ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ในที่สุด ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา ให้จำคุกนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย จำเลยที่ 129 เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา จากคดีรื้อบาร์เบียร์ ที่เดิมศาลอุทธรณ์ให้จำคุก 5 ปี เนื่องจากมีเหตุบรรเทาโทษ เพราะนายชูวิทย์ ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายบางส่วนจนเป็นที่พอใจ และถอนฟ้องแล้ว นอกจากนี้ยังได้บริจาคที่ดินบริเวณปากซอยสุขุมวิท 10 ให้เป็นประโยชน์สาธารณะ
ย้อนอดีตเหตุการณ์รื้อบาร์เบียร์ ย่านสุขุมวิท เกิดขึ้นเมื่อเวลา 04.00 น.วันที่ 26 ม.ค.46 โดยมีกลุ่มชายฉกรรจ์นับร้อยคน แต่งกายชุดซาฟารี พร้อมรถแบ็กโฮบุกเข้าทำลายร้านบาร์เบียร์ 60 ร้าน ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ บริเวณสุขุมวิทสแควร์ ซอยสุขุมวิท 10 ถนนสุขุมวิทราบเป็นหน้ากลอง โดยกลุ่มนายทุนกลุ่มใหม่ ได้ว่าจ้างให้เข้าไปรื้อร้านค้าของผู้เช่าเดิม เพื่อจะใช้พื้นที่ทำประโยชน์
ตำรวจสืบสวนสอบสวนจนสามารถดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาทั้งสิ้น 131 คน พนักงานสอบสวนส่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด เมื่อวันที่ 13 มี.ค.46 ซึ่งทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ต่อมา พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ และกลุ่มผู้ค้ารวม 44 ราย ได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 131 คน ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้แก่ จ.ส.อ.อภิชาติ ริมมสาร หรือ รัมมะสาร , นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย และอดีตผู้บริหารบริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์, พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือ"เสธ.หิ" นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการทหารสูงสุด (บก.สส.) , พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร หรือ "เสธ.แอ๊ป" นายทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เป็นจำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์, บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลปราศจากเสรีภาพ
คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 13 ก.ค.49 ยกฟ้องผู้ต้องหาเกือบทั้งหมด ยกเว้น นายชาญเวทย์ มาลัยบูชา จำเลยที่ 49 ซึ่งเป็นทนายความที่นำเอกสารสิทธิ์การครอบครองที่ดินไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ให้ลงบันทึกประจำวัน ช่วงเวลาเดียวกับที่กลุ่มชายฉกรรจ์กำลังรื้อถอนบาร์เบียร์ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือให้ผู้อื่นเข้าใจว่า การรื้อถอนถูกกฎหมาย และหาผู้ร่วมดำเนินการ ซึ่งศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี ส่วนจำเลยอื่นยกฟ้อง
ต่อมาศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ เมื่อวันที่ 11 ก.ย.55 ว่า นายชูวิทย์, พ.ท.หิมาลัย และ พ.ต.ธัญเทพ กับพวกรวม 66 คน มีความผิดจริง ฐานทำให้เสียทรัพย์ และใช้กำลังประทุษร้ายในเวลากลางคืน จึงพิพากษาจำคุกคนละ 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลยอีก 64 คน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น โดย พ.ท.หิมาลัย และพ.ต.ธัญเทพ ได้ยื่นเงินสด 5 แสนบาทประกันตัว ส่วนนายชูวิทย์ ได้รับการปล่อยตัวเพราะมีเอกสิทธิ์การเป็นส.ส.ในขณะนั้นคุ้มครอง
ในชั้นศาลฎีกา ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 13 ส.ค.58 ซึ่งวันนั้นนายชูวิทย์ เดินทางมาศาลด้วย และประกาศขอน้อมรับทุกคำตัดสิน แต่เนื่องจากวันดังกล่าวทนายจำเลยบางคน และนายประกัน ได้แจ้งต่อศาลว่ามีจำเลยบางคนเสียชีวิตแล้ว ศาลจึงต้องใช้เวลาตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทนายความและนายประกัน ศาลจึงเลื่อนอ่านคำพิพากษาเป็นวันที่ 15 ต.ค. 58
