“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
สังคม “เสรีนิยมทุนสามานย์” คือสังคม “ปลายักษ์ปลาใหญ่-สวาปาม-ปลาเล็กปลาน้อย” ได้อย่างเสรี มีสิ่งที่ “มนุษย์ทั่วไป” พึงระวัง โดยเฉพาะ “มนุษย์ผู้กุมอำนาจของชาติ” ต้องระวังยิ่งขึ้น คือ
“3 สิ่งในชีวิต ที่เราไม่มีวันได้มันกลับคืนมา นั่นคือ โอกาสดีๆ-ที่เราพลาดไปแล้ว คำพูด-ที่เราได้พูดออกไปแล้ว และเวลา-ที่เราได้สูญเสียมันไปโดยเปล่าประโยชน์”
“3 Things you can’t recover in life : The moment after it’s missed. The word after it’s said. And the time after it’s wasted.”
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งของผู้นำชาติ คือ “ต้องไม่กลัวปัญหา ต้องไม่หลีกลี้หนีปัญหา เพราะปัญหามีไว้ให้แก้..และต้องแก้ที่-ต้นเหตุ-ของปัญหา”
ผู้นำชาติไทยอดีตนายทหารใหญ่คนหนึ่งบอกว่า “ทุกชาติล้วนมีปัญหา ปัญหาเดินมาหาเราสิดี ไม่ต้องเหนื่อยเดินไปหาปัญหา ลื้อรู้ไหม..การเมืองกับการแก้ปัญหาเป็นของคู่กัน ฉะนั้น สำหรับอั๊ว..ไม่มีปัญหา..โนพล็อมแพล็ม..ว่ะ!”
แต่ผู้นำชาติที่มาจากการยึดอำนาจ-ด้วยเงิน และผู้นำชาติที่มาจากการยึดอำนาจ-ด้วยปืน น้อยคนที่คนไทยส่วนใหญ่จะเคารพรัก เพราะอดีตผู้นำชาติเหล่านั้น ชอบเอื้อ-ชอบช่วย-ชอบคบค้าสมาคม ทั้งลับ และเปิดเผยกับ “คนรวย”
เพราะมหาเศรษฐีเหล่านั้น มีธุรกิจมากมายที่หากินกับเอกชนและรัฐ ที่ต้องพึ่งอำนาจรัฐและกลไกรัฐแทบทุกด้าน ทั้งด้านการเงินการคลัง-การตลาด-การลงทุน-การร่วมทุน ฯลฯ ดังนั้น หากมหาเศรษฐีเหล่านี้ใกล้ชิด หรือมีอิทธิพลในรัฐสภาและรัฐบาลโดยเฉพาะสนิทสนมกับนายกรัฐมนตรีและครม.ฯลฯ
จนทำให้มหาเศรษฐีเหล่านี้ ผลักดันผลประโยชน์ของพวกตน ผ่านครม.-ผ่านกระทรวงทบวงกรม-ผ่านนโยบายรัฐ-ผ่านโครงการรัฐ ฯลฯ ย่อมทำให้บรรดามหาเศรษฐีที่ไม่รู้จักพอ ร่ำรวยยิ่งขึ้นชนิดไม่มีที่สิ้นสุด
มหาเศรษฐีที่มีธุรกิจต้องพึ่งอำนาจรัฐและกลไกรัฐ จึงเป็น “ถุงเงินถุงทอง”ของนักการเมือง ทุกครั้งที่มีเลือกตั้งทั่วไป มหาเศรษฐีเหล่านี้จะแอบขนเงิน มาประเคนให้กับพรรคการเมืองต่างๆเสมอ พรรคไหนมีแนวโน้มจะได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ก็จะได้เงินจำนวนไม่อั้น ส่วนพรรคอื่นๆ ที่มีโอกาสจะได้ร่วมรัฐบาล จะได้จำนวนลดหลั่นกันไปตามลำดับความสำคัญ
แต่อย่าคิดนะว่า..พรรคที่มีแนวโน้มจะเป็นฝ่ายค้าน จะไม่ได้รับเงินจากมหาเศรษฐี เพราะถึงจะเป็นฝ่ายค้านก็ยังมีประโยชน์ ในการไม่ขวาง-ไม่อภิปรายเปิดโปง-หนุนเสริมในบางเรื่อง ให้โครงการต่างๆของท่านมหาเศรษฐี ผ่านงบประมาณฉลุยในสภา ตามที่รัฐบาลออกหน้าขอในสภา เรียกว่า..งานใหญ่ใช้เงินรัฐเยอะ ทั้งพรรครัฐบาล-พรรคฝ่ายค้านได้เงินกันถ้วนหน้า
งบประมาณรัฐนั้น จึงมีเงินทอนแทบทุกโครงการ โดยฝ่ายรัฐบาลได้มาก-ฝ่ายค้านได้น้อย ในบางรัฐบาล โครงการที่รัฐบาลให้เอกชนทำ บริษัทของมหาเศรษฐีต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะให้ผู้มีอำนาจ 30% บางโครงการจ่ายถึง 50% โครงการพิเศษบิ๊กเบิ้ม อาจมากถึง 100-200 % กันเลยล่ะ!
