ไม่รู้ว่า เคยเล่าผ่านคอลัมน์ไปบ้างหรือยัง ถ้าเล่าแล้ว ถือว่าฉายหนังซ้ำให้ฟังอีกครั้ง แต่ถ้ายังไม่เคย ถือโอกาสเล่าให้ฟังเป็นหลักคิดเล่นๆ
เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน มีนักข่าวรุ่นน้องตั้งฉายาตัวเองว่า “ลิตเติ้ลเสือ” และเปิดหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์อยู่พักหนึ่ง เป้าหมายสำคัญคือ แจกรางวัลดีเด่นให้นักธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือนักธุรกิจเอสเอ็มอี
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์รวมแล้วประมาณ 6-7 ฉบับในยุคนั้น ทำกิจกรรมการแจกรางวัลหรือขายรางวัลให้นักธุรกิจกันเป็นล่ำเป็นสัน โดยตั้งทีมติดต่อขายรางวัลให้นักธุรกิจทั่วประเทศ ใครพร้อมจ่าย 30,000 บาท สามารถรับรางวัลเป็นนักธุรกิจดีเด่นได้ในทุกแขนง มีรองนายกรัฐมนตรีถูกเชิญมาแจกรางวัลทีเดียว
ถ้าขายรางวัลได้ตามเป้าหมาย มีนักธุรกิจซื้อรางวัลรวมประมาณ 100 ราย จะจัดงานเลี้ยงในโรงแรมแจกรางวัลกัน 1 ครั้ง หนังสือพิมพ์มีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 2 ล้านบาท หนังสือพิมพ์ที่ยอดขายต่ำจึงพออยู่ได้ ส่วนเจ้าของพอมีกำไรติดไม้ติดมือ
การแข่งขันวิ่งหาลูกค้ามาซื้อรางวัลรุนแรงมาก เพราะหนังสือพิมพ์เฉพาะกาลแต่ละฉบับแย่งกันจัด แต่การถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์การซื้อรางวัล ทำให้ความนิยมลดลง ลูกค้าซื้อรางวัลหายากขึ้น
ช่วงปลายยุคของการขายรางวัลให้นักธุรกิจ เคยถาม “ลิตเติ้ลเสือ” ว่า จะหากินต่อไปอย่างไร จะขายรางวัลให้นักธุรกิจที่ไหน เพราะสังคมรู้แล้วว่า เป็นรางวัลหลอกๆ ไม่มีบรรทัดฐานพิจารณารางวัล ขอให้จ่ายสตางค์เท่านั้น
คำตอบที่น้อง “ลิตเติ้ลเสือ” ตอบในวันนั้น จำคำพูดได้ติดหูจนถึงวันนี้ “พี่นันท์ คนไทยมีกว่า 60 ล้านคน พี่คิดว่า มันฉลาดกันทุกคนหรือ”
วันนั้นไม่ได้ตอบโต้อะไรกับ “ลิตเติ้ลเสือ” นอกจากคิดอยู่ในใจว่า “ถูกที่น้องมันพูดแล้ว” เพราะถ้าฉลาดกันทุกคน คนไทยคงไม่ถูก “หลอกรับประทาน” จนถึงวันนี้
ยกเรื่อง “ลิตเติ้ลเสือ” มาเพื่อเชื่อมโยงกับการเลี้ยงตุ๊กตา “ลูกเทพ” ที่กำลังเกิดกระแสโครมครามตูมตามกันอยู่
ใครจะคิดว่า ตุ๊กตาปกติธรรมดาที่พ่อค้าผลิตออกจำหน่าย เมื่อใส่ยี่ห้อว่าเป็น “ลูกเทพ” ผลิตจากวัสดุชั้นดีหน่อย ทำผม แต่งตัว ใส่เสื้อผ้า และทำพิธีปลุกเสก ลงคาถาอาคมสักหน่อย ราคาจะพุ่งถึงตัวละหลายร้อยบาทจนถึงหลักหมื่นบาท