เมื่อถึงกำหนด15 ต.ค.58 ช่วงเช้า นายชูวิทย์ ก็ยังคงไปศาล แต่ก็มีจำเลยบางคนไปศาลไม่ครบ ศาลจึงสั่งออกหมายจับ พร้อมเลื่อนอ่านคำพิพากษาเป็นช่วงบ่ายวันเดียวกัน (15 ต.ค.) แต่เมื่อถึงเวลานัด ศาลก็ได้เลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปก่อน เนื่องจากนายชูวิทย์ ได้ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธ และเปลี่ยนคำให้การใหม่ เป็นรับสารภาพตามฟ้อง พร้อมทั้งขอให้ศาลลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษจำคุก โดยนายชูวิทย์ ขอให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้องของตนให้ศาลฎีกาพิจารณา ซึ่งศาลได้ส่งคำร้องให้ศาลฎีกาทางโทรสาร (แฟกซ์) จากนั้นศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้น เลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปก่อน และให้ส่งสำนวนพร้อมคำพิพากษาคืนศาลฎีกา เพื่อประกอบการพิจารณาสั่งคำร้องของนายชูวิทย์ต่อไป และศาลอาญากรุงเทพใต้ ก็นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาอีกครั้ง ในวันที่ 28 ม.ค.59
นายชูวิทย์ กล่าวถึง การตัดสินใจกลับคำให้การจากปฏิเสธ มา รับสารภาพ ว่า ได้ใคร่ครวญเรื่องนี้ดีแล้ว การพูดความจริง ทำให้เรารู้สึกปลดปล่อยมากสุด ตนต่อสู้มา 12 ปี สิ่งที่ทำไปในการเป็นนักธุรกิจขณะนั้น ก็รู้สึกอึดอัด จึงยอมรับสารภาพ ยอมรับผิด
"ผมอยากให้ประชาชนดูว่า การทำอะไรไม่เท่ากับการพูดความจริง ผมตรึกตรองมา 2 วัน จึงยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ทำให้รู้สึกยกภูเขาออกจากอก เราสามารถโกหกพ่อแม่ ภรรยาได้ แต่โกหกตัวเองไม่ได้" นายชูวิทย์ กล่าว พร้อมยอมรับว่า กรณีรื้อบาร์เบียร์ เกิดจากความบีบคั้น และความเป็นนักธุรกิจที่โง่เขลาเบาปัญญาของตน
อย่างไรก็ตามในช่วงก่อนที่จะถึงกำหนดที่ศาลฎีกาจะอ่านคำพิพากษา ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ย.58 นายชูวิทย์ ได้โพสต์คลิปวิดีโอ เป็นภาพที่กำลังออกกำลังกายในฟิตเนสแห่งหนึ่ง ที่สหรัฐอเมริกา จึงทำให้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า นายชูวิทย์ คงจะหนีคดีที่ศาลฎีกากำลังจะมีคำพิพากษา แต่วันรุ่งขึ้นนายชูวิทย์ ก็รีบโพสต์เฟซบุ๊ก ยืนยันว่า ไม่เคยคิดหนี
"ผมเคยอยู่อเมริกามาเมื่อ 35 ปีก่อน หากผมคิดจะหนี คงไม่มีใครตามผมเจอ แต่เพราะผมไม่เคยคิดแม้แต่นิดเดียว ผมกล้าทำ กล้ารับ และเผชิญหน้ากับความจริง ทุกครั้งที่ผมขอเดินทางออกนอกประเทศ มีเวลาเดินทางไปกลับชัดเจน เพราะต้องให้ คสช.อนุญาต ต้องแจ้งตารางอย่างละเอียดทุกวัน ปีนี้มาอเมริกา 4 ครั้ง และกลับตามกำหนดทุกครั้ง แม้แต่ครั้งที่จะไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกาล่าสุด ไม่ต้องห่วงหรอกคับ ผมกลับแน่ วันที่ 17 พ.ย.58 และจะไปรายงานตัวต่อศาลโดยทันที "
แล้วเขาก็เดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 17 พ.ย.58 ตามที่ได้ลั่นวาจาไว้
และเช้าวันที่ 28 ม.ค. นายชูวิทย์ ก็เดินทางไปศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อฟังคำพิพากษา
"วันนี้ผมพร้อมเป็นตัวอย่างให้นักการเมือง และประชาชนทั่วไปเห็นว่า ผมไม่หนี จะอยู่ตรงนี้ และยอมรับคำพิพากษา ซึ่งแม้ว่าผมจะถอนคำให้การที่เคยปฏิเสธ มาเป็นการยอมรับสารภาพ ก็เป็นวิธีทางกฎหมายที่ผมได้สู้จนนาทีสุดท้าย ผมไม่เคยคิดแม้แต่วินาทีเดียวที่จะหลบหนีไปนั่งจิบไวน์บนเรือยอร์ช ถ้าวันนี้จะติดคุก ถูกสื่อมวลชนนำไปพาดหัวยังไงก็พร้อม ผมจะขึ้นรถบัส ไปใช้ชีวิตนักโทษในเรือนจำ ตามปกติ ผมเคยเป็นมาหมดแล้ว ทั้งเจ้าพ่อ หัวหน้าพรรค ผมเป็นได้ทุกอย่าง" นายชูวิทย์ ให้สัมภาษณ์สื่อในช่วงก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา
สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ นายชูวิทย์นั้น ศาลเห็นว่าหลังเกิดเหตุ ได้ร่วมกับพวกจำเลยอื่นชดใช้ค่าเสียหาย จนผู้เสียหายพอใจแล้ว และภายหลังได้นำที่ดินพิพาทไปทำประโยชน์เป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ โดยไม่ได้นำที่ดินไปทำธุรกิจแสวงหาผลกำไรอีก บ่งบอกว่า จำเลยรู้สำนึกผิด นับว่ามีเหตุให้ปรานี เห็นสมควรกำหนดโทษใหม่ ให้เหมาะสม จึงพิพากษาแก้ว่าให้จำคุกจำเลยคนละ 2 ปี และให้ออกหมายจับจำเลยที่ไม่มาฟังคำพิพากษา ซึ่งรวมถึงพ.ต.ธัญเทพ ด้วย
"ผมไม่อยู่ แล้วจะคิดถึงผม"
เป็นคำพูดทิ้งท้ายของนายชูวิทย์ ก่อนจะถูกส่งตัวขึ้นรถของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปรับโทษตามคำพิพากษา