ต้นปีนี้...ผมได้หนังสือเก่าที่มีคุณค่า เป็นงานค้นคว้าธรรมะและคำสอน “ท่านพุทธทาส” ชุด “100 ปี ท่านพุทธทาส 2549” ชื่อ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” ของ “อ.อโณทัย” พิมพ์เมื่อมิถุนายน 2546 (ช่วงทักษิณเป็นนายกฯ) โดยสำนักพิมพ์ “สุขภาพใจ” ของ “คุณบัญชา เฉลิมชัยกิจ”
ผมอ่านหนังสือ 279 หน้ารวดเดียวจบ เป็นหนังสือเปี่ยมด้วยธรรม ที่ชี้ทางให้ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” เพื่อ “ผู้มีอำนาจ” จะได้ทำความดีให้ชาติและประชาชนสัมฤทธิ์
เพราะเรื่องดีและชั่วในสังคมไทย ล้วนเกิดจาก “คน” กระทำขึ้นทั้งสิ้น ทั้ง...คน-ในรัฐบาลเผด็จการรัฐสภาที่ยึดอำนาจรัฐ-ด้วยเงิน คน-ในรัฐบาลเผด็การที่ยึดอำนาจรัฐ-ด้วยปืน คน-ในทุกวิชาชีพที่ไม่ทำหน้าที่อย่างมีคุณธรรม ฯลฯ
โดยเฉพาะ “คนมีอำนาจ” ในสังคมไทยที่ไม่ยึดธรรมเป็นหลัก แต่กลับไปยึดลาภ-ยศ-เงินทองชนิดมิรู้จักพอ จนเป็นต้นเหตุปัญหาอันชั่วร้ายในชาติไทย
หากสังคมใดยึดธรรมเป็นสรณะ ย่อมสร้างคนให้มีสติและใช้สติจนเป็น “ผู้รู้ทัน” และ “ผู้กำหนด” ที่อยู่เหนือคนชั่วและวัตถุนิยมในทุกมิติ
การเป็นผู้รู้ทันและผู้กำหนดนั้น-สำคัญที่สุด เพราะจะเป็นมนุษย์ที่ดี รู้เหตุ-รู้ผล-รู้ถูก-รู้ผิด-รู้ควร-รู้ไม่ควร-รู้จำเป็น-รู้ไม่จำเป็น-รู้พอเพียง-รู้พอดี-รู้รักษา-รู้เผยแพร่-รู้ผดุงคุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรม ฯลฯ
ตรงกันข้าม...ถ้าผู้บริหารชาติใดไม่ยึดธรรม แถมไปยึดอธรรมเป็นสรณะ ย่อมนำผู้คนในสังคมห่างจากธรรม หลงสู่หนทางอธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ ดังสังคมทุนสามานย์ที่ยึดวัตถุเป็นหลัก จนคุณธรรมเสื่อมลงเรื่อยๆ
ทุกวันนี้ผู้คนจะยิ่งจมปลักในความโลภ และดำดิ่งสู่ความลุ่มหลงในวัตถุนิยม จนนำไปสู่การทำชั่วได้สารพัด เพื่อสั่งสมวัตถุใส่ตนโดยมิหยุดยั้ง “ท่านพุทธทาส” ได้ระบุไว้ว่า
“...นักการเมืองแต่ละท่าน...เป็นคนฉลาด คมกริบเป็นกรดทั้งนั้น ทีนี้เราจะทำให้เขารู้ความจริงอะไร ที่มันมีประโยชน์ที่ถูกต้องนี้...มันคงไม่ใช่เรื่องสิ้นหวัง มันอยู่ที่ว่าใครจะรู้เท่าทัน มีปัญญาสามารถไปสะกิดเขา ให้เขาใช้ความฉลาดของเขาเสียใหม่ ในทางที่ถูกต้องเท่านั้น
เดี๋ยวนี้มันมีเหตุปัจจัยใหญ่ สำคัญที่สุดอยู่อย่างหนึ่ง คือ มันกำลังอยู่ในห้วงของความจมลงไปในวัตถุนิยม ลุ่มหลงความสุขทางเนื้อทางหนัง แต่ละคน ทั้งนักการเมือง และมิใช่นักการเมือง เขาต้องการอย่างนั้นมันมากเกินไป จนไม่ถือความผิด ความถูก ความชั่ว ความดี อะไรอยู่ได้, ถือเอาแต่ว่า ให้ได้ๆๆ สิ่งที่เขาต้องการก็แล้วกัน