ตุ๊กตา “ลูกเทพ” กำลังเป็นประเด็นที่นำมาถกกันยกใหญ่ในวงสนทนา บางคนตั้งคำถามอย่างไม่เกรงใจคนที่ทำตัวเป็นพ่อเป็นแม่ “ลูกเทพ” ทำไมบ้ากันขนาดนี้
บ้ากันถึงขั้นป้อนข้าวป้อนน้ำ พาไปเที่ยว ซื้อตั๋วพาขี่เครื่องบิน ส่งเข้าสถานรับเลี้ยงเด็ก พาไปเรียนดนตรี เรียนคอมพิวเตอร์ เรียนภาษา ทะนุถนอมกันยิ่งกว่าลูกกว่าหลานเสียอีก
ถ้ายังไม่หายบ้า อีกหน่อยก็คงจะส่งตุ๊กตา “ลูกเทพ” เข้าฟิตเนส หรือเข้าหลักสูตรลดความอ้วนกัน
การเลี้ยง “ลูกเทพ” ว่ากันที่จริงแล้ว ไม่ได้หนักหัวใคร ตราบใดที่ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น และกระแส “ลูกเทพ” ก็เป็นอาการหนึ่งของสังคมที่ป่วยไข้เท่านั้น
สังคมไทยไม่ได้เพิ่งป่วยกับการนำตุ๊กตาธรรมดามากราบไหว้ เลี้ยงดูเหมือนลูกในไส้ เพราะก่อนหน้าก็แสดงอาการป่วยทางจิตมาตลอด
หลายสิบปีก่อนหน้า เคยบ้ากันมาแล้วกับอภินิหาร “โป่งข่าม” หินศักดิ์สิทธิ์จากทิเบต เห่อจตุคามรามเทพ และปัจจุบันยังมีคนอีกนับหมื่นนับแสนหลงงมงายในลัทธิ ซื้อบุญเพื่อขี่จานบินไปสวรรค์ ยังมีคนอีกมากมายที่เป็นเหยื่อแก๊งตกทอง หรือเหยื่อต้มตุ๋นจากขบวนการแชร์ลูกโซ่ต่างๆ
ดังนั้นอย่าต่อว่าต่อขาน กระแนะกระแหนคนที่เลี้ยงตุ๊กตา “ลูกเทพ” กันนักเลย เพราะสังคมยังมีผู้ป่วยทางจิตอ่อนๆ อยู่มากมาย
“ลูกเทพ” คนที่จะเลี้ยงได้ ไม่จำเป็นว่าต้องมีสติหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือจะต้องมีสตางค์
คนที่แทบไม่มีจะกิน จะเลี้ยง “ตุ๊กตา” พาเข้าร้านเสริมสวย ส่งเรียนได้อย่างไร
ถ้าจนไม่มีจะกินอยู่แล้ว ยังเลี้ยง “ลูกเทพ” อีก อันนี้ละบ้าจริง
กระแสเลี้ยง “ลูกเทพ” คงต้องปล่อยให้เป็นแฟชั่นกันต่อไป คนที่ขี้หงุดหงิดคงต้องทนเอาหน่อย เพราะไม่นานกระแสจะ “ซา” ไปเอง
“ลูกเทพ” ที่เที่ยวอุ้มกระเตงไปชูคออวดใครต่อใคร อีกไม่นานอาจจะกลายเป็นลูกกำพร้า ลูกอนาถา กลายเป็นตุ๊กตาจรจัดที่ไม่มีใครเหลียวแล
ช่วงนี้เศรษฐกิจซบ ธุรกิจเงียบเหงา การค้าตกต่ำ เกิดกระแส “ลูกเทพ” ขึ้นมา ทำให้หลายธุรกิจพอลืมตาอ้าปากได้บ้าง สังคมก็พอมีประเด็นได้ “เม้าท์” คลายเครียดกันไป
ตุ๊กตา “ลูกเทพ” เป็นเพียงอาการป่วยไข้ทางสังคมเท่านั้น จบกระแส “ลูกเทพ” แล้ว เดี๋ยวพ่อค้าหัวใสก็หาของเล่นใหม่มาหลอกกินเงินจากกระเป๋าคนไทยอีก จริงไหม