มหาเศรษฐีบางคนมือเติบ พอรู้ว่าตนจะได้งานนั้นงานนี้ ถึงกับจ่ายเงินใต้โต๊ะล่วงหน้า ให้ผู้มีอำนาจก่อนจะได้งานมาทำจริงก็มีนะ
ฉะนั้น ผู้นำชาติที่ยึดอำนาจ-ด้วยเงิน และผู้นำชาติที่ยึดอำนาจ-ด้วยปืน ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจและทุกกระทรวงทบวงกรม รวมทั้งองค์กรมหาชนทั้งหลาย จึงชอบคบและเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจ ให้กับมหาเศรษฐีทั้งหลายไงล่ะ
แต่คนส่วนใหญ่ราว 90% ของชาติ ที่เป็น-คนจน ทั้งที่อยู่ในเมืองและชนบท กับบรรดา“มนุษย์เงินเดือน” ที่เสียภาษีให้สังคมมากที่สุด รวมทั้งผู้ประกอบการ“เอสเอ็มอี” ที่เป็นฐานเศรษฐกิจนั้น เป็น “มนุษย์เจ้าปัญหา” ที่ “ด้อยโอกาส” โดยเฉพาะด้อยโอกาสทางการเงิน-การผลิต-การตลาด-เทคโนโลยี ฯลฯ
“คนจนกับคนเหล่านี้” ผู้นำชาติที่ยึดอำนาจ-ด้วยเงิน และผู้นำชาติที่ยึดอำนาจ-ด้วยปืน ไม่ค่อยให้เข้าพบ เพราะมักจะมาร้องเรียน-เรียกร้อง ให้นายกฯและครม. ส่งเสริม-สนับสนุน-ช่วยเหลือ หรือให้แก้ปัญหาความเดือดร้อนทั้งหลาย
เงินงบประมาณแผ่นดินของทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ที่ลงไปสู่ “คนจนกับคนเหล่านี้” ไม่ได้ทำให้ธุรกิจของพวกเขาดีขึ้นอย่างถาวรได้เลย จึงทำให้สังคมไทยเกิดความเหลื่อมล้ำ ระหว่างคนรวยกับคนจนมากขึ้นเรื่อยๆจนน่ากลัว
ทั้งนี้รัฐบาลที่ผ่านมา ไร้น้ำใจและวิสัยทัศน์ ที่จะช่วย “คนจนกับคนเหล่านั้น” ด้วยใจจริง แถมยังไปช่วยบรรดามหาเศรษฐี ให้เอารัดเอาเปรียบพวกเขาอีกต่างหาก ดังเช่น
ชาวนารุ่นพ่อทำนาทั้งชีวิต สืบต่อมาจนถึงรุ่นลูกหลาน แต่ชีวิต “คนหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน” กลับยากจน ลงเรื่อยๆ ทำให้ชาวนาล้มละลายและสูญเสียที่นามากขึ้น ในขณะที่โรงสีและผู้ส่งออกข้าวไม่กี่ตระกูล กลับร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีมีเงินทวีคูณ
ที่เหลือเชื่อ-คือ-ผู้นำชาติและกลไกรัฐที่ผ่านมา ปล่อยให้มหาเศรษฐีบางคนที่ค้าขายพืชไร่ สมคบกับนักการเมืองและเครือข่าย จงใจให้ผู้คนบางกลุ่มบุกรุกทำลายป่า เพื่อเพาะปลูกพืชไร่บางชนิด ที่เอื้อต่อธุรกิจของพวกตน ฯลฯ
ที่สำคัญ คนไทย 10% มีที่ดินมากกว่า 100 ไร่ ในขณะที่คนไทย 90% มีที่ดินน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ไร่ เฉพาะตระกูล “สิริวัฒนภักดี” ครอบครองที่ดินถึง 6.3 แสนไร่ ตระกูล “เจียรวนนท์” ครอบครอง 2 แสนไร่
นั่นเป็นผู้ครองที่ดินอันดับ 1 และ 2 ของชาติไทย
ที่แย่กว่านั้นคือ ปล่อยให้ต่างชาติเข้ามายึดครองที่นา และที่ดินทำเลทองมากมาย ทั้งในเมืองและต่างจังหวัด ในขณะที่คนจนและคนส่วนใหญ่ ที่เป็นเจ้าของประเทศ กลับไร้ที่ทำกิน กระทั่งที่ซุกหัวนอน!