เรียกว่า โลกมันกำลังมีความกดดัน ได้รับการกดดัน ชนิดที่ให้รับเอาแต่การเมืองประเภทกลโกง หรือไร้ศีลธรรมเท่านั้น...ความกดดันที่มันบีบบังคับอยู่แท้จริง คือ อำนาจของวัตถุนิยม ทำให้นักการเมืองมุ่งแต่จะเอาประโยชน์ โดยไม่ต้องนึกถึงศีลธรรม...ฉะนั้น เราจึงไม่ได้ยินคำว่า ศีลธรรมในรัฐสภา หรือในหมู่นักการเมืองทั่วไป”
“ท่านพุทธทาส” กล่าวถึงเหตุปัจจัยของปัญหาทางการเมืองว่า
“โลกมีคนเพิ่มมากขึ้นเหลือประมาณ ยิ่งไม่มีศีลธรรม หรือ ศีลธรรมยังเท่าเดิม ไม่พอจะควบคุมคน... ถึงที่สุด ก็คือเมืองนรก”
หนังสือเล่มนี้ได้ตีพิมพ์ลายมือของ “ท่านพุทธทาส” ซึ่งเขียนไว้ ณ สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2516 หรือเกือบ 43 ปีมาแล้ว แต่สอดคล้องกับเหตุการณ์ในยุคนี้ว่า
“ลัทธิวัตถุนิยม ทั้งอย่างเผด็จการ และอย่างประชาธิปไตย ยิ่งเจริญขึ้นในโลกเพียงใด คนในโลก ก็จะยิ่งเกลียดธรรม : ไม่ประสงค์ธรรม, ยิ่งขึ้นเพียงนั้น. เมื่อโลกไม่มีธรรมแล้ว คนก็อยู่ในโลกไม่ได้ ด้วยกันทั้งเผด็จการและพวกประชาธิปไตย; ดังนั้น โลกจะต้องเลิกบูชาวัตถุนิยม สร่างซาความหลงงมในวัตถุรสกันเสียบ้าง, เพื่อว่า ธรรม จะได้มีที่อาศัย อยู่ในจิตใจของคนในโลกมากขึ้น : ให้โลกกลายเป็นโลกของมนุษย์ ที่มีจิตใจสูงไปตามเดิม.”
ส่วนความหมายทางการเมืองนั้น “ท่านพุทธทาส” ให้นิยามไว้ว่า
“... คำว่า การเมือง ตามตัวหนังสือก็ว่า จัดการเป็นอยู่ของคนอยู่กันมากๆ ให้ปราศจากปัญหา, ถ้าเพ่งเอาผล ก็เรียกว่า จัดให้มันเกิดประโยชน์สุขโดยสมบูรณ์แก่ผู้ที่อยู่ร่วมกัน...”
“... ดังนั้น การเมืองที่แท้จริงนั้น จึงต้องประกอบไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า ธรรม หรือพระธรรม...”
เรื่องประชาธิปไตย “ท่านพุทธทาส” ก็ได้กล่าวไว้มิใช่น้อย เช่น
“...อย่าให้ประชาธิปไตยมันเฟ้อ, แล้วอย่าให้เป็นประชาธิปไตยคดโกง คือ ประชาธิปไตยที่เอาเปรียบกันได้, เหมือนกับว่าเสรีประชาธิปไตยของพวกนายทุนอะไรทำนองนี้ มันไม่ถูก มันเกินไป. เอาประชาธิปไตยชนิดที่ถูกต้องตามธรรมชาติ ไม่มีใครเอาส่วนเกิน; ไม่มีใครรุกล้ำส่วนเกินของผู้ใด เรียกว่า ประชาธิปไตยระบบสังคมนิยม สังคมนิยม คือ เห็นแก่สังคม; ไม่เห็นแก่บุคคล ซึ่งเป็นทางให้เอาเปรียบกันได้”
สำหรับ “ผู้เดินหนทางธรรม” แล้ว ย่อมเห็นตรงกับ “ท่านพุทธทาส” ที่ว่า
ธรรมเป็นสิ่งประเสริฐ “ทางรอดของโลกปัจจุบันนี้ มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือ เดินไปทางธรรม” และ “การช่วยให้ทุกคนได้เดินไปทางธรรม ย่อมเป็นกุศลอันใหญ่หลวงและสูงสุด”
ฉะนั้น “ผู้มีอำนาจ” จึงต้อง “ใช้ธรรมะกับการเมือง” แยกดีแยกชั่วให้ประชาชนได้ตื่นรู้โดยไว มิใช่ “ใช้อธรรมกับการเมือง” มุ่งจะนำธรรม-อธรรม-ดี-ชั่ว-ถูก-ผิด ให้ “ปรองดอง” กันจนมั่วไปหมด!
