วันที่ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาคดีรื้อบาร์เบียร์ โดยตัดสินจำคุกนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์และพวกรวม 130 คนๆ ละ 2 ปี ก็เกิดคดีลักษณะเดียวกันขึ้นที่บริเวณหาดราไวย์ จังหวัดภูเก็ต
ชายฉกรรจ์นับร้อยคนพร้อมไม้เปิดศึกไล่ตีชาวบ้านจนบาดเจ็บไป 9 คน หลังเกิดความขัดแย้ง กรณีนายทุนนำเครื่องจักรและกำลังคนเข้าปิดพื้นที่พิพาท ที่ชาวไทยใหม่หรือชาวเลราไวย์ใช้สัญจรมานับร้อยปี ริมชายหาดราไวย์
คดีรื้อบาร์เบียร์ในพื้นที่ของนายชูวิทย์ ปากซอยสุขุมวิท 12 เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2546 โดยคดียืดเยื้อมาถึง 13 ปี แต่สุดท้ายนายชูวิทย์และพวกก็ต้องชดใช้การกระทำที่มีลักษณะการเป็นมาเฟีย
ส่วนคดีไล่ตีชาวบ้านที่หาดราไวย์ ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ สังคมกำลังรอดูอยู่ว่า จะจบลงเหมือนคดีรื้อบาร์เบียร์หรือไม่ นายทุนและกลุ่มอันธพาลที่ใช้ความรุนแรง จะมีใครต้องเดินตามรอยนายชูวิทย์เข้าไปติดคุกหรือไม่
ข้อพิพาทในเส้นทางสาธารณะริมหาดราไวย์เกิดขึ้นมานาน ระหว่างชาวไทยใหม่ราไวย์กับนายทุนที่ครอบครองที่ดินติดหาดราไวย์ แต่ใครจะคาดคิดว่า ข้อพิพาทจะบานปลายกลายเป็นการใช้อิทธิพล โดยนำอันธพาลมาคุกคามและไล่ทำร้ายชาวบ้าน อย่างไม่กลัวกฎหมาย และไม่เกรงใจคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
บริษัท บารอน เวิลด์เทรด จำกัด เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินบนหาดราไวย์ โดยมีบริษัท ซิตี้ เรียลตี้ จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นและผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท ซิตี้ เรียลตี้ คือกลุ่มโสภณพนิช
ข้อพิพาทในที่ดินที่บริษัท บารอนฯ ครอบครอง เกิดขึ้นจากเส้นทางสาธารณะที่ชาวไทยใหม่หาดราไวย์ใช้กันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ และฟ้องร้องเรื่องสิทธิครอบครองกันมาตลอด
แม้บริษัท บารอน เวิลด์เทรด จำกัด จะถือเป็นผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยสุจริต เพราะที่ดินแปลงนี้มีโฉนดถูกต้อง แต่การสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ล่าสุดระบุว่า การออกโฉนดที่ดินแปลงนี้มิชอบ เพราะไม่ได้เรียกชาวบ้านมาสอบสวนสิทธิตอนออกโฉนด
ทั้งที่มีหลักฐานว่า ชุมชนชาวไทยใหม่อยู่อาศัยมาก่อนที่จะออกส.ค. 1 เมื่อปี 2498
ปัญหาเอกสารสิทธิ์ที่ดินที่หาดราไวย์ คงไม่แตกต่างจากที่ดินอีกนับหมื่นนับแสนแปลงทั่วประเทศ โดยแม้จะเป็นที่เขตป่าสงวน เป็นอุทยานแห่งชาติ หรือเป็นพื้นที่ที่ไม่ควรออกโฉนดได้ แต่เพราะอำนาจอิทธิพล เพราะผลประโยชน์ และเพราะข้าราชการชั่วๆ เขตป่าสงวน เขตพื้นที่อนุรักษ์จึงถูกแปลงเป็นโฉนด และสร้างปัญหาให้กับสังคมภายหลัง