เมื่อเห็นว่า สังคมเต็มไปด้วยคนที่ป่วยไข้ เวลาคนเขาบ้าอะไรกัน เราก็อย่าไปบ้าตาม แค่นี้ก็หมดเรื่อง
เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน มีนักข่าวรุ่นน้องตั้งฉายาตัวเองว่า “ลิตเติ้ลเสือ” และเปิดหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์อยู่พักหนึ่ง เป้าหมายสำคัญคือ แจกรางวัลดีเด่นให้นักธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือนักธุรกิจเอสเอ็มอี
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์รวมแล้วประมาณ 6-7 ฉบับในยุคนั้น ทำกิจกรรมการแจกรางวัลหรือขายรางวัลให้นักธุรกิจกันเป็นล่ำเป็นสัน โดยตั้งทีมติดต่อขายรางวัลให้นักธุรกิจทั่วประเทศ ใครพร้อมจ่าย 30,000 บาท สามารถรับรางวัลเป็นนักธุรกิจดีเด่นได้ในทุกแขนง มีรองนายกรัฐมนตรีถูกเชิญมาแจกรางวัลทีเดียว
ถ้าขายรางวัลได้ตามเป้าหมาย มีนักธุรกิจซื้อรางวัลรวมประมาณ 100 ราย จะจัดงานเลี้ยงในโรงแรมแจกรางวัลกัน 1 ครั้ง หนังสือพิมพ์มีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 2 ล้านบาท หนังสือพิมพ์ที่ยอดขายต่ำจึงพออยู่ได้ ส่วนเจ้าของพอมีกำไรติดไม้ติดมือ
การแข่งขันวิ่งหาลูกค้ามาซื้อรางวัลรุนแรงมาก เพราะหนังสือพิมพ์เฉพาะกาลแต่ละฉบับแย่งกันจัด แต่การถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์การซื้อรางวัล ทำให้ความนิยมลดลง ลูกค้าซื้อรางวัลหายากขึ้น
ช่วงปลายยุคของการขายรางวัลให้นักธุรกิจ เคยถาม “ลิตเติ้ลเสือ” ว่า จะหากินต่อไปอย่างไร จะขายรางวัลให้นักธุรกิจที่ไหน เพราะสังคมรู้แล้วว่า เป็นรางวัลหลอกๆ ไม่มีบรรทัดฐานพิจารณารางวัล ขอให้จ่ายสตางค์เท่านั้น
คำตอบที่น้อง “ลิตเติ้ลเสือ” ตอบในวันนั้น จำคำพูดได้ติดหูจนถึงวันนี้ “พี่นันท์ คนไทยมีกว่า 60 ล้านคน พี่คิดว่า มันฉลาดกันทุกคนหรือ”
วันนั้นไม่ได้ตอบโต้อะไรกับ “ลิตเติ้ลเสือ” นอกจากคิดอยู่ในใจว่า “ถูกที่น้องมันพูดแล้ว” เพราะถ้าฉลาดกันทุกคน คนไทยคงไม่ถูก “หลอกรับประทาน” จนถึงวันนี้
ยกเรื่อง “ลิตเติ้ลเสือ” มาเพื่อเชื่อมโยงกับการเลี้ยงตุ๊กตา “ลูกเทพ” ที่กำลังเกิดกระแสโครมครามตูมตามกันอยู่
ใครจะคิดว่า ตุ๊กตาปกติธรรมดาที่พ่อค้าผลิตออกจำหน่าย เมื่อใส่ยี่ห้อว่าเป็น “ลูกเทพ” ผลิตจากวัสดุชั้นดีหน่อย ทำผม แต่งตัว ใส่เสื้อผ้า และทำพิธีปลุกเสก ลงคาถาอาคมสักหน่อย ราคาจะพุ่งถึงตัวละหลายร้อยบาทจนถึงหลักหมื่นบาท