ธรรม-สอนให้รู้ว่า มี “บัวบางเหล่า” ที่ไม่มีวันจะโผล่พ้นน้ำนะ“บิ๊กตู่”... จริงไหมครับ?
ผมอ่านหนังสือ 279 หน้ารวดเดียวจบ เป็นหนังสือเปี่ยมด้วยธรรม ที่ชี้ทางให้ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” เพื่อ “ผู้มีอำนาจ” จะได้ทำความดีให้ชาติและประชาชนสัมฤทธิ์
เพราะเรื่องดีและชั่วในสังคมไทย ล้วนเกิดจาก “คน” กระทำขึ้นทั้งสิ้น ทั้ง...คน-ในรัฐบาลเผด็จการรัฐสภาที่ยึดอำนาจรัฐ-ด้วยเงิน คน-ในรัฐบาลเผด็การที่ยึดอำนาจรัฐ-ด้วยปืน คน-ในทุกวิชาชีพที่ไม่ทำหน้าที่อย่างมีคุณธรรม ฯลฯ
โดยเฉพาะ “คนมีอำนาจ” ในสังคมไทยที่ไม่ยึดธรรมเป็นหลัก แต่กลับไปยึดลาภ-ยศ-เงินทองชนิดมิรู้จักพอ จนเป็นต้นเหตุปัญหาอันชั่วร้ายในชาติไทย
หากสังคมใดยึดธรรมเป็นสรณะ ย่อมสร้างคนให้มีสติและใช้สติจนเป็น “ผู้รู้ทัน” และ “ผู้กำหนด” ที่อยู่เหนือคนชั่วและวัตถุนิยมในทุกมิติ
การเป็นผู้รู้ทันและผู้กำหนดนั้น-สำคัญที่สุด เพราะจะเป็นมนุษย์ที่ดี รู้เหตุ-รู้ผล-รู้ถูก-รู้ผิด-รู้ควร-รู้ไม่ควร-รู้จำเป็น-รู้ไม่จำเป็น-รู้พอเพียง-รู้พอดี-รู้รักษา-รู้เผยแพร่-รู้ผดุงคุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรม ฯลฯ
ตรงกันข้าม...ถ้าผู้บริหารชาติใดไม่ยึดธรรม แถมไปยึดอธรรมเป็นสรณะ ย่อมนำผู้คนในสังคมห่างจากธรรม หลงสู่หนทางอธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ ดังสังคมทุนสามานย์ที่ยึดวัตถุเป็นหลัก จนคุณธรรมเสื่อมลงเรื่อยๆ
ทุกวันนี้ผู้คนจะยิ่งจมปลักในความโลภ และดำดิ่งสู่ความลุ่มหลงในวัตถุนิยม จนนำไปสู่การทำชั่วได้สารพัด เพื่อสั่งสมวัตถุใส่ตนโดยมิหยุดยั้ง “ท่านพุทธทาส” ได้ระบุไว้ว่า
“...นักการเมืองแต่ละท่าน...เป็นคนฉลาด คมกริบเป็นกรดทั้งนั้น ทีนี้เราจะทำให้เขารู้ความจริงอะไร ที่มันมีประโยชน์ที่ถูกต้องนี้...มันคงไม่ใช่เรื่องสิ้นหวัง มันอยู่ที่ว่าใครจะรู้เท่าทัน มีปัญญาสามารถไปสะกิดเขา ให้เขาใช้ความฉลาดของเขาเสียใหม่ ในทางที่ถูกต้องเท่านั้น
เดี๋ยวนี้มันมีเหตุปัจจัยใหญ่ สำคัญที่สุดอยู่อย่างหนึ่ง คือ มันกำลังอยู่ในห้วงของความจมลงไปในวัตถุนิยม ลุ่มหลงความสุขทางเนื้อทางหนัง แต่ละคน ทั้งนักการเมือง และมิใช่นักการเมือง เขาต้องการอย่างนั้นมันมากเกินไป จนไม่ถือความผิด ความถูก ความชั่ว ความดี อะไรอยู่ได้, ถือเอาแต่ว่า ให้ได้ๆๆ สิ่งที่เขาต้องการก็แล้วกัน
เรียกว่า โลกมันกำลังมีความกดดัน ได้รับการกดดัน ชนิดที่ให้รับเอาแต่การเมืองประเภทกลโกง หรือไร้ศีลธรรมเท่านั้น...ความกดดันที่มันบีบบังคับอยู่แท้จริง คือ อำนาจของวัตถุนิยม ทำให้นักการเมืองมุ่งแต่จะเอาประโยชน์ โดยไม่ต้องนึกถึงศีลธรรม...ฉะนั้น เราจึงไม่ได้ยินคำว่า ศีลธรรมในรัฐสภา หรือในหมู่นักการเมืองทั่วไป”