โฉนดบนหาดราไวย์ แม้จะยืนยันได้ว่าออกโดยมิชอบ แต่ก็หมดอายุความที่จะดำเนินคดีกับข้าราชการกรมที่ดินที่เซ็นอนุมัติออกโฉนดแล้ว และไม่รู้ว่า ใครจะตามขุดคุ้ยหาชื่อคนอนุมัติมาประณามให้สังคมรับรู้หรือไม่
สิ่งที่รับรู้กันทั่วไปตามการแถลงของดีเอสไอขณะนี้คือ โฉนดที่ดินที่บริษัท บารอน เวิลด์เทรด จำกัด ครอบครองนั้น ออกโดยมิชอบ โจทย์ต่อไปคือ จะแก้กันอย่างไร ยึดคืนกลับมาเป็นของรัฐได้หรือไม่ หรือปล่อยเลยตามเลย ถือว่าบริษัท บารอนฯครอบครองสิทธิ์โดยสุจริต และหาประโยชน์บนที่ดินได้เต็มที่
บริษัท บารอนฯ นั้น กลุ่มโสภณพนิชถือหุ้นใหญ่โดยทางอ้อม และกลุ่มโสภณพนิชดำเนินธุรกิจสถาบันการเงินมาต่อเนื่อง จึงควรรู้เรื่องเอกสารสิทธิที่ดินดี เพราะสถาบันการเงินที่ตระกูลโสภณพนิชเป็นเจ้าของ ก่อนจะปล่อยเงินกู้ลูกค้าที่มีที่ดินมาค้ำประกัน ต้องพิจารณารายละเอียดเอกสารสิทธิและประวัติความเป็นมาของที่ดินอย่างรอบคอบ
และเมื่อกลุ่มโสภณพนิชจะซื้อที่ดิน คงต้องพิจารณาเอกสารสิทธิอย่างรอบคอบเหมือนกัน เพราะเอกสารสิทธิครอบครองที่ดินของประเทศไทยมักมีปัญหา
ใครบ้างอยากซื้อที่ดินที่มีข้อพิพาท หรืออยู่ในข่ายออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ เพราะอาจถูกยึดคืนได้ในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม บริษัท บารอนฯ ได้ครอบครองที่ดินโดยสุจริต แม้ที่ดินอาจถูกยึดคืน ก็ไม่ถือว่ามีความผิด แต่สิ่งที่ผิดคือ วิธีอันธพาล การนำนักเลงหัวไม้ไปคุกคามทำร้ายชาวบ้านที่เป็นคู่พิพาทการใช้เส้นทางสาธารณะ
ใครก็ตามที่บงการนำชายฉกรรจ์มารุกรานชาวบ้านไทยใหม่หาดราไวย์ ต้องถือว่ากล้ามาก เพราะคดีรื้อบาร์เบียร์ก็กำลังตัดสินชะตากรรมอยู่ แต่ยังบังอาจก่อคดีรื้อบาร์เบียร์ภาคใหม่ “ลองของ” กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเสียอีก
ข้อพิพาทเส้นทางสาธารณะบนหาดราไวย์ระหว่างชาวบ้านกับนายทุน มีการเปิดโต๊ะนั่งเจรจากันใหม่แล้ว มีข้อเสนอที่เป็นทางออกของทุกฝ่าย และอยู่ระหว่างรอว่า ชาวไทยใหม่ราไวย์จะยอมรับได้หรือไม่เท่านั้น ถ้ารับได้ข้อพิพาทคงยุติลง
แต่คดีการระดมชายฉกรรจ์เที่ยวไล่ตีชาวบ้าน เหมือนบ้านเมืองไร้ขื่อแปร จะถูกปล่อยให้เงียบหายไปหรือ จะดำเนินคดีแค่ลูกกระจ๊อกที่รับจ้างหรือไม่ จะสาวให้ถึงนายทุนคนบงการหรือเปล่า
คดีรื้อบาร์เบียร์เป็นบรรทัดฐานของกระบวนการยุติธรรมแล้ว แม้แต่ “ชูวิทย์” ยังไม่รอดคุก คดีรื้อบาร์เบียร์ภาค 2 ที่หาดราไวย์ ก็ควรจะปิดฉากในแนวทางเดียวกัน
นายทุนที่บงการนักเลงหัวไม้ไล่ทุบชาวบ้านหาดราไวย์ไม่ควรปล่อยให้ลอยนวล
พฤติกรรมบ้านป่าเมืองเถื่อนเกิดขึ้นแล้ว จะพอใจกับการจับนายทุนและชาวบ้านมานั่งเจรจาประนีประนอมยอมความ และถือว่าทุกอย่างจบหมด ก็ไม่เป็นไร
เพราะสังคมจะทำอะไรได้ นอกจากทำใจยอมรับความหดหู่ของความป่าเถื่อนที่หาดราไวย์
ชายฉกรรจ์นับร้อยคนพร้อมไม้เปิดศึกไล่ตีชาวบ้านจนบาดเจ็บไป 9 คน หลังเกิดความขัดแย้ง กรณีนายทุนนำเครื่องจักรและกำลังคนเข้าปิดพื้นที่พิพาท ที่ชาวไทยใหม่หรือชาวเลราไวย์ใช้สัญจรมานับร้อยปี ริมชายหาดราไวย์
คดีรื้อบาร์เบียร์ในพื้นที่ของนายชูวิทย์ ปากซอยสุขุมวิท 12 เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2546 โดยคดียืดเยื้อมาถึง 13 ปี แต่สุดท้ายนายชูวิทย์และพวกก็ต้องชดใช้การกระทำที่มีลักษณะการเป็นมาเฟีย
ส่วนคดีไล่ตีชาวบ้านที่หาดราไวย์ ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ สังคมกำลังรอดูอยู่ว่า จะจบลงเหมือนคดีรื้อบาร์เบียร์หรือไม่ นายทุนและกลุ่มอันธพาลที่ใช้ความรุนแรง จะมีใครต้องเดินตามรอยนายชูวิทย์เข้าไปติดคุกหรือไม่
ข้อพิพาทในเส้นทางสาธารณะริมหาดราไวย์เกิดขึ้นมานาน ระหว่างชาวไทยใหม่ราไวย์กับนายทุนที่ครอบครองที่ดินติดหาดราไวย์ แต่ใครจะคาดคิดว่า ข้อพิพาทจะบานปลายกลายเป็นการใช้อิทธิพล โดยนำอันธพาลมาคุกคามและไล่ทำร้ายชาวบ้าน อย่างไม่กลัวกฎหมาย และไม่เกรงใจคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
บริษัท บารอน เวิลด์เทรด จำกัด เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินบนหาดราไวย์ โดยมีบริษัท ซิตี้ เรียลตี้ จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นและผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท ซิตี้ เรียลตี้ คือกลุ่มโสภณพนิช
ข้อพิพาทในที่ดินที่บริษัท บารอนฯ ครอบครอง เกิดขึ้นจากเส้นทางสาธารณะที่ชาวไทยใหม่หาดราไวย์ใช้กันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ และฟ้องร้องเรื่องสิทธิครอบครองกันมาตลอด
แม้บริษัท บารอน เวิลด์เทรด จำกัด จะถือเป็นผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยสุจริต เพราะที่ดินแปลงนี้มีโฉนดถูกต้อง แต่การสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ล่าสุดระบุว่า การออกโฉนดที่ดินแปลงนี้มิชอบ เพราะไม่ได้เรียกชาวบ้านมาสอบสวนสิทธิตอนออกโฉนด
ทั้งที่มีหลักฐานว่า ชุมชนชาวไทยใหม่อยู่อาศัยมาก่อนที่จะออกส.ค. 1 เมื่อปี 2498
ปัญหาเอกสารสิทธิ์ที่ดินที่หาดราไวย์ คงไม่แตกต่างจากที่ดินอีกนับหมื่นนับแสนแปลงทั่วประเทศ โดยแม้จะเป็นที่เขตป่าสงวน เป็นอุทยานแห่งชาติ หรือเป็นพื้นที่ที่ไม่ควรออกโฉนดได้ แต่เพราะอำนาจอิทธิพล เพราะผลประโยชน์ และเพราะข้าราชการชั่วๆ เขตป่าสงวน เขตพื้นที่อนุรักษ์จึงถูกแปลงเป็นโฉนด และสร้างปัญหาให้กับสังคมภายหลัง
