ผู้จัดการรายวัน360 - ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป วูบหนัก โตแค่ 0.4% ต่ำสุดรอบ 44 ปีเป็นประวัติศาสตร์ เหตุเศรษฐกิจแย่สุดๆ รากหญ้าหันซื้อข้าวแบ่งถุงขายแทน “มาม่า” ฮึดสู้ มั่นใจปีนี้ต้องโต 5% มากกว่าตลาดรวม ด้านตลาดรถยนต์หนีไม่รอด ยอดขาย 7.99 แสนคัน ลดลงจากปีก่อน 9.3% แม้จะได้รับแรงซื้อเข้ามาช่วงปลายปีก่อนปรับภาษี ผู้บริหารโตโยต้า ฟันธง ยอดขายปี 59 ยังลดต่อเหลือเพียง 7.2 แสนคัน ก่อนจะพลิกฟื้นต้องใช้เวลาอีก 2 ปี
นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรา “มาม่า” เปิดเผยว่า ตลาดรวมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโดยรวมในปี 2558 ที่ผ่านมา เติบโตแค่ 0.4% มูลค่าตลาดรวม 14,576 ล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตต่ำที่สุดในรอบ 44 ปี หรือตั้งแต่เริ่มผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และยังต่ำกว่าปี 57 ที่เติบโตได้ 1%
ทั้งนี้ มาม่า สามารถเติบโตได้ 0.4% เท่ากับตลาดรวม และยังคงมีส่วนแบ่งตลาดเป็นที่ 1 มากกว่า 51% ส่วนอันดับที่สองคือ ยำยำ มีแชร์ 21% และไวไว มีแชร์ 20% ส่วนผลิตภัณฑ์แบบมาม่าคัพ มีแชร์ มากกว่า 54% มีการเติบโตมากกว่า 3.2% มากกว่าตลาดรวมแบบถ้วยหรือคัพที่เติบโตเพียง 1.8% เท่านั้น ซี่งปีที่แล้วทุกแบรนด์ใช้งบโฆษณารวมกันกว่า 750 ล้านบาท
สำหรับ 3 รสชาติของมาม่าที่มียอดขายดีที่สุดคือ ต้มยำกุ้งน้ำใส หมูสับ ต้มยำกุ้งน้ำข้น ซึ่งสามรสชาตินี้มีสัดส่วนยอดขายรวมกัน 60% และเย็นตาโฟหม้อไฟ ซึ่งปีที่แล้วที่นำเอา “อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ” มาเป็นพรีเซนเตอร์ ทำให้ยอดขายเติบโตน้อยมาก 40% ทั้งที่เป็นรสชาติเก่าอยู่แล้ว ซึ่งแคมเปญของ อั้ม-พัชราภา นี้ ใช้งบตลาดมากกว่า 200 ล้านบาท ปีที่แล้ว นอกนั้นก็มีแคมเปญชิงโชค โรดโชว์และกิจกรรมต่างๆที่ใช้งบรวม 50 ล้านบาท ปีที่แล้ว
ส่วนสาเหตุที่ยอดขายบะหมี่ลดลง สืบเนื่องจากปีที่แล้วเศรษฐกิจรวมไม่ค่อยดี กำลังซื้อรากหญ้าที่เป็นตลาดใหญ่ลดลง ทำให้มาม่าไม่สามารถเป็นดัชนีชี้วัดได้เหมือนที่ผ่านมา อีกทั้งยังเป็นผลมาจากการที่ผู้บริโภครากหญ้า หันไปจับจ่ายซื้อสินค้าที่มีราคาต่ำหรือใกล้เคียงกับบะหมี่กึ่งฯ เช่น ข้าวที่แบ่งเป็นถุงขายราคาไม่แพง จึงกระทบกับตลาดรวมด้วย จึงทำให้ปีนี้มาม่าตัดสินใจยังไม่ปรับราคาขึ้นแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ตลาดรวมน่าจะมีการเติบโตที่ดีขึ้นประมาณ 2% ขณะที่แบรนด์มาม่าคาดว่าจะเติบโต 5% หรือมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 500 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนยอดขายมาจากช่องทางโมเดิร์นเทรดและเทรดดิชันนัลเทรดเท่ากันแล้ว จากปีก่อนหน้านี้ ช่องทางหลักคือ เทรดดิชันนัลเทรด 60% และโมเดิร์นเทรด 40% และทำรายได้ให้กับสหพัฒน์ฯในสัดส่วนกว่า 33% จากรายได้รวมสหพัฒน์ฯที่ 28,000 ล้านบาท โดยปีนี้มาม่าจะใช้งบการตลาดรวมกว่า 250 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยบวกปีนี้คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ความเชื่อมั่นทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล และการเปิดเออีซีที่จะช่วยให้เกิดการซื้อขายมากขึ้นจากลูกค้าใหม่ๆโดยเฉพาะตามตะเข็บชายแดน แต่ภาวะภัยแล้งก็น่าห่วงเช่นเดียวกัน ส่วนมาม่าเองก็ต้องทำทุกทางเพื่อรักษาความเป็นผู้นำ ทั้งการออกรสชาติใหม่ การทำตลาด แคมเปญโปรโมชั่น การกระตุ้นการซื้อของผู้บริโภคโดยเฉพาะรากหญ้าที่เป็นตลาดหลัก