“ท่านพุทธทาส” กล่าวถึงเหตุปัจจัยของปัญหาทางการเมืองว่า
“โลกมีคนเพิ่มมากขึ้นเหลือประมาณ ยิ่งไม่มีศีลธรรม หรือ ศีลธรรมยังเท่าเดิม ไม่พอจะควบคุมคน... ถึงที่สุด ก็คือเมืองนรก”
หนังสือเล่มนี้ได้ตีพิมพ์ลายมือของ “ท่านพุทธทาส” ซึ่งเขียนไว้ ณ สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2516 หรือเกือบ 43 ปีมาแล้ว แต่สอดคล้องกับเหตุการณ์ในยุคนี้ว่า
“ลัทธิวัตถุนิยม ทั้งอย่างเผด็จการ และอย่างประชาธิปไตย ยิ่งเจริญขึ้นในโลกเพียงใด คนในโลก ก็จะยิ่งเกลียดธรรม : ไม่ประสงค์ธรรม, ยิ่งขึ้นเพียงนั้น. เมื่อโลกไม่มีธรรมแล้ว คนก็อยู่ในโลกไม่ได้ ด้วยกันทั้งเผด็จการและพวกประชาธิปไตย; ดังนั้น โลกจะต้องเลิกบูชาวัตถุนิยม สร่างซาความหลงงมในวัตถุรสกันเสียบ้าง, เพื่อว่า ธรรม จะได้มีที่อาศัย อยู่ในจิตใจของคนในโลกมากขึ้น : ให้โลกกลายเป็นโลกของมนุษย์ ที่มีจิตใจสูงไปตามเดิม.”
ส่วนความหมายทางการเมืองนั้น “ท่านพุทธทาส” ให้นิยามไว้ว่า
“... คำว่า การเมือง ตามตัวหนังสือก็ว่า จัดการเป็นอยู่ของคนอยู่กันมากๆ ให้ปราศจากปัญหา, ถ้าเพ่งเอาผล ก็เรียกว่า จัดให้มันเกิดประโยชน์สุขโดยสมบูรณ์แก่ผู้ที่อยู่ร่วมกัน...”
“... ดังนั้น การเมืองที่แท้จริงนั้น จึงต้องประกอบไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า ธรรม หรือพระธรรม...”
เรื่องประชาธิปไตย “ท่านพุทธทาส” ก็ได้กล่าวไว้มิใช่น้อย เช่น
“...อย่าให้ประชาธิปไตยมันเฟ้อ, แล้วอย่าให้เป็นประชาธิปไตยคดโกง คือ ประชาธิปไตยที่เอาเปรียบกันได้, เหมือนกับว่าเสรีประชาธิปไตยของพวกนายทุนอะไรทำนองนี้ มันไม่ถูก มันเกินไป. เอาประชาธิปไตยชนิดที่ถูกต้องตามธรรมชาติ ไม่มีใครเอาส่วนเกิน; ไม่มีใครรุกล้ำส่วนเกินของผู้ใด เรียกว่า ประชาธิปไตยระบบสังคมนิยม สังคมนิยม คือ เห็นแก่สังคม; ไม่เห็นแก่บุคคล ซึ่งเป็นทางให้เอาเปรียบกันได้”
สำหรับ “ผู้เดินหนทางธรรม” แล้ว ย่อมเห็นตรงกับ “ท่านพุทธทาส” ที่ว่า
ธรรมเป็นสิ่งประเสริฐ “ทางรอดของโลกปัจจุบันนี้ มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือ เดินไปทางธรรม” และ “การช่วยให้ทุกคนได้เดินไปทางธรรม ย่อมเป็นกุศลอันใหญ่หลวงและสูงสุด”
ฉะนั้น “ผู้มีอำนาจ” จึงต้อง “ใช้ธรรมะกับการเมือง” แยกดีแยกชั่วให้ประชาชนได้ตื่นรู้โดยไว มิใช่ “ใช้อธรรมกับการเมือง” มุ่งจะนำธรรม-อธรรม-ดี-ชั่ว-ถูก-ผิด ให้ “ปรองดอง” กันจนมั่วไปหมด!
ธรรม-สอนให้รู้ว่า มี “บัวบางเหล่า” ที่ไม่มีวันจะโผล่พ้นน้ำนะ“บิ๊กตู่”... จริงไหมครับ?