ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“หลวงพ่อจรัญ” ตั้งปณิธานอันแรงกล้าว่าจะ “ใช้หนี้โลกมนุษย์ด้วยการเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า” จึงได้เฝ้าเพียรปฏิบัติสมดังปณิธาน โดยท่านเป็นทั้งพระนักพัฒนาที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้พระพุทธศาสนา เป็นทั้งพระนักเทศน์ที่เข้าถึงจิตใจของคนทุกวัย และเป็นพระวิปัสสนากรรมฐานที่มุ่งหวังให้พุทธศาสนิกชนได้พัฒนาจิตใจด้วยการทำวิปัสสนากรรมฐาน ด้วยหลักสติปัฏฐาน 4 และให้หมั่นสวดมนต์ด้วยพุทธชัยมงคลคาถาเพื่อเป็นเครื่องเจริญสติอย่างแพร่หลาย
ธรรมคำสอนของหลวงพ่อจรัญ ได้พูดถึงประโยชน์ของกรรมฐานว่า “ชีวิตของคนเรานั้นมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย บางคนหาทางออกได้ แต่สำหรับบางคนหาทางออกไม่ได้ กรรมฐานเป็นวิธีหนึ่งที่เราจะสามารถล่วงรู้กรรมในอดีตของเราได้ เราก็จะสามารถแก้กรรมที่เกิดขึ้นกับเราได้”
ประโยชน์ของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นมีมากมายเหลือคณานับ ดังที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก ดังเช่น ทำกายวาจาใจของสรรพสัตว์ให้บริสุทธิ์หมดจด ดับความเศร้าโศก ดับความทุกข์กาย ดับความทุกข์ใจ เพื่อบรรลุมรรคผล และเพื่อทำนิพพานให้แจ้ง จึงนับได้ว่าหลวงพ่อจรัญได้ทำบุญกุศลช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไปอีกโดยแท้
ท่านยังสอนว่า วิปัสสนากรรมฐาน มิใช่เป็นเรื่องของการนั่งหลับตา เพื่อให้เห็นภาพวิจิตรพิสดาร หรือเพื่ออิทธิฤทธิ์ใดๆ แต่เป็นเรื่องของการศึกษาชีวิตเพื่อที่จะปลดเปลื้องความทุกข์นานาประการออกเสียจากชีวิต หรือปลดเปลื้องชีวิตออกเสียจากความทุกข์ …. เราพูดกันอยู่เสมอถึงคำว่า สติปัญญา เราใช้สติปัญญาอยู่เสมอก็จริง แต่สตินั้นแท้จริงแล้ว เรานำออกใช้น้อยนัก ทั้งที่สตินั้นมีคุณค่าแก่ชีวิต ... การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คือ การระดมเอาสติทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวเราออกมาใช้ประโยชน์ในการดับทุกข์ให้ได้ผลที่ดีที่สุดที่จะทำได้
หลวงพ่อจรัญ ได้ให้ความหมายของกรรมฐานว่า เป็นการกระทำที่ทำให้ฐานะดี ทำให้จิตใจเข้มแข็งและอดทน ต้องต่อสู้กับมารร้าย เพราะว่าอุปสรรคนี้เป็นมารเหลือเกิน เราจะต้องเตรียมหาอาวุธยุทธศาสตร์ไว้ให้พร้อมในตัวเอง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็คือกรรมฐาน คือการเจริญสติปัฏฐาน 4
ศีลในเบื้องต้น คือการเจริญกรรมฐานให้มีสติสัมปชัญญะ คนที่มีจิตปกติแล้วคนนั้นจะไม่บกพร่อง คนที่มีสติสัมปชัญญะก็แปลว่า คนนั้นมีความเห็นถูกต้อง ในเรื่องจิตของตน จะพิจารณาหาเหตุผลข้อเท็จจริงอยู่เสมอนี่แหละคือกรรมฐาน คือการเจริญสติปัฏฐาน 4 ..... เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะประจำจิตแล้ว ทำให้เราอดทนและตรากตรำได้ ทนเจ็บใจได้ ใครจะว่าอย่างไรก็จะไม่โกรธ จะไม่เกลียด และไม่ผูกพยาบาทคาดพยาบาทเวรแต่ประการใด .....
