xs
xsm
sm
md
lg

“ชูวิทย์”นอนคุก คดีรื้อบาร์เบียร์ปี46

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการรายวัน 360 - “ชูวิทย์” คอตกโดนคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา คดีรื้อบาร์เบียร์ 13 ปีก่อน พร้อม “เสธ.หิ” ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำกรุงเทพฯทันที ส่วน “เสธ.แอ๊บ” ผู้ตัองหาคนสำคัญไม่มาศาล เจอหมายจับ อดีตเจ้าพ่ออ่างคนดังลั่นไม่เคยคิดหนี ขอเป็นแบบอย่างให้นักการเมืองไทย ศาลชี้นำพื้นที่เปิด “สวนชูวิทย์” เป็นประโยชน์สังคม สะท้อนสำนึกผิดลดโทษ 5 ปีเหลือ 2 ปี จำเลยคนอื่นรับอานิสงค์ด้วย ลูกชายเปรยเตรียมใจไว้แล้ว

วานนี้ (28 ม.ค.) ที่ห้องพิจารณา 601 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง 63 ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีรื้อบาร์เบียร์ ซ.สุขุมวิท 10 คดีหมายเลขดำ ด.2150/2546 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ และกลุ่มผู้ค้า รวม 44 ราย ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง จ.ส.อ.อภิชาต ริมมสาร, นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย อดีตผู้บริหารบริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์, พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ อดีตนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา บก.สส., พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร อดีตนายทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ และพวกรวม 130 คน เป็นจำเลยที่ 1 - 130 ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์, บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลปราศจากเสรีภาพ เหตุเกิดเมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 26 ม.ค.46 มีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายร้อยคน พร้อมรถแบกโฮบุกทำร้านร้านบาร์เบียร์ บริเวณสุขุมวิทสแควร์ ซ.สุขุมวิท 10 แขวงและเขตคลองเตย กทม.

โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อวันที่ 44 ก.ย.55 แก้ให้จำคุกจำเลย 66 คนๆละ 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ก่อนที่จำเลยทั้ง 66 คนได้ฎีกาสู้คดี ในส่วนของศาลฎีกาได้นัดอ่านคำพิพากษาครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 ส.ค.58 แต่จำเลยมาไม่ครบ จึงนัดเป็นวันที่ 15 ต.ค.58 ซึ่งนายชูวิย์ได้ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การแล้วยื่นคำให้การใหม่ขอรับสารภาพ เพื่อขอให้ศาลลงโทษสถานเบา ศาลได้รับไว้พิจารณาแล้วนัดฟังคำพิพากษาศาลในวันที่ 28 ม.ค.59

** “ชูวิทย์” ลั่น “แล้วจะคิดถึงผม”

เมื่อเวลา 10.00 น. นายชูวิทย์ ในฐานะจำเลยที่ 129 ได้เดินทางมาถึงศาล พร้อม นายเติมตระกูล บุตรชาย และผู้ติดตาม โดยเมื่อมาถึงนายชูวิทย์ได้สักการะพระพุทธรูปบริเวณด้านหน้าศาลเพื่อเป็นสิริมงคล พร้อมกล่าวว่า วันนี้ตนพร้อมเป็นตัวอย่างให้นักการเมือง และประชาชนทั่วไปเห็นว่า ตนไม่หนีจะอยู่ตรงนี้และยอมรับคำพิพากษา ซึ่งแม้ว่าตนจะถอนคำให้การที่เคยปฏิเสธ มาเป็นการยอมรับสารภาพ เพื่อให้ศาลลงโทษสถานเบานี้ ก็เป็นวิธีทางกฎหมายที่ตนได้สู้จนนาทีสุดท้าย อย่างไรก็ตามปาฏิหารย์อาจจะมีจริง แต่ตนก็ไม่ได้คาดหวังขนาดนั้น

“ผมไม่เคยคิดแม้วินาทีเดียวจะหลบหนี ไปนั่งจิบไวน์บนเรือยอร์ช ถ้าวันนี้จะติดคุก ถูกสื่อมวลชนนำไปพาดหัวยังไงก็พร้อม” นายชูวิทย์

ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่หากศาลลงโทษจำคุกจะดำเนินการอย่างไรต่อไป และจะขออภัยโทษหรือไม่ นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนก็จะขึ้นรถบัส ไปใช้ชีวิตนักโทษในเรือนจำ ตามปกติ ตนเคยเป็นมาหมดแล้วทั้งเจ้าพ่อ หัวหน้าพรรค ตนเป็นได้ทุกอย่าง

ภายหลังให้สัมภาษณ์แล้ว ระหว่างกำลังจะเดินขึ้นศาล นายชูวิทย์ได้ยกมือไหว้ พร้อมกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ผมไม่อยู่ แล้วจะคิดถึงผม”

** “เฮียชู” กลับคำสารภาพไร้ผล

จนเมื่อเวลา 10.20 น. เจ้าหน้าที่ศาล ได้เช็คชื่อจำเลยที่มาศาล ปรากฎว่าขาดจำเลยอีกหลายราย จากนั้นเวลา 10.45 น. ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา โดยใช้เวลาอ่านนานกว่า 2 ชั่วโมง ซึ่งระหว่างฎีกาจำเลยหลายรายได้ขอถอนฎีกา ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมหารือกันแล้วเห็นว่า กรณีที่นายชูวิทย์ขอถอนคำให้การปฏิเสธเป็นรับสารภาพนั้น ศาลเห็นว่าคดีนี้จำเลยได้ยื่นฎีกาเมื่อเดือนพ.ย.55 ซึ่งให้การต่อสู้คดีไว้ ดังนั้นการยื่นคำร้องดังกล่าวจึงไม่ใช่การแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาในบางประเด็น แต่เป็นการขอถอนคำให้การเดิมเป็นให้การใหม่รับสารภาพ ซึ่งการแก้คำให้การนั้นจะต้องทำก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษา คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดีในศาลชั้นต้นแล้ว จึงไม่อาจที่จะนำมาพิจารณาได้ แต่คำให้การระบสารภาพของจำเลยถือได้ว่าเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงแห่งคดีที่ศาลไม่ต้องวินิจฉัยอีก

** พิพากษาคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา

ส่วนที่ พ.ท.หิมาลัย จำเลยที่ 128 และ พ.ต.ธัญเทพ จำเลยที่ 130 ขอให้ศาลลงโทษสถานเบา หรือรอการลงโทษนั้น เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการเข้าไปครอบครองพื้นที่โดยอุกอาจ ไม่ยำเกรงกฎหมาย ไม่ได้ใช้กฎหมายที่มีอยู่ดำเนินการให้ถูกต้อง ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรง ต้องป้องปรามไม่ให้ผู้อื่นถือเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

ศาลฎีกา จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษ 66 คนๆ ละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา จากเดิมที่ศาลอุทธรณ์ให้จำคุก 5 ปี และให้นับโทษจำเลยที่ 42, 44, 51, 47, 68, 99 และ 120 ต่อจากคดีอื่นด้วย จึงจำคุกจำเลยทั้ง 7 รายตั้งแต่ 2 ปี 15 วัน - 4 ปี เหตุที่ศาลฎีกาพิพากษาแก้ให้ลดโทษ นายชูวิทย์ จำเลยที่ 129 เนื่องจากได้ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายบางส่วนจนเป็นที่พอใจและถอนฟ้องแล้ว นอกจากนี้ยังได้บริจาคที่ดินบริเวณปากซอยสุขุมวิท 10 ให้เป็นประโยชน์สาธารณะให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ โดยไม่ได้นำที่ดินไปทำธุรกิจแสวงหาผลกำไรอีก นับว่ามีเหตุให้ปรานี ซึ่งบ่งบอกว่าจำเลยที่ 129 กับพวกสำนึกผิดที่ได้ทำลงไป จึงเห็นสมควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสม และเนื่องจากพฤติการณ์เป็นเหตุอยู่ส่วนลักษณะคดี จึงมีผลรวมไปถึงจำเลยอื่นที่ไม่ได้ฎีกาด้วย ทั้งนี้ พ.ต.ธัญเทพ หรือ เสธ.แอ๊ป ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา ให้ออกหมายจับพร้อมจำเลยที่ไม่มาฟังคำพิพากษาในวันนี้ ภายในอายุความ 10 ปี

ภายหลังเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์คุมตัวนายชูวิทย์ พร้อมพวกรวม 33 คน ไปคุมขังที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ ขณะที่คนใกล้ชิดและ นายเติมตระกูล บุตรชาย ได้ยืนรอส่งตัวนายชูวิทย์ พร้อมระบุว่า ได้เตรียมใจมาไว้แล้ว ขณะที่รถเรือนจำขับผ่านครอบครัวนายชูวิทย์ นายชูวิทย์ได้ยกนิ้วโป้งให้กับครอบครัว ก่อนที่ครอบครัวและลูกน้องนายชูวิทย์จะตามไปที่เรือนจำพร้อมของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นที่ซื้อมาเตรียมไว้แล้ว ส่วนครอบครัวของผู้ต้องหารายอื่น ได้รอรับทรัพย์สินที่เจ้าหน้าที่ได้ส่งคืนมาด้วยอาการโศกเศร้า

** ส่ง “ชูวิทย์” เข้าแดนแรกรับ

นายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงการรับตัว นายชูวิทย์เข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯว่า แม้นายชูวิทย์จะเคยเข้าเรือนจำมาแล้ว ก็ต้องดำเนินการเช่นเดียวกับผู้ต้องขังใหม่ทั่วไป โดยมีการตรวจร่างกายทำประวัติ ผู้ต้องขังใหม่ และแนะนำข้อปฏิบัติตน ระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำ โดยในช่วงแรกจะอยู่ที่แดนแรกรับ ก่อนที่จะพิจารณาจำแนกตามความเหมาะสมต่อไป

ด้าน นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวว่า หลังรับตัวได้ตรวจสอบประวัติผู้ต้องขัง พร้อมตรวจสุขภาพ ซึ่งพบว่านายชูวิทย์มีโรคประจำตัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง ส่วน พ.ท.หิมาลัย หรือ เสธ.หิ เป็นโรคเก๊าท์และความดันโลหิตสูง ทั้งหมดจะถูกส่งตัวเข้าแดนแรกรับ เบื้องต้นเนื่องจากเป็นผู้ต้องขังกลุ่มใหญ่คืนแรกอาจต้องแบ่งห้องนอนออกเป็น 2 ห้อง จากนั้นค่อยรอการจำแนกไปยังแดนคุมขังที่เหมาะสมต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับแดนแรกรับ ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีการปรับปรุงสภาพเรือนจำใหม่ เพื่อรองรับการควบคุมผู้ต้องขังในคดีสำคัญหลายคดี โดยแยกผู้ต้องขังคู่คดีออกจากกัน และแยกผู้ต้องขังชรา หรือมีโรคประจำตัวเพื่อสะดวกในการดูแลทั้งเรื่องความปลอดภัย ทั้งนี้ในส่วนของเรือนนอน มีการกำหนดจุดให้นักโทษรายสำคัญนอน และห้ามย้ายสลับที่นอน เพื่อสะดวกในการควบคุมดูแลผ่านกล้องวงจรปิด ภายหลังปิดเรือนนอน.
กำลังโหลดความคิดเห็น