โฉนดบนหาดราไวย์ แม้จะยืนยันได้ว่าออกโดยมิชอบ แต่ก็หมดอายุความที่จะดำเนินคดีกับข้าราชการกรมที่ดินที่เซ็นอนุมัติออกโฉนดแล้ว และไม่รู้ว่า ใครจะตามขุดคุ้ยหาชื่อคนอนุมัติมาประณามให้สังคมรับรู้หรือไม่
สิ่งที่รับรู้กันทั่วไปตามการแถลงของดีเอสไอขณะนี้คือ โฉนดที่ดินที่บริษัท บารอน เวิลด์เทรด จำกัด ครอบครองนั้น ออกโดยมิชอบ โจทย์ต่อไปคือ จะแก้กันอย่างไร ยึดคืนกลับมาเป็นของรัฐได้หรือไม่ หรือปล่อยเลยตามเลย ถือว่าบริษัท บารอนฯครอบครองสิทธิ์โดยสุจริต และหาประโยชน์บนที่ดินได้เต็มที่
บริษัท บารอนฯ นั้น กลุ่มโสภณพนิชถือหุ้นใหญ่โดยทางอ้อม และกลุ่มโสภณพนิชดำเนินธุรกิจสถาบันการเงินมาต่อเนื่อง จึงควรรู้เรื่องเอกสารสิทธิที่ดินดี เพราะสถาบันการเงินที่ตระกูลโสภณพนิชเป็นเจ้าของ ก่อนจะปล่อยเงินกู้ลูกค้าที่มีที่ดินมาค้ำประกัน ต้องพิจารณารายละเอียดเอกสารสิทธิและประวัติความเป็นมาของที่ดินอย่างรอบคอบ
และเมื่อกลุ่มโสภณพนิชจะซื้อที่ดิน คงต้องพิจารณาเอกสารสิทธิอย่างรอบคอบเหมือนกัน เพราะเอกสารสิทธิครอบครองที่ดินของประเทศไทยมักมีปัญหา
ใครบ้างอยากซื้อที่ดินที่มีข้อพิพาท หรืออยู่ในข่ายออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ เพราะอาจถูกยึดคืนได้ในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม บริษัท บารอนฯ ได้ครอบครองที่ดินโดยสุจริต แม้ที่ดินอาจถูกยึดคืน ก็ไม่ถือว่ามีความผิด แต่สิ่งที่ผิดคือ วิธีอันธพาล การนำนักเลงหัวไม้ไปคุกคามทำร้ายชาวบ้านที่เป็นคู่พิพาทการใช้เส้นทางสาธารณะ
ใครก็ตามที่บงการนำชายฉกรรจ์มารุกรานชาวบ้านไทยใหม่หาดราไวย์ ต้องถือว่ากล้ามาก เพราะคดีรื้อบาร์เบียร์ก็กำลังตัดสินชะตากรรมอยู่ แต่ยังบังอาจก่อคดีรื้อบาร์เบียร์ภาคใหม่ “ลองของ” กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเสียอีก
ข้อพิพาทเส้นทางสาธารณะบนหาดราไวย์ระหว่างชาวบ้านกับนายทุน มีการเปิดโต๊ะนั่งเจรจากันใหม่แล้ว มีข้อเสนอที่เป็นทางออกของทุกฝ่าย และอยู่ระหว่างรอว่า ชาวไทยใหม่ราไวย์จะยอมรับได้หรือไม่เท่านั้น ถ้ารับได้ข้อพิพาทคงยุติลง
แต่คดีการระดมชายฉกรรจ์เที่ยวไล่ตีชาวบ้าน เหมือนบ้านเมืองไร้ขื่อแปร จะถูกปล่อยให้เงียบหายไปหรือ จะดำเนินคดีแค่ลูกกระจ๊อกที่รับจ้างหรือไม่ จะสาวให้ถึงนายทุนคนบงการหรือเปล่า
คดีรื้อบาร์เบียร์เป็นบรรทัดฐานของกระบวนการยุติธรรมแล้ว แม้แต่ “ชูวิทย์” ยังไม่รอดคุก คดีรื้อบาร์เบียร์ภาค 2 ที่หาดราไวย์ ก็ควรจะปิดฉากในแนวทางเดียวกัน
นายทุนที่บงการนักเลงหัวไม้ไล่ทุบชาวบ้านหาดราไวย์ไม่ควรปล่อยให้ลอยนวล
พฤติกรรมบ้านป่าเมืองเถื่อนเกิดขึ้นแล้ว จะพอใจกับการจับนายทุนและชาวบ้านมานั่งเจรจาประนีประนอมยอมความ และถือว่าทุกอย่างจบหมด ก็ไม่เป็นไร
เพราะสังคมจะทำอะไรได้ นอกจากทำใจยอมรับความหดหู่ของความป่าเถื่อนที่หาดราไวย์