MGR Online - “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” พร้อมครอบครัวเดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีรื้อบาร์เบียร์ เผยหวังปาฏิหาริย์อาจจะมี ยันยอมรับคำพิพากษาพร้อมใช้ชีวิตนักโทษ แขวะไม่เคยหนีไปนั่งเรือยอชต์จิบไวน์ ขณะที่จำเลยขาดรวม 20 คน หนึ่งในนั้นพบมี “พ.ท.หิมาลัย”
ที่ห้องพิจารณา 601 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง 63 วันนี้ (28 ม.ค.) ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีรื้อบาร์เบียร์ ซอยสุขุมวิท 10 คดีหมายเลขดำ ด.2150/2546 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ และกลุ่มผู้ค้า รวม 44 ราย ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง จ.ส.อ.อภิชาต ริมมสาร ,นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย อดีตผู้บริหารบริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์ , พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ อดีตนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา บก.สส. เมื่อปี 2546 , พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร อดีตนายทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เมื่อปี 2546 และพวกรวม 130 คน เป็นจำเลยที่ 1-130 ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์, บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลปราศจากเสรีภาพ กรณีเมื่อวันที่ 26 ม.ค.46 กลุ่มชายฉกรรจ์หลายร้อยคน พร้อมรถแบกโฮบุกทำร้านร้านบาร์เบียร์ บริเวณสุขุมวิทสแควร์ ซอยสุขุมวิท 10 แขวงและเขตคลองเตย กทม.
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำคุกจำเลย 66 คนๆ ละ 5 ปี ขณะที่จำเลย 66 คนได้ฎีกาสู้ตดี อย่างไรก็ดี วันนี้ นายชูวิทย์ จำเลยที่ 129 ได้เดินทางมาถึงศาล เวลา 10.00 น. พร้อมนายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ บุตรชาย พร้อมด้วยผู้ติดตาม โดยจำเลยคนอื่นทยอยกันเดินทางมา รวมแล้ว 31 ราย โดยเมื่อมาถึงนายชูวิทย์ได้เดินไปไหว้พระพุทธรูปประจำศาล ด้านหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้เพื่อเป็นสิริมงคล
นายชูวิทย์กล่าวว่า วันนี้ตนพร้อมเป็นตัวอย่างให้นักการเมืองและประชาชนทั่วไปเห็นว่าตนไม่หนี จะอยู่ตรงนี้และยอมรับคำพิพากษา แม้ว่าตนจะถอนคำให้การที่เคยปฏิเสธ มาเป็นการยอมรับสารภาพก็เป็นวิธีทางกฎหมายที่ตนได้สู้จนนาทีสุดท้าย
“ผมไม่เคยคิดแม้วินาทีเดียวที่จะหลบหนีไปนั่งจิบไวน์บนเรือยอชต์ ถ้าวันนี้จะติดคุก ถูกสื่อมวลชนนำไปพาดหัวยังไงก็พร้อม” นายชูวิทย์กล่าว และว่าวันนี้ตนพร้อมที่จะฟังคำพิพากษาโดยนำพระติดตัวมาด้วย
เมื่อถามว่า คิดหรือไม่ว่าศาลอาจจะลงโทษสถานเบา นายชูวิทย์กล่าวว่า ปาฏิหาริย์อาจจะมีจริง แต่ตนก็ไม่ได้หวังขนาดนั้น เมื่อถามว่า แต่หากศาลลงโทษยืน 5 ปี แล้วจะดำเนินการอย่างไรต่อไป และจะขออภัยโทษหรือไม่ นายชูวิทย์กล่าวว่า ตนก็จะขึ้นรถบัสไปใช้ชีวิตนักโทษในเรือนจำตามปกติ ตนเคยเป็นมาหมดแล้วทั้งเจ้าพ่อ หัวหน้าพรรค ตนเป็นได้ทุกอย่าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังสัมภาษณ์แล้วระหว่างกำลังจะเดินขึ้นศาล นายชูวิทย์ได้ยกมือไหว้พร้อมกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ผมไม่อยู่ แล้วจะคิดถึงผม”