นอกจากนี้ ในการเทศนาสั่งสอนญาติโยม หลวงพ่อจรัญมักจะยกเรื่อง กฎแห่งกรรม เป็นตัวอย่างอยู่เนืองๆ และเชื่อว่าบุญกรรมมีจริง บาปกรรมมีจริง ยมบาลจดไม่มี จิตนี้เป็นผู้จด จดทุกวันคืออารมณ์ จดทุกกระเบียดนิ้ว โดยหลวงพ่อจรัญ ได้เล่าถึงผลกรรมที่เกิดจากการกระทำในวัยเด็กของตนเองที่มาส่งผลเอาตอนบวชเป็นพระจนแทบเอาชีวิตไม่รอด โดยเฉพาะเรื่องการต้มเต่า หักคอนก
เรื่องนี้ “เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ” เรียบเรียงเอาไว้ว่า ครั้งหนึ่งมีคนขี้เหล้าจ้างท่านด้วยเงิน 1 บาทให้นำเต่า 7 ตัวไปต้มเพื่อเป็นกับแกล้ม ท่านจึงนำเต่าทั้งหมดไปต้มในหม้อน้ำที่น้ำกำลังเดือดพล่าน แต่คงเพราะหม้อดินเผาที่ใช้ต้มคงเก่ามากแล้ว เมื่อเต่าพากันดิ้นขลุกขลักอยู่ในหม้อหม้อจึงแตกออกเป็นสองเสี่ยงเต่าทั้งหมดหลุดออกมาได้และยังไม่ตาย จึงพยายามตะเกียกตะกายหนีสุดชีวิตเข้าไปซุกตัวอยู่ใกล้กอไผ่ เมื่อเด็กชายจรัญ วิ่งตามเพื่อจะจับมาต้มอีก เขาก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็นเพราะเต่าใช้สองขาหน้าปาดน้ำตาที่ไหลพรากๆ ออกมา เหมือนสำนวนไทยที่ว่า “ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า” ไม่มีผิด ด้วยความสงสารเขาจึงปล่อยเต่าทั้งหมดไป
ขณะที่บวชเป็นพระ หลวงพ่อรู้ล่วงหน้าว่าท่านต้องรับผลกรรมครั้งนั้น วันหนึ่งคนที่ท่านรู้จักที่บางปะอินไม่สบายท่านจึงตั้งใจไปเยี่ยม โดยจ้างรถปิ๊กอัพไปกับคนขับสองคน ระหว่างทางกลับฝนตกหนักมาก ถนนลื่น รถยนต์เสียหลักพลิกคว่ำแปดตลบหลวงพ่อดิ้นขลุกขลักอยู่ในรถ เพราะประตูรถล็อกหมด ศีรษะถูกกระแทกทั้งบนและล่าง รถพังหมดทั้งคัน พอดีมีคนผ่านมาช่วยไว้จึงรอดชีวิตมาได้ แต่ท่านก็ต้องปวดแสบปวดร้อน ผิวหนังถลอกอยู่นานนับเดือน
อย่างไรก็ตาม แม้หลวงพ่อจรัญ จะเจริญกรรมฐานแผ่เมตตาขออโหสิกรรมแก่เต่า แต่กรรมเวรที่ทำไว้ยังไม่หมดแค่นั้น แถมครั้งที่สองยังหนักหนากว่าครั้งแรก คราวนี้ท่านประสบอุบัติเหตุอีกครั้ง โดยรถที่ท่านนั่งมาประสานงากับรถทัวร์อย่างแรง จนร่างของท่านพุ่งทะลุกระจกรถกระเด็นออกไปหลายวา แล้วตกลงมาหน้าบ้านของเจ้าของโรงงานทำอิฐในสภาพคอหักพับมาอยู่ที่หน้าอกหนังศีรษะเปิดจากหน้าผากไปถึงท้ายทอย เลือดเต็มปากเต็มคอ
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น โชคดีที่มีคนมาพบเข้า จึงอุ้มหลวงพ่อจรัญ ใส่รถขนอิฐแล้วนำไปส่งโรงพยาบาล แต่บังเอิญว่ารถไม่มีเบาะ หม้อน้ำรถก็ไม่มีฝาปิด ต้องใช้ผ้าอุดแทน ซึ่งอยู่ในตำแหน่งก้นของหลวงพ่อจรัญพอดิบพอดี ระหว่างทางที่จะไปโรงพยาบาล ท่านได้ยินเสียงเต่า พร้อมเห็นภาพเต่าโผล่ออกมาแล้วพูดว่า “สมน้ำหน้า เดี๋ยวกูจะซ้ำมึงๆ” พอขาดคำ น้ำในหม้อน้ำก็พุ่งขึ้นมาลวกใส่หลวงพ่อจรัญตั้งแต่หัวไปตลอดตัวท่านต้องทนทุกข์ทรมานไปตลอดทาง และเมื่อไปถึงโรงพยาบาลสิงห์บุรี หมอก็บอกกับญาติโยมว่าท่านเสียชีวิตแล้วให้นำไปวัดเตรียมจัดงานศพได้เลย
