xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : จับตาคดีรื้อบาร์เบียร์ “ชูวิทย์-เสธ.หิ-เสธ.แอ๊ป” จะรอดหรือไม่ 28 ม.ค.นี้!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

สภาพบาร์เบียร์ย่านสุขุมวิท หลังถูกกลุ่มชายฉกรรจ์หลายร้อยคนบุกเข้ารื้อทำลายเมื่อวันที่ 26 ม.ค.2546
อมรรัตน์ ล้อถิรธร....รายงาน

พรุ่งนี้แล้ว (28 ม.ค.) ที่ศาลฎีกาจะพิพากษาคดีรื้อบาร์เบียร์ ที่ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์-พ.ท.หิมาลัย (เสธ.หิ)-พ.ต.ธัญเทพ (เสธ.แอ๊ป)” กับพวกรวม 131 คน ตกเป็นผู้ต้องหา คดีนี้น่าลุ้นตรงที่ว่า ศาลชั้นต้นยกฟ้องผู้ต้องหาเกือบหมด แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำคุก “ชูวิทย์” กับพวก 66 คน คนละ 5 ปี ขณะที่ “ชูวิทย์” มากลับลำขอเปลี่ยนคำให้การจาก “ปฏิเสธ” เป็น “รับสารภาพ” ในนาทีสุดท้ายก่อนศาลฎีกาพิพากษาเมื่อ 15 ต.ค. 58 เพื่อขอให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษ ส่งผลศาลต้องเลื่อนวันพิพากษาเป็น 28 ม.ค.นี้ ...ก่อนศาลพิพากษา มาดูรายละเอียดของคดี รวมทั้งท่าทีของ “ชูวิทย์” ในแต่ละช่วงเวลาว่าเป็นอย่างไร

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ : จับตาคดีรื้อบาร์เบียร์ “ชูวิทย์-เสธ.หิ-เสธ.แอ๊ป” จะรอดหรือไม่ 28 ม.ค.นี้!?
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ในฐานะจำเลยที่ 129 ในคดีรื้อบาร์เบียร์
กรณีรื้อบาร์เบียร์ย่านสุขุมวิทเกิดขึ้นเมื่อปี 2546 วันที่ 26 ม.ค. เวลา 04.00 น. ได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายร้อยคนแต่งกายชุดซาฟารี พร้อมรถแบ็กโฮบุกเข้าทำลายร้านบาร์เบียร์ 60 ร้านซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ บริเวณสุขุมวิทสแควร์ ซอยสุขุมวิท 10 ถนนสุขุมวิท แขวงและเขตคลองเตย จนเสียหายราบเป็นหน้ากลอง โดยกลุ่มนายทุนกลุ่มใหม่ได้ว่าจ้างให้เข้าไปรื้อร้านค้าของผู้เช่าเดิมเพื่อจะใช้พื้นที่ทำประโยชน์ ต่อมา ตำรวจสืบสวนสอบสวนจนสามารถดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาทั้งสิ้น 131 คน โดยพนักงานสอบสวนส่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2546 ซึ่งทั้งหมดให้การปฏิเสธ

ต่อมา พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ และกลุ่มผู้ค้ารวม 44 ราย ได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 131 คนต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้แก่ จ.ส.อ.อภิชาติ ริมมสาร หรือรัมมะสาร, นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย และอดีตผู้บริหารบริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์, พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือเสธ.หิ นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการทหารสูงสุด (บก.สส.) ตำแหน่งในขณะนั้น, พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร หรือ เสธ.แอ๊ป นายทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ตำแหน่งในขณะนั้น เป็นจำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์, บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลปราศจากเสรีภาพ
พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือ เสธ.หิ อดีตนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการทหารสูงสุด  จำเลยในคดีรื้อบาร์เบียร์
คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2549 ยกฟ้องผู้ต้องหาเกือบทั้งหมด ยกเว้นนายชาญเวทย์ มาลัยบูชา จำเลยที่ 49 ซึ่งเป็นทนายความที่นำเอกสารสิทธิ์การครอบครองที่ดินไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ให้ลงบันทึกประจำวันช่วงเวลาเดียวกับที่กลุ่มชายฉกรรจ์กำลังรื้อถอนบาร์เบียร์ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือให้ผู้อื่นเข้าใจว่าการรื้อถอนถูกกฎหมาย และหาผู้ร่วมดำเนินการ ซึ่งศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี เนื่องจากมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหลายมาตรา ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืน อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 8 เดือน ส่วนจำเลยอื่นศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย จึงยกฟ้อง