ขณะที่เมื่อเวลา 10.20 น. เจ้าหน้าที่ศาลได้ดำเนินการเช็คชื่อจำเลยที่มาศาล เบื้องต้นยังขาดจำเลยอีก 20 คน หนึ่งในนั้น คือ พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ อดีตนายทหารฝ่ายเสนาธิการ ประจำหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (บก.สส.) จำเลยที่ 128 แต่ต่อมา พ.ท.หิมาลัย ก็ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาตามกำหนด
จากนั้นเวลา 10.45 น.ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา โดยใช้เวลาอ่านถึง 2 ชั่วโมงกว่า ซึ่งระหว่างฎีกาจำเลยที่ 21, 45, 79, 92, 107, 110, 120 และ 123 ขอถอนฎีกา ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมหารือกันแล้วเห็นว่า ที่นายชูวิทย์ จำเลยขอถอนคำให้การปฏิเสธเป็นรับสารภาพ เมื่อวันที่ 15 ต.ค.58 นั้น ศาลเห็นว่าคดีนี้จำเลยได้ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 15 พ.ย.55 ซึ่งให้การต่อสู้คดีไว้ ดังนั้น กรณีที่ยื่นคำร้องดังกล่าวจึงไม่ใช่การแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาในบางประเด็น ตามป.วิอาญา มาตรา 126 แต่เป็นการขอถอนคำให้การเดิมเป็นให้การใหม่รับสารภาพ ซึ่งการแก้คำให้การนั้นจะต้องทำก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษา คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดีในศาลชั้นต้นแล้ว กรณีจึงไม่อาจที่จะนำมาพิจารณาได้ตามป.วิอาญา มาตรา 163 วรรคสอง แต่คำให้การระบสารภาพของจำเลยถือได้ว่าเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงแห่งคดีที่ศาลไม่ต้องวินิจฉัยอีก
โดยข้อเท็จจริงแห่งคดีรับฟังได้ว่า ภายหลังที่มีการซื้อขายที่ดินเมื่อปี 2545 ต่อมาได้มีการปรับปรุงสถานที่ให้เป็นร้านค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบาร์เบียร์ กระทั่งวันเวลาเกิดเหตุได้มีชายฉกรรจ์กลุ่มจำเลยเข้าไปพูดคุยกับเจ้าของร้านบาร์เบียร์ ซึ่งเป็นผู้เสียหายว่าให้เก็บของ ขณะที่จำเลยบางคนได้พูดว่า ให้ไวให้ โดยกลุ่มจำเลยที่เข้ามาพูดคุยมีป้ายแขวนคอเขียนตัวอักษรภาษาอังกฤษแบ่งกลุ่ม เอ บี ซี ดี จากนั้นเวลาหลัง 05.00 น. พบรถแบกโฮ แท่งคอนกรีตกั้นปิดทางโดยรอบและตู้คอนเทนเนอร์ โดยเห็น พ.ท.หิมาลัยหรือเสธ.หิ จำเลยที่ 128 และ พ.ต.ธัญเทพ หรือเสธ.แอ๊ป หรือเสธ.แอ๊ป จำเลยที่ 130 อยู่ในที่เกิดเหตุโดยถือวิทยุสื่อสารสั่งการ
ขณะที่ในการจับกุมชายฉกรรจ์ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ยังพบสมุดจดปกสีน้ำเงิน แผนภูมิการรื้อถอน รายชื่อ รายละเอียดขั้นตอนการรื้อถอน และภาพถ่ายร้านค้า รวมทั้งวิทยุสื่อสารซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของพยานที่เป็นผู้จัดการบริษัทดูแลพื้นที่ว่าจำเลยให้ไปซื้อและเช่าวิทยุสื่อสารรวม 20 เครื่อง อีกทั้งโจทก์มีพยานเป็นทั้งเจ้าของร้านบาร์เบียร์ ผู้เสียหาย ผู้กำกับสน.ลุมพินี และพนักงานสอบสอบในขนะนั้น มาเบิกความยืนยันข้อเท็จดังกล่าว และการจับกุมกลุ่มชายฉกรรจ์ในที่เกิดเหตุ ซึ่งผู้เสียหายได้ชี้ภาพถ่ายผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนภายหลังจากเกิดเหตุไม่นาน จึงเชื่อว่าน่าจะจดจำใบหน้าจำเลยได้ แม้ว่าในชั้นพิจารณาจะไม่ได้ชี้ตัวจำเลย เพราะขณะนั้นอาจได้รับการเยียวยาและจำเลยบางคนเป็นเพียงผู้รับจ้าง ซึ่งพยานดังกล่าวไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับพวกจำเลยมาก่อน จึงเชื่อว่าเบิกความตามที่ได้รู้เห็นและได้ปฏิบัติหน้าที่มา พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังได้ปราศจากข้อสงสัยว่า ไม่ได้ให้การปรับปรำหรือกลั่นแกล้งจำเลยให้ได้รับโทษ