ผู้นำชาติที่ดี ต้องใช้อำนาจรัฐ ช่วยเหลือคนจนและผู้ที่ด้อยโอกาสเป็นหลัก แทนการเอื้อผลประโยชน์ให้กับมหาเศรษฐี หรือผู้มีโอกาสมากกว่า โดยต้องเร่งพัฒนายกฐานะคนจน ให้ขึ้นมาเป็นชนชั้นกลาง และต้องช่วยเหลือชนชั้นกลางให้มีฐานะดีขึ้นเรื่อยๆ
ผู้นำชาติที่ดี ต้องกำกับให้ “คนจนกับคนเหล่านี้” มีพื้นที่ขายสินค้าทั้งในและนอกประเทศมากขึ้น ต้องกำกับมิให้ธนาคารและสถาบันการเงินเอารัดเอาเปรียบ ต้องใช้นโยบายรัฐทางด้านการเงินการคลัง สนับสนุนช่วยเหลือ “คนจนกับคนเหล่านี้” เป็นหลัก ฯลฯ
รัฐบาลที่ดี ต้องใช้ระบบภาษีแนวดิ่งมากขึ้น เช่นกับธุรกิจที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องใช้บุคลากรกับเงินทุนมากกว่า รัฐต้องงดภาษีในบางด้าน และต้องเก็บภาษีน้อยกว่าธุรกิจที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันเสียภาษีเท่ากันหรือมากกว่า
ทำให้ต้นทุนธุรกิจไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม-สูงกว่า ราคาสินค้า-แพงกว่า ขาย-ยากกว่า ธุรกิจไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมจึงดำรงอยู่ในสังคมไทยยาก และอ่อนแอลงเรื่อยๆ ในขณะที่ธุรกิจทำลายสิ่งแวดล้อมเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องราวที่รัฐบาลมิได้กำกับอำนาจรัฐและกลไกรัฐ ให้เกิดความยุติธรรมต่อคนไทยที่ยากจน และคนที่ด้อยโอกาส มีอีกมากมายจนบรรยายไม่หมด
แต่ชาติไทยโชคดี ที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทรง “ทศพิศราชธรรม”และทรง “ครองแผ่นดินโดยธรรม” ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทั่วแผ่นดินไทย ทรงรับรู้และเข้าถึงปัญหาของคนยากคนจน
โครงการในพระราชดำริจำนวนมากมาย ที่ให้ความรู้และประสบการณ์กับคนไทย ได้นำไปใช้เพื่อสร้างงานสร้างคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น โดยเฉพาะปรัชญาและแนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” ท่ามกลางสถานการณ์โลก ที่กำลังบ้าคลั่งไปกับ“ความไม่รู้จักพอ” ในอำนาจ-เงินทอง-วัตถุนิยม ฯลฯ
แต่น่าเสียดาย..ที่ผู้นำชาติไทยส่วนใหญ่ ไม่เคยนำหลักการ “พอเพียง” ไปปฏิบัติอย่างแท้จริง เพราะผู้นำชาติไทยส่วนใหญ่ เป็นมนุษย์จำพวก “ปากว่าตาขยิบ” ทำตัวเป็น “ลิงหลอกเจ้า” ทั้งนั้น
โดยเฉพาะผู้นำชาติที่ชอบอ้างว่า กำลังปฏิบัติตามหนทาง “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทั้งๆที่กำลังผลาญเงินชาติอยู่ต่อหน้าต่อตา ไปกับเมก้าโปรเจ็กต์ที่ไม่จำเป็น
เชื่อแล้วล่ะว่า ผู้นำของชาติไทยเนี่ย “คุณสมบัติข้อแรก” ที่ต้องมี คือ ต้องโกหกเก่ง-กล้าโกหกประชาชนได้แบบหน้าด้านๆ นี่เอง!