ต่อมาศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2555 ว่า นายชูวิทย์, พ.ท.หิมาลัย หรือเสธ.หิ และ พ.ต.ธัญเทพ หรือ เสธแอ๊ป กับพวกรวม 66 คน มีความผิดจริง ฐานทำให้เสียทรัพย์ และใช้กำลังประทุษร้ายในเวลากลางคืน จึงพิพากษาจำคุกคนละ 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลยอีก 64 คน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้น จากนั้น พ.ท.หิมาลัย และ พ.ต.ธัญเทพ ได้ยื่นเงินสด 5 แสนบาท เพื่อประกันตัว ขณะที่นายชูวิทย์ได้รับการปล่อยตัวเพราะมีเอกสิทธิ์การเป็น ส.ส.ในขณะนั้นคุ้มครอง
พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร หรือ เสธ.แอ๊ป อดีตนายทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ จำเลยในคดีรื้อบาร์เบียร์
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ โดยสั่งจำคุก 5 ปี นายชูวิทย์กับพวกโดยไม่รอลงอาญา นายชูวิทย์ได้โพสต์เฟซบุ๊ก “ชูวิทย์ I'm No.5” เกี่ยวกับการตัดสินในครั้งนี้ โดยแสดงความเสียใจและขอโทษ ใจความว่า “เป็นธรรมดาของปุถุชนย่อมเกิดการท้อแท้หวั่นไหว แต่ผมจะพยายามไม่ให้กระทบต่องานเพื่อส่วนรวม เพราะมีข้อมูลอีกจำนวนมากที่เตรียมจะเปิดเผย ต้องขอโทษด้วย ลูกผู้ชายชั่ว 7 ที ดี 7 หน ข้อดีของระบบยุติธรรมในประเทศนี้ คือ มี 3 ศาล เมื่อศาลชั้นต้นยก ศาลอุทธรณ์ลงโทษ ผมยังเหลือศาลฎีกาให้พิสูจน์อีกศาล อย่าเพิ่งหัวเราะเยาะ อย่าเพิ่งตัดสินผม จนกว่าจะถึงวันที่ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา ขอบคุณสำหรับกำลังใจ (ถ้ามี) ส่วนคำวิพากษ์วิจารณ์ขอรับฟัง เป็นธรรมดาของมนุษย์ โบราณเขาบอก คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ”

ส่วนในชั้นฎีกานั้น ศาลฎีกาได้นัดอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2558 ซึ่งวันนั้นนายชูวิทย์เดินทางมาศาลด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ถือถุงใส่แปรงสีฟัน ยาสีฟัน รวมทั้งของใช้ส่วนตัวมาพร้อม และประกาศขอน้อมรับทุกคำตัดสิน แต่เนื่องจากวันดังกล่าวทนายจำเลยบางคนและนายประกันได้แจ้งต่อศาลว่ามีจำเลยบางคนเสียชีวิตแล้ว ศาลจึงต้องใช้เวลาตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทนายความและนายประกัน ศาลจึงเลื่อนอ่านคำพิพากษาเป็นช่วงเช้าวันที่ 15 ต.ค. 2558 แทน

เมื่อถึงกำหนด (15 ต.ค. 2558) นายชูวิทย์ได้ไปทำบุญโลงศพต่อชะตาที่บริเวณโรงทานเจใกล้กับศาลอาญากรุงเทพใต้ เนื่องจากเป็นวันที่ศาลจะชี้ชะตาตน พร้อมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก่อนเข้าฟังคำพิพากษาว่า เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และว่าคดีนี้ยืดเยื้อมานานกว่า 12 ปีแล้ว ยืนยันว่าที่ดินผืนดังกล่าวตนซื้อมาเอง แต่ล่าช้าเรื่องเอกสาร พร้อมยอมรับว่ามีความเครียดอยู่บ้าง และไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาอย่างไรก็จะยอมรับ
นายชูวิทย์ เดินทางไปศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อฟังคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อ 13 ส.ค.58 โดยเตรียมแปรงสีฟัน-ของใช้ส่วนตัวพร้อม แต่ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา
ทั้งนี้ หลังจำเลยที่ยื่นฎีกา 44 คน เดินทางมาศาลไม่ครบ ศาลจึงสั่งออกหมายจับ พร้อมเลื่อนอ่านคำพิพากษาเป็นช่วงบ่ายวันเดียวกัน(15 ต.ค.) อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลานัด ศาลได้เลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปก่อน เนื่องจากนายชูวิทย์ จำเลยที่ 129 ได้ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธ และเปลี่ยนคำให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง พร้อมทั้งขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุก โดยนายชูวิทย์ขอให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้องของตนให้ศาลฎีกาพิจารณา ซึ่งศาลได้ส่งคำร้องให้ศาลฎีกาทางโทรสาร (แฟกซ์) จากนั้น ศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปก่อน และให้ส่งสำนวนพร้อมคำพิพากษาคืนศาลฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาสั่งคำร้องของนายชูวิทย์ต่อไป ทั้งนี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาอีกครั้งในวันที่ 28 ม.ค. 2559 เวลา 09.00 น.