ทว่า ขณะที่บุรุษพยาบาลกำลังเข็นหลวงพ่อไปเย็บแผลล้างเลือดเตรียมเข้าห้องดับจิตนั้น หลวงพ่อได้ฟื้นคืนสติ จึงตั้งอธิษฐานจิตว่า “ด้วยเดชะบุญกุศล ท้าวเวสสุวัณ เจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าใช้หนี้กรรมในโลกมนุษย์หมดแล้วก็ยินดีจะไป แต่ถ้าข้าพเจ้ายังใช้หนี้กรรมไม่หมด ข้าพเจ้าขอสาบานต่อท้าวเวสสุวัณว่า ขอให้ข้าพเจ้ากลับมาแก้ตัว สร้างกรรมดีใช้หนี้ให้หมด ถ้าหมดแล้วข้าพเจ้าจะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก”
เมื่อสิ้นคำอธิษฐาน ปรากฏว่าบุรุษพยาบาลเข็นรถไปตกร่องประตูเหล็ก และจากแรงกระแทกนี่เองทำให้กระดูกคอของหลวงพ่อซึ่งขาดอยู่เกิดติดกันขึ้นมา หลวงพ่อจรัญ กลับฟื้นคืนสติ ทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวท่านไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลเลิดสิน กรุงเทพฯ เมื่อพ้นระยะวิกฤติแล้ว จึงส่งตัวท่านกลับมารักษาต่อที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ระหว่างนี้ท่านต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเป็นเวลากว่า 50 วัน หิวน้ำก็ไม่สามารถดื่มได้ ต้องหยอดด้วยหลอดกาแฟ เวลาฉันข้าวก็ต้องใส่เข้าไปข้างๆปากทีละน้อย ขบฉันอาหารเลือดก็ไหลตลอดเวลา ในช่วงเวลาที่ต้องรับผลกรรมนี่เอง หลวงพ่อจรัญจึงนึกถึงกรรมที่เคยทำกับนกขึ้นมาได้อีกเรื่องหนึ่ง…
เรื่องมีอยู่ว่า…ในวัยเด็กท่านชอบยิงนกตกปลา ครั้งหนึ่งท่านยิงนกจนปีกหัก ตกลงบนคันนา มันพยายามวิ่งหนีสุดชีวิต แต่เด็กชายจรัญ กลับวิ่งไล่ตามแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เจ้านกตัวนั้นตกใจหันมาจิกมือท่านเต็มแรงจนเลือดพุ่งกระฉูด ด้วยความเจ็บแค้น เด็กชายจรัญ จึงจับนกหักคอ ถลกหนังหัว โดยไม่สนใจว่าเจ้านกตัวนั้นจะร้องลั่นและสิ้นชีวิตด้วยความเจ็บปวดทรมาน และผลกรรมในวันนั้นก็ตามมาให้ผลกับท่านอย่างที่ปรากฏอยู่ในขณะนั้นเอง
เรื่องราวการให้ผลของกรรมของหลวงพ่อจรัญนั้นมีมากมายหลายเรื่อง สำหรับคนที่ชอบโกหกสบถสาบาน หลวงพ่อเล่าว่า ในวัยเด็กท่านมักจะขโมยเงินของยายบ่อยๆ เมื่อถูกจับได้ก็ไม่ยอมรับ พร้อมทั้งสาบานว่า “ถ้าขโมยจริงขอให้ฟ้าผ่า(แต่ไม่ตาย)” ผลกรรมในครั้งนั้นส่งผลให้วันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อกำลังเทศน์โปรดญาติโยมอยู่ที่กุฏิหลังปัจจุบัน ตอนบ่ายสี่โมงเย็นได้เกิดฟ้าผ่าลงมาที่ตัวของหลวงพ่อจนจีวรไหม้ แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่ร่างกายของหลวงพ่อไม่ได้รับอันตรายใดๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หลวงพ่อย้อนคิดถึงคำสาบานที่ให้ไว้กับยาย และมักยกตัวอย่างเรื่องนี้มาสอนญาติโยมให้ปฏิบัติตัวอยู่ในศีลในธรรมเสมอ