ที่สำคัญตลาดจะเติบโตได้ต้องมาจากตลาดต่างประเทศเป็นหลักแล้วตอนนี้ เพราะตลาดในประเทศอยู่ในภาวะที่อิ่มตัวแล้ว ซึ่งในต่างประเทศนั้น ขณะนี้เรามีฐานผลิตที่จะรุกตลาดได้มากขึ้นแล้วเช่น บังคลาเทศ ฮังการี กัมพูชา เมียนมา
***‘โตโยต้า’ ฟันธงตลาดรถร่วงเหลือ 7.2 แสนคัน
นายเคียวอิจิ ทานาดะ เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์ไทยในปี 2558 มียอดขายรวมทุกยี่ห้อกว่า 7.99 แสนคัน หรือลดลงจากปีก่อน 9.3% จากผลกระทบการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของไทยและตลาดโลก แม้จะมีกำลังซื้อเร่งเข้ามาในช่วงปลายปี ก่อนมีการปรับราคารถตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์แบบใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
“มีการเร่งกำลังซื้อของลูกค้าก่อนปรับโครงสร้างภาษีรถใหม่ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นคัน ดังนั้นตัวเลขกำลังซื้อที่ต้องการใช้รถจริงในปีที่ผ่านมาน่าจะประมาณ 7.6 แสนคัน และผลจากการเร่งซื้อจำนวนดังกล่าว จึงเป็นกำลังซื้อล่วงหน้าที่ถูกดึงไปจากปีนี้ เมื่อบวกกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และสินค้าเกษตรของไทยไม่ปรับตัวดีขึ้น จึงส่งผลให้ตลาดรถยนตไทยในปี 2559 น่าจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 7.2 แสนคัน โดยคาดว่าตลาดจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งใน 2 ปีข้างหน้า หรือมียอดขายประมาณ 1 ล้านคัน แต่หากทำได้กว่า 9 แสนคัน นับว่ามีการกลับมาปรับตัวดีขึ้นแล้ว”
ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้ประเมินว่าตลาดรถยนต์จะกลับมาฟื้นตัวใน 2 ปีข้างหน้า เนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะประเทศจีน และรวมถึงไทยจะกลับมาฟื้นตัวได้ ประกอบกับตลาดรถยนต์ไทยในช่วง 6 ปี ที่มีรถในตลาดประมาณ 6 ล้านคัน ตลอดจนรถในโครงการรถคันแรกที่ทยอยถือครอง 5 ปี ตามกำหนดของโครงการจะสามารถขาย หรือเปลี่ยนมือได้ ทำให้ผู้บริโภคเหล่านี้ถึงเวลาเปลี่ยนซื้อรถคันใหม่ จากปัจจัยดังกล่าวทำให้เชื่อมั่นตลาดรถไทยจะกลับมาฟื้นตัวเป็นปกติได้
สำหรับยอดขายรถของโตโยต้าในปีที่ผ่านมา ทำได้จำนวน 2.66 แสนคัน ลดลง 18.7% และยอดส่งออก 3.76 แสนคัน ลดลง 12% ขณะที่มูลค่าส่งออกรถโตโยต้าและชิ้นส่วนอยู่ที่ 2.65 แสนล้านบาท โดยคาดว่าปีนี้โตโยต้าจะมียอดขาย 2.4 แสนคัน ลดลง 9.8% และส่งออกรถน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.7 แสนคัน ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาแม้ตลาดสำคัญอย่างตะวันออกกลาง จะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากราคาน้ำมันลดลง แต่ค่าเงินบาทอ่อนทำให้สนับสนุนการส่งออกได้ดีขึ้น รวมถึงประเทศต่างๆ ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง หรือ CLMV มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จึงมาช่วยสนับสนุนการส่งออกของโตโยต้าในไทยได้ระดับหนึ่ง