ตุ๊กตา “ลูกเทพ” กำลังเป็นประเด็นที่นำมาถกกันยกใหญ่ในวงสนทนา บางคนตั้งคำถามอย่างไม่เกรงใจคนที่ทำตัวเป็นพ่อเป็นแม่ “ลูกเทพ” ทำไมบ้ากันขนาดนี้
บ้ากันถึงขั้นป้อนข้าวป้อนน้ำ พาไปเที่ยว ซื้อตั๋วพาขี่เครื่องบิน ส่งเข้าสถานรับเลี้ยงเด็ก พาไปเรียนดนตรี เรียนคอมพิวเตอร์ เรียนภาษา ทะนุถนอมกันยิ่งกว่าลูกกว่าหลานเสียอีก
ถ้ายังไม่หายบ้า อีกหน่อยก็คงจะส่งตุ๊กตา “ลูกเทพ” เข้าฟิตเนส หรือเข้าหลักสูตรลดความอ้วนกัน
การเลี้ยง “ลูกเทพ” ว่ากันที่จริงแล้ว ไม่ได้หนักหัวใคร ตราบใดที่ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น และกระแส “ลูกเทพ” ก็เป็นอาการหนึ่งของสังคมที่ป่วยไข้เท่านั้น
สังคมไทยไม่ได้เพิ่งป่วยกับการนำตุ๊กตาธรรมดามากราบไหว้ เลี้ยงดูเหมือนลูกในไส้ เพราะก่อนหน้าก็แสดงอาการป่วยทางจิตมาตลอด
หลายสิบปีก่อนหน้า เคยบ้ากันมาแล้วกับอภินิหาร “โป่งข่าม” หินศักดิ์สิทธิ์จากทิเบต เห่อจตุคามรามเทพ และปัจจุบันยังมีคนอีกนับหมื่นนับแสนหลงงมงายในลัทธิ ซื้อบุญเพื่อขี่จานบินไปสวรรค์ ยังมีคนอีกมากมายที่เป็นเหยื่อแก๊งตกทอง หรือเหยื่อต้มตุ๋นจากขบวนการแชร์ลูกโซ่ต่างๆ
ดังนั้นอย่าต่อว่าต่อขาน กระแนะกระแหนคนที่เลี้ยงตุ๊กตา “ลูกเทพ” กันนักเลย เพราะสังคมยังมีผู้ป่วยทางจิตอ่อนๆ อยู่มากมาย
“ลูกเทพ” คนที่จะเลี้ยงได้ ไม่จำเป็นว่าต้องมีสติหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือจะต้องมีสตางค์
คนที่แทบไม่มีจะกิน จะเลี้ยง “ตุ๊กตา” พาเข้าร้านเสริมสวย ส่งเรียนได้อย่างไร
ถ้าจนไม่มีจะกินอยู่แล้ว ยังเลี้ยง “ลูกเทพ” อีก อันนี้ละบ้าจริง
กระแสเลี้ยง “ลูกเทพ” คงต้องปล่อยให้เป็นแฟชั่นกันต่อไป คนที่ขี้หงุดหงิดคงต้องทนเอาหน่อย เพราะไม่นานกระแสจะ “ซา” ไปเอง
“ลูกเทพ” ที่เที่ยวอุ้มกระเตงไปชูคออวดใครต่อใคร อีกไม่นานอาจจะกลายเป็นลูกกำพร้า ลูกอนาถา กลายเป็นตุ๊กตาจรจัดที่ไม่มีใครเหลียวแล
ช่วงนี้เศรษฐกิจซบ ธุรกิจเงียบเหงา การค้าตกต่ำ เกิดกระแส “ลูกเทพ” ขึ้นมา ทำให้หลายธุรกิจพอลืมตาอ้าปากได้บ้าง สังคมก็พอมีประเด็นได้ “เม้าท์” คลายเครียดกันไป
ตุ๊กตา “ลูกเทพ” เป็นเพียงอาการป่วยไข้ทางสังคมเท่านั้น จบกระแส “ลูกเทพ” แล้ว เดี๋ยวพ่อค้าหัวใสก็หาของเล่นใหม่มาหลอกกินเงินจากกระเป๋าคนไทยอีก จริงไหม
เมื่อเห็นว่า สังคมเต็มไปด้วยคนที่ป่วยไข้ เวลาคนเขาบ้าอะไรกัน เราก็อย่าไปบ้าตาม แค่นี้ก็หมดเรื่อง