ในเรื่องกฎแห่งกรรมนี้ หลวงพ่อจรัญ ได้ชี้แนะแนวทางสำหรับคนที่อยากหมดเวรหมดกรรมไว้ว่า “อย่าไปสร้างเวรสร้างกรรมต่อไป แค่นี้ก็พอแล้ว ค่อยทยอยใช้ ไม่นานก็หมดไปเอง กรรมเราเป็นคนทำ เราก็ต้องเป็นคนแก้จะไปให้คนอื่นแก้ไม่ได้ การเจริญกรรมฐานทำให้รู้กฎแห่งกรรมว่าเคยทำอะไรไว้ จะได้แก้กรรม(ชดใช้กรรม)ของตัวเอง แล้วแผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ที่ร้ายจะกลายเป็นดี ลูกหลานจะมั่งมีศรีสุข ประกอบอาชีพการงานมีเงินไหลนองทองไหลมา”
หลังจากรอดตายจากอุบัติเหตุที่ทำให้หลวงพ่อจรัญเกือบจบชีวิตในครั้งนั้น ท่านได้ตั้งปณิธานอันแรงกล้าว่าจะ “ใช้หนี้โลกมนุษย์ด้วยการเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า” ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเปิดโรงเรียนพระปริยัติธรรมสำหรับภิกษุสามเณร ทั้งยังได้เปิดสำนักวิปัสสนากรรมฐานสำหรับฆราวาสโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ เชื้อชาติหรือศาสนา ศิษยานุศิษย์ของท่านมีทั้งที่นับถือศาสนาพุทธ คริสต์และอิสลาม
ผลงานของหลวงพ่อจรัญเป็นที่ประจักษ์ ไม่เฉพาะในหมู่ประชาชนคนไทยเท่านั้น แต่ชาวต่างประเทศก็ยอมรับนับถือท่าน ปีหนึ่งๆมีผู้เข้ามาปฏิบัติธรรมทั้งที่เป็นพระภิกษุ สามเณร แม่ชีและประชาชนทั่วไปนับหมื่นๆคน
ท่านกล่าวว่า “อาตมาไม่เคยสอนใครไปสู่สวรรค์ นิพพาน แต่สอนกรรมฐานให้ระลึกบุญคุณคน นึกถึงพ่อแม่ นึกถึงตนเอง และสงสารตัวเอง แค่นี้พอ…”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลวงพ่อจรัญ ได้เรียบเรียงหนังสือธรรมะที่มีคุณค่ายิ่งไว้เป็นจำนวนมาก แต่ละปีท่านแจกหนังสือเป็นธรรมะวิทยาทานประมาณมากกว่า 1 แสนห้าหมื่นเล่ม ด้วยคุณงามความดีนี้ทำให้ท่านได้รับการถวายเกียรติคุณมากมายแต่เหนืออื่นใด หลวงพ่อจรัญทำให้คนไทยหลายแสนหลายล้านคนเข้าถึงธรรมะที่แท้ของพระพุทธเจ้าและทำให้คนไทยเข้าใจ “กฎแห่งกรรม” ดังที่ท่านกล่าวว่า
“ผู้เป็นชาวพุทธทุกคนควรเชื่อและพยายามศึกษาทำความเข้าใจในกฎแห่งกรรม อาตมาอยากจะกล่าวว่า ชาวพุทธที่ไม่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมนั้น หาใช่ชาวพุทธไม่…เพราะที่สุดแล้วต่อให้เหนือฟ้ายังมีฟ้า แต่ไม่มีอะไรเหนือกฎแห่งกรรม”