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
สังคม “เสรีนิยมทุนสามานย์” คือสังคม “ปลายักษ์ปลาใหญ่-สวาปาม-ปลาเล็กปลาน้อย” ได้อย่างเสรี มีสิ่งที่ “มนุษย์ทั่วไป” พึงระวัง โดยเฉพาะ “มนุษย์ผู้กุมอำนาจของชาติ” ต้องระวังยิ่งขึ้น คือ
“3 สิ่งในชีวิต ที่เราไม่มีวันได้มันกลับคืนมา นั่นคือ โอกาสดีๆ-ที่เราพลาดไปแล้ว คำพูด-ที่เราได้พูดออกไปแล้ว และเวลา-ที่เราได้สูญเสียมันไปโดยเปล่าประโยชน์”
“3 Things you can’t recover in life : The moment after it’s missed. The word after it’s said. And the time after it’s wasted.”
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งของผู้นำชาติ คือ “ต้องไม่กลัวปัญหา ต้องไม่หลีกลี้หนีปัญหา เพราะปัญหามีไว้ให้แก้..และต้องแก้ที่-ต้นเหตุ-ของปัญหา”
ผู้นำชาติไทยอดีตนายทหารใหญ่คนหนึ่งบอกว่า “ทุกชาติล้วนมีปัญหา ปัญหาเดินมาหาเราสิดี ไม่ต้องเหนื่อยเดินไปหาปัญหา ลื้อรู้ไหม..การเมืองกับการแก้ปัญหาเป็นของคู่กัน ฉะนั้น สำหรับอั๊ว..ไม่มีปัญหา..โนพล็อมแพล็ม..ว่ะ!”
แต่ผู้นำชาติที่มาจากการยึดอำนาจ-ด้วยเงิน และผู้นำชาติที่มาจากการยึดอำนาจ-ด้วยปืน น้อยคนที่คนไทยส่วนใหญ่จะเคารพรัก เพราะอดีตผู้นำชาติเหล่านั้น ชอบเอื้อ-ชอบช่วย-ชอบคบค้าสมาคม ทั้งลับ และเปิดเผยกับ “คนรวย”
เพราะมหาเศรษฐีเหล่านั้น มีธุรกิจมากมายที่หากินกับเอกชนและรัฐ ที่ต้องพึ่งอำนาจรัฐและกลไกรัฐแทบทุกด้าน ทั้งด้านการเงินการคลัง-การตลาด-การลงทุน-การร่วมทุน ฯลฯ ดังนั้น หากมหาเศรษฐีเหล่านี้ใกล้ชิด หรือมีอิทธิพลในรัฐสภาและรัฐบาลโดยเฉพาะสนิทสนมกับนายกรัฐมนตรีและครม.ฯลฯ
จนทำให้มหาเศรษฐีเหล่านี้ ผลักดันผลประโยชน์ของพวกตน ผ่านครม.-ผ่านกระทรวงทบวงกรม-ผ่านนโยบายรัฐ-ผ่านโครงการรัฐ ฯลฯ ย่อมทำให้บรรดามหาเศรษฐีที่ไม่รู้จักพอ ร่ำรวยยิ่งขึ้นชนิดไม่มีที่สิ้นสุด
มหาเศรษฐีที่มีธุรกิจต้องพึ่งอำนาจรัฐและกลไกรัฐ จึงเป็น “ถุงเงินถุงทอง”ของนักการเมือง ทุกครั้งที่มีเลือกตั้งทั่วไป มหาเศรษฐีเหล่านี้จะแอบขนเงิน มาประเคนให้กับพรรคการเมืองต่างๆเสมอ พรรคไหนมีแนวโน้มจะได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ก็จะได้เงินจำนวนไม่อั้น ส่วนพรรคอื่นๆ ที่มีโอกาสจะได้ร่วมรัฐบาล จะได้จำนวนลดหลั่นกันไปตามลำดับความสำคัญ
แต่อย่าคิดนะว่า..พรรคที่มีแนวโน้มจะเป็นฝ่ายค้าน จะไม่ได้รับเงินจากมหาเศรษฐี เพราะถึงจะเป็นฝ่ายค้านก็ยังมีประโยชน์ ในการไม่ขวาง-ไม่อภิปรายเปิดโปง-หนุนเสริมในบางเรื่อง ให้โครงการต่างๆของท่านมหาเศรษฐี ผ่านงบประมาณฉลุยในสภา ตามที่รัฐบาลออกหน้าขอในสภา เรียกว่า..งานใหญ่ใช้เงินรัฐเยอะ ทั้งพรรครัฐบาล-พรรคฝ่ายค้านได้เงินกันถ้วนหน้า
งบประมาณรัฐนั้น จึงมีเงินทอนแทบทุกโครงการ โดยฝ่ายรัฐบาลได้มาก-ฝ่ายค้านได้น้อย ในบางรัฐบาล โครงการที่รัฐบาลให้เอกชนทำ บริษัทของมหาเศรษฐีต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะให้ผู้มีอำนาจ 30% บางโครงการจ่ายถึง 50% โครงการพิเศษบิ๊กเบิ้ม อาจมากถึง 100-200 % กันเลยล่ะ!