ส่วน พ.ต.ธัญเทพ หรือเสธ.แอ๊ป จำเลยที่ 130 ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ศาลจึงออกหมายจับ และปรับนายประกัน เช่นเดียวกับจำเลย 18, 40, 68, 73, 112 และ 115

ด้านนายชูวิทย์กล่าวในเวลาต่อมาว่า ตนใคร่ครวญเรื่องนี้ดีแล้ว การพูดความจริงทำให้เรารู้สึกปลดปล่อยมากสุด ตนต่อสู้มา 12 ปี สิ่งที่ทำไปในการเป็นนักธุรกิจขณะนั้นก็รู้สึกอึดอัด ตนรับสารภาพ ยอมรับผิด “ผมอยากให้ประชาชนดูว่าการทำอะไรไม่เท่ากับการพูดความจริง ผมตรึกตรองมา 2 วันจึงยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ทำให้รู้สึกยกภูเขาออกจากอก เราสามารถโกหกพ่อแม่ ภรรยาได้ แต่โกหกตัวเองไม่ได้”

นายชูวิทย์กล่าวอีกว่า การพูดความจริงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หวังว่าพี่น้องจะเข้าใจและให้โอกาส ส่วนค่าเสียหายตนได้ชดใช้แล้วร่วม 100 ล้านบาท หลังจากนี้ไม่ได้เตรียมตัวอะไร เพียงขอให้ศาลลงโทษสถานเบา ส่วนที่ดินแปลงนี้ตนซื้อมา 500 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารรับปากจะไล่ที่ให้ พร้อมยอมรับว่า กรณีรื้อบาร์เบียร์เกิดจากความบีบคั้น และความเป็นนักธุรกิจที่โง่เขลาเบาปัญญาของตน

เป็นที่น่าสังเกตว่า การขอยื่นคำให้การใหม่ของนายชูวิทย์ทำให้สังคมเกิดคำถามว่าสามารถทำได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยื่นในวันที่ศาลฎีกากำลังจะอ่านคำพิพากษาคดีนี้แล้ว ซึ่งนายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เผยว่า เคยมีจำเลยยื่นคำให้การใหม่ในลักษณะนี้เมื่อปี 2548 และศาลฎีกาวางบรรทัดฐานว่า “ถ้ายื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การ ต้องยื่นก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา มายื่นในชั้นฎีกาไม่ได้” ซึ่งกรณีของนายชูวิทย์อยู่ในอำนาจของศาลฎีกา จึงต้องรอการวินิจฉัยของศาลฎีกาในวันที่ 28 ม.ค. 59

แต่ขณะที่ยังไม่ถึงกำหนดที่ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษา ปรากฏว่านายชูวิทย์เดินทางไปต่างประเทศ ทำให้สังคมเริ่มสงสัยว่านายชูวิทย์จะหนีไม่มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 28 ม.ค.นี้หรือไม่ ทั้งนี้ ผู้ที่ทำให้สังคมทราบว่านายชูวิทย์ไปต่างประเทศก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือเจ้าตัวเอง โดยนายชูวิทย์โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2558 โดยมีคลิปวิดีโอออกกำลังกายในฟิตเนสแห่งหนึ่งซึ่งมีชาวต่างชาติปรากฏอยู่ในวิดีโอพร้อมถ้อยคำว่า หลังจากขึ้นศาลเมื่อวันที่ 15 ต.ค. ตนเดินทางมาสหรัฐอเมริกา ประเทศที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 เพราะเมื่อ 30 ปีก่อนเคยใช้ชีวิตนักศึกษาทำงานหาเช้ากินค่ำและมีครอบครัวอยู่ที่นี่

นาชูวิทย์ระบุต่อไปว่า ชีวิตคนเรามันช่างแสนสั้น จึงใช้ชีวิตทุกวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย ตื่นนอนแต่เช้า ออกกำลังกาย เดินทางไปทุกที่ที่อยากไป ทักทายผู้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน “หากยังมีโอกาส ผมวางแผนจะใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายอยู่ที่นี่ แต่อนาคตของผมจะเป็นอย่างไรแม้แต่พระเจ้าก็ยังไม่รู้ ผมเป็นนักต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ล้มลุกคลุกคลานมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง แม้กระทั่งครั้งนี้ หรืออีกกี่ครั้งในอนาคต จนกว่าผมจะตายจากโลกนี้ไป”

