุดตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์เอง ผมขอยืนยั่น” ดร.มิลาน ศากยะ สายเลือดพระพุทธเจ้าชาวเนปาล ผู้เชี่ยวชาญด้าน พุทธศาสนา กวี จิตรกร นักเขียน และนักแปลภาษาโบราณ 8 ภาษา มีความสุขและปีติมาก เมื่อทราบว่าอาจารย์สันติมีความคิดที่จะปั้นพระพุทธเจ้าแบบเหมือนจริงที่สุดตามประวัติศาสตร์ของโลก
โดยในปี 2560 คนทั่วโลกจะได้เห็นพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าเสมือนจริงที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังกลายเป็นแหล่งรวบรวมหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ที่สมบูรณ์ รวมถึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอีกด้วย
เรื่องโดย : พิมพรรณ มีชัยศรี