มหาเศรษฐีบางคนมือเติบ พอรู้ว่าตนจะได้งานนั้นงานนี้ ถึงกับจ่ายเงินใต้โต๊ะล่วงหน้า ให้ผู้มีอำนาจก่อนจะได้งานมาทำจริงก็มีนะ
ฉะนั้น ผู้นำชาติที่ยึดอำนาจ-ด้วยเงิน และผู้นำชาติที่ยึดอำนาจ-ด้วยปืน ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจและทุกกระทรวงทบวงกรม รวมทั้งองค์กรมหาชนทั้งหลาย จึงชอบคบและเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจ ให้กับมหาเศรษฐีทั้งหลายไงล่ะ
แต่คนส่วนใหญ่ราว 90% ของชาติ ที่เป็น-คนจน ทั้งที่อยู่ในเมืองและชนบท กับบรรดา“มนุษย์เงินเดือน” ที่เสียภาษีให้สังคมมากที่สุด รวมทั้งผู้ประกอบการ“เอสเอ็มอี” ที่เป็นฐานเศรษฐกิจนั้น เป็น “มนุษย์เจ้าปัญหา” ที่ “ด้อยโอกาส” โดยเฉพาะด้อยโอกาสทางการเงิน-การผลิต-การตลาด-เทคโนโลยี ฯลฯ
“คนจนกับคนเหล่านี้” ผู้นำชาติที่ยึดอำนาจ-ด้วยเงิน และผู้นำชาติที่ยึดอำนาจ-ด้วยปืน ไม่ค่อยให้เข้าพบ เพราะมักจะมาร้องเรียน-เรียกร้อง ให้นายกฯและครม. ส่งเสริม-สนับสนุน-ช่วยเหลือ หรือให้แก้ปัญหาความเดือดร้อนทั้งหลาย
เงินงบประมาณแผ่นดินของทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ที่ลงไปสู่ “คนจนกับคนเหล่านี้” ไม่ได้ทำให้ธุรกิจของพวกเขาดีขึ้นอย่างถาวรได้เลย จึงทำให้สังคมไทยเกิดความเหลื่อมล้ำ ระหว่างคนรวยกับคนจนมากขึ้นเรื่อยๆจนน่ากลัว
ทั้งนี้รัฐบาลที่ผ่านมา ไร้น้ำใจและวิสัยทัศน์ ที่จะช่วย “คนจนกับคนเหล่านั้น” ด้วยใจจริง แถมยังไปช่วยบรรดามหาเศรษฐี ให้เอารัดเอาเปรียบพวกเขาอีกต่างหาก ดังเช่น
ชาวนารุ่นพ่อทำนาทั้งชีวิต สืบต่อมาจนถึงรุ่นลูกหลาน แต่ชีวิต “คนหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน” กลับยากจน ลงเรื่อยๆ ทำให้ชาวนาล้มละลายและสูญเสียที่นามากขึ้น ในขณะที่โรงสีและผู้ส่งออกข้าวไม่กี่ตระกูล กลับร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีมีเงินทวีคูณ
ที่เหลือเชื่อ-คือ-ผู้นำชาติและกลไกรัฐที่ผ่านมา ปล่อยให้มหาเศรษฐีบางคนที่ค้าขายพืชไร่ สมคบกับนักการเมืองและเครือข่าย จงใจให้ผู้คนบางกลุ่มบุกรุกทำลายป่า เพื่อเพาะปลูกพืชไร่บางชนิด ที่เอื้อต่อธุรกิจของพวกตน ฯลฯ
ที่สำคัญ คนไทย 10% มีที่ดินมากกว่า 100 ไร่ ในขณะที่คนไทย 90% มีที่ดินน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ไร่ เฉพาะตระกูล “สิริวัฒนภักดี” ครอบครองที่ดินถึง 6.3 แสนไร่ ตระกูล “เจียรวนนท์” ครอบครอง 2 แสนไร่
นั่นเป็นผู้ครองที่ดินอันดับ 1 และ 2 ของชาติไทย
ที่แย่กว่านั้นคือ ปล่อยให้ต่างชาติเข้ามายึดครองที่นา และที่ดินทำเลทองมากมาย ทั้งในเมืองและต่างจังหวัด ในขณะที่คนจนและคนส่วนใหญ่ ที่เป็นเจ้าของประเทศ กลับไร้ที่ทำกิน กระทั่งที่ซุกหัวนอน!