ทั้งนี้ หลังมีข่าวว่าศาลอาจจะออกหมายจับหรือปรับนายประกันได้ หากพิจารณาแล้วเห็นว่านายชูวิทย์มีพฤติการณ์หลบหนี ปรากฏว่านายชูวิทย์รีบโพสต์เฟซบุ๊กในวันต่อมา (10 พ.ย. 2558) ยืนยันว่าไม่เคยคิดหนี โดยระบุว่า “คนไทยเขาบอก “คนล้มอย่าข้าม” แต่ผมมันคนศัตรูเยอะ เวลาล้มเลยมีแต่คนจ้องจะกระทืบซ้ำ บ้างก็หาว่าผมหนีคุก หรือไม่ก็หายตัวไปแล้ว เหมือนนักการเมืองไทยหลายคนในอดีต แต่ขอโทษนะครับ ผมไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกาถึงสองครั้งสองครา ตลอดระยะเวลา 12 ปีที่มีคดี ไปทุกนัด ไม่เคยขาด ไม่เคยบิดพลิ้วไม่ไปศาลแม้แต่ครั้งเดียว”

“ผมเคยอยู่อเมริกามาเมื่อ 35 ปีก่อน... หากผมคิดจะหนี คงไม่มีใครตามผมเจอ แต่เพราะผมไม่เคยคิดแม้แต่นิดเดียว ผมกล้าทำ กล้ารับ และเผชิญหน้ากับความจริง ทุกครั้งที่ผมขอเดินทางออกนอกประเทศ มีเวลาเดินทางไปกลับชัดเจน เพราะต้องให้ คสช.อนุญาต ต้องแจ้งตารางอย่างละเอียดทุกวัน ปีนี้มาอเมริกา 4 ครั้ง และกลับตามกำหนดทุกครั้ง แม้แต่ครั้งที่จะไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกาล่าสุด ไม่ต้องห่วงหรอกคับ ผมกลับแน่ วันที่ 17 พ.ย.(58) และจะไปรายงานตัวกับศาลโดยทันที การเมืองไทยหากขาดผมไปสักคนคงไร้สีสัน จืดชืดเหมือนแกงจืดเต้าหู้ไม่ใส่หมูสับ"


ในที่สุด นายชูวิทย์ก็เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2558 ตามที่ประกาศไว้ทางเฟซบุ๊ก โดยนายชูวิทย์ได้แจ้งทางเฟซบุ๊กหลังเดินทางกลับไทยว่า “ผมกลับมาถึงเมืองไทยตอนตี 2 ครึ่งของวันที่ 17 พ.ย. โดยกลับมาเร็วกว่ากำหนดการเดิม เข้าใจว่ามีหลายๆ คนหลบหนีเงื้อมมือของกฎหมายออกนอกประเทศ แต่สำหรับผม ตลอดระยะเวลายาวนานของกระบวนการกฎหมาย ตนเดินทางไปขึ้นศาลด้วยตัวเองทุกครั้งไม่เคยขาด เพราะถึงแม้ว่าอิสรภาพสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด แต่ถึงหนีไปได้ ก็หนีไม่พ้นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจอยู่ดี กฎหมายจึงเป็นกฎเกณฑ์ที่คนในสังคมยอมรับและต้องใช้ตั้งแต่เกิดยันตาย นี่เป็นผืนแผ่นดินที่ผมเกิด และเมื่อตาย ร่างกายที่ได้บริจาคไว้ที่โรงพยาบาลศิริราชตั้งแต่ปี 55 คงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยให้กับการศึกษาทางการแพทย์ ผมขอยืนยันว่าการไปฟังคำพิพากษาเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม”
นายชูวิทย์ โพสต์ภาพเดินทางกลับไทยแล้วเมื่อ 17 พ.ย.58 หลังเดินทางไปสหรัฐฯ จนศาลอาจออกหมายจับหากส่อว่าหลบหนี
เมื่อลูกผู้ชายอย่างนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ยืนยันแล้วว่าการไปฟังคำพิพากษาเป็นสิ่งที่ดีที่สุด คงต้องลุ้นกันว่า วันที่ 28 ม.ค.นี้ นายชูวิทย์จะปรากฏตัวที่ศาลหรือไม่ และคำพิพากษาศาลฎีกาคดีรื้อบาร์เบียร์จะออกมาอย่างไร จะยืนตามศาลอุทธรณ์ที่ให้จำคุกนายชูวิทย์กับพวก คนละ 5 ปีหรือไม่ หรือจะลดหย่อนผ่อนโทษให้ตามที่นายชูวิทย์ร้องขอ โปรดติดตาม!!
กำลังโหลดความคิดเห็น