ส่วนที่จำเลยฎีกาสู้คดีว่า พยานที่เป็นผู้เสียหายหลายปากให้การเกี่ยวกับลักษณะของจำเลยคลาดเคลื่อนและขัดแย้งกันนั้น เห็นว่าเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้ว จึงเป็นไปได้ที่พยานอาจเบิกความคลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่ประเด็นดังกล่าวก็ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะทำให้คำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายรับฟังไม่ได้ ประกอบกับที่เกิดเหตุได้เกิดเหตุตั้งแต่เช้ามืดย่อมมีแสงสว่างเพียงพอ และช่วงกลางคืนยังมีแสงจากสปอร์ไลท์ด้วย ทำให้พยานมองเห็นหน้าชายฉกรรจ์และจำเลยได้ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาพร้อมกับของกลางที่พบในที่เกิดเหตุแสดงให้เห็นว่า พวกจำเลยได้รับรู้ถึงการกระทำ ซึ่งมีการวางแผนเป็นขั้นตอนและแบ่งหน้าที่กันทำชัดเจน ส่วนที่พ.ท.หิมาลัย และพ.ต.ธัญเทพ จำเลยที่ 128 และ 130 ขอให้ศาลลงโทษสถานเบา หรือรอการลงโทษนั้น เห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเข้าไปครอบครองพื้นที่โดยอุกอาจ ไม่ยำเกรงกฎหมาย ไม่ได้ใช้กฎหมายที่มีอยู่ดำเนินการให้ถูกต้อง ส่วนนายชูวิทย์นั้น ศาลเห็นว่า หลังเกิดเหตุได้ร่วมกับพวกจำเลยอื่นชดใช้ค่าเสียหายจนผู้เสียหายพอใจแล้ว และภายหลังได้นำที่ดินพิพาทไปทำประโยชน์เป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ โดยไม่ได้นำที่ดินไปทำธุรกิจแสวงหาผลกำไรอีก บ่งบอกว่าจำเลยที่ 129 และฝ่ายจำเลยรู้สำนึกผิด นับว่ามีเหตุให้ปรานี เห็นสมควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสม และเนื่องจากเป็นเหตุที่อยู่ในส่วนลักษณะคดี จึงมีผลไปถึงจำเลยอื่นที่ไม่ได้ฎีกาด้วย
ศาลฎีกา พิพากษาแก้ว่า ให้จำคุกจำเลยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษ 66 คนๆ ละ 2 ปี โดยให้นับโทษจำเลยที่ 42, 44, 51, 47, 68, 99 และ 120 ต่อจากคดีอื่นด้วย จึงจำคุกจำเลยทั้งเจ็ดตั้งแต่ 2 ปี 15 วัน- 4 ปี และให้ออกหมายจับจำเลยที่ไม่มาฟังคำพิพากษาในวันนี้ ซึ่งรวมถึงพ.ต.ธัญเทพหรือ เสธ.แอ๊ปด้วย เพื่อให้มารับโทษภายในอายุความต่อไป
ภายหลัง เจ้าหน้าที่ กรมราชทัณฑ์ คุมตัว นายชูวิทย์ พร้อมพวกรวม 31 คน ไปคุมขังที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพฯ โดยนายชูวิทย์ สวมชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแลคสีดำ ยังไม่มีการเปลี่ยนเป็นชุดนักโทษและขณะนั่งรถเรือนจำก็ได้โบกมือให้กับคนใกล้ชิดและบุตรชาย
ขณะที่คนใกล้ชิดและบุตรชาย ซึ่งมายืนรอส่งตัวนายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนเองได้เตรียมใจมาไว้แล้วและจะเดินทางไปรอส่งนายชูวิทย์ยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนครอบครัวของจำเลยรายอื่น ได้รอรับทรัพย์สินที่เจ้าหน้าที่ได้ส่งคืนมา ด้วยอาการโศกเศร้า