ผู้นำชาติที่ดี ต้องใช้อำนาจรัฐ ช่วยเหลือคนจนและผู้ที่ด้อยโอกาสเป็นหลัก แทนการเอื้อผลประโยชน์ให้กับมหาเศรษฐี หรือผู้มีโอกาสมากกว่า โดยต้องเร่งพัฒนายกฐานะคนจน ให้ขึ้นมาเป็นชนชั้นกลาง และต้องช่วยเหลือชนชั้นกลางให้มีฐานะดีขึ้นเรื่อยๆ
ผู้นำชาติที่ดี ต้องกำกับให้ “คนจนกับคนเหล่านี้” มีพื้นที่ขายสินค้าทั้งในและนอกประเทศมากขึ้น ต้องกำกับมิให้ธนาคารและสถาบันการเงินเอารัดเอาเปรียบ ต้องใช้นโยบายรัฐทางด้านการเงินการคลัง สนับสนุนช่วยเหลือ “คนจนกับคนเหล่านี้” เป็นหลัก ฯลฯ
รัฐบาลที่ดี ต้องใช้ระบบภาษีแนวดิ่งมากขึ้น เช่นกับธุรกิจที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องใช้บุคลากรกับเงินทุนมากกว่า รัฐต้องงดภาษีในบางด้าน และต้องเก็บภาษีน้อยกว่าธุรกิจที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันเสียภาษีเท่ากันหรือมากกว่า
ทำให้ต้นทุนธุรกิจไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม-สูงกว่า ราคาสินค้า-แพงกว่า ขาย-ยากกว่า ธุรกิจไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมจึงดำรงอยู่ในสังคมไทยยาก และอ่อนแอลงเรื่อยๆ ในขณะที่ธุรกิจทำลายสิ่งแวดล้อมเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องราวที่รัฐบาลมิได้กำกับอำนาจรัฐและกลไกรัฐ ให้เกิดความยุติธรรมต่อคนไทยที่ยากจน และคนที่ด้อยโอกาส มีอีกมากมายจนบรรยายไม่หมด
แต่ชาติไทยโชคดี ที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทรง “ทศพิศราชธรรม”และทรง “ครองแผ่นดินโดยธรรม” ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทั่วแผ่นดินไทย ทรงรับรู้และเข้าถึงปัญหาของคนยากคนจน
โครงการในพระราชดำริจำนวนมากมาย ที่ให้ความรู้และประสบการณ์กับคนไทย ได้นำไปใช้เพื่อสร้างงานสร้างคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น โดยเฉพาะปรัชญาและแนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” ท่ามกลางสถานการณ์โลก ที่กำลังบ้าคลั่งไปกับ“ความไม่รู้จักพอ” ในอำนาจ-เงินทอง-วัตถุนิยม ฯลฯ
แต่น่าเสียดาย..ที่ผู้นำชาติไทยส่วนใหญ่ ไม่เคยนำหลักการ “พอเพียง” ไปปฏิบัติอย่างแท้จริง เพราะผู้นำชาติไทยส่วนใหญ่ เป็นมนุษย์จำพวก “ปากว่าตาขยิบ” ทำตัวเป็น “ลิงหลอกเจ้า” ทั้งนั้น
โดยเฉพาะผู้นำชาติที่ชอบอ้างว่า กำลังปฏิบัติตามหนทาง “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทั้งๆที่กำลังผลาญเงินชาติอยู่ต่อหน้าต่อตา ไปกับเมก้าโปรเจ็กต์ที่ไม่จำเป็น
เชื่อแล้วล่ะว่า ผู้นำของชาติไทยเนี่ย “คุณสมบัติข้อแรก” ที่ต้องมี คือ ต้องโกหกเก่ง-กล้าโกหกประชาชนได้แบบหน้าด้านๆ นี่เอง!