“สอดแนมการเมือง”
“โดย ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
หน้าฝนกับการเมือง “น้ำท่วมปาก” เป็นคนละเรื่องเดียวกันนะ “นายกฯตู่” ไม่พูด ไม่ได้หมายความว่า “บิ๊กตู่” ไม่ทำงานบริหารชาติบ้านเมือง
เงียบ! เพื่อขจัด “จุดอ่อน” ที่ทำลาย “จุดแข็ง” เพราะ “นายกฯตู่” พูดเก่งพูดเยอะพูดบ่อยพูดเป็นต่อยหอย ฯลฯ แน่นอน..ย่อมเผยจุดอ่อนอยู่บ่อยครั้ง จนพวกหวังดีประสงค์ร้าย-พวกไม่หวังดี-พวกหวังดีแต่ปากร้าย ฯลฯ ถล่มใส่เป็นธรรมดายาสามัญประจำบ้านซะงั้น
“นายกฯตู่” กำลังใช้ “ความเงียบสยบความเคลื่อนไหว”! ”บิ๊กตู่-เงียบ” ข่าวการเมืองจึงไม่เปรี้ยงปร้างเร้าใจเท่าข่าว “สาวเปรี้ยว” ที่ดังราวพลุแตก เพราะ “เปรี้ยว” แอนด์ “แก๊งสวยประหาร” ดังด้วยบทโหดฆ่าเพื่อนแล้วหั่นศพใส่ถุงดำเฉยเลย
“เปรี้ยว” ทำให้การฆ่าหั่นศพอันหฤโหด ลดดีกรีโหดลง เมื่อเทียบกับ “ความสวย” ของเจ้าหล่อน จนคนในโซเชียลฯจำนวนหนึ่ง เชียร์ “เปรี้ยว” เป็นไอดอล แถมตำรวจยังสร้างสองมาตรฐาน ดูแลเอาอกเอาใจ “เปรี้ยว” และ “แก๊งฆ่าหั่นศพ” เป็นพิเศษ ให้พวกเธอได้นั่งแต่งหน้าก่อนออกสื่อด้วย..
ที่สำคัญ..สื่อไทยที่ไม่สนใจข่าวการเมือง เรื่องการคอร์รัปชั่นชาติเท่าที่ควร แต่กลับยกขบวนไปรุมทำข่าว “เปรี้ยว” แอนด์เดอะแก๊ง มากมายยิ่งกว่าทำข่าว “นายกฯตู่” เสียอีก
เรื่องพูดเยอะและไม่พูดเลยของ “นายกฯ ตู่” เนี่ย ทำให้ผมนึกถึงคำใครคนหนึ่งที่ว่า..
สิ่งที่ทนที่สุด คือ “หน้า”! สิ่งที่กล้าที่สุด คือ “ใจ”! สิ่งที่ไวที่สุด คือ “ปาก”! สิ่งที่มากที่สุด คือ “อารมณ์”! สิ่งที่คมที่สุด คือ “คำพูด”!
ใช่เลย! ประวัติศาสตร์มนุษย์ชี้ชัดว่า บางครั้ง “คำพูด-คมยิ่งกว่าดาบ” เพราะ “คำพูด” เคย “ฆ่าคน” มาแล้วมากมาย! คำพูดของ “ท่านผู้นำมหาอำนาจ” บางคน ได้ก่อสงครามโลกจนผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ต้องบาดเจ็บล้มตายหลายสิบล้านคนมาแล้ว..จริงไหม?
“คนพูดเก่ง” บางครั้งก็พลาดได้ ยิ่งมีอารมณ์ผสมเข้าไปด้วยแล้ว โอกาสพลาดยิ่งมีมากขึ้น! ผมเลยคิดถึงคำสอนของ “พุทธทาสภิกขุ” ที่ว่า
“คนฉลาด” ไม่ใช่แค่..ฉลาดพูดเท่านั้น ต้องรู้จัก “นิ่งอย่างมีสติ” ให้เป็นด้วย ต้องรู้ในสิ่งที่ไม่ควรพูด ให้มากยิ่งกว่าสิ่งที่ควรพูด
นักข่าวคงเสียเวลาตื๊อให้ “นายกฯตู่-พูด” แน่ๆ เพราะดูท่า “นายกฯตู่” กำลัง “นิ่งเงียบอย่างมีสติ” ตามคำสอน “ท่านพุทธทาส” นั่นเอง
ต้นเหตุที่ทำให้ “นายกฯตู่-เงียบ” คงหนีไม่พ้นเรื่องคำถาม 4 ข้อ ที่ “นายกฯตู่” ยิงตรงไปถึงประชาชนไทย ซึ่งไปแทงกลางใจดำบรรดา “นักเลือกตั้ง” จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ “นายกฯตู่” จะถูก “นักเลือกตั้งสามานย์” และพลพรรค ที่เป็นตัวก่อปัญหาวิกฤติชาติ รุมถล่มด้วย “ห่ากระสุนน้ำลาย” จน “นายกฯ ตู่” ออกอาการหงุดหงิดให้เห็นชัดเจน
แต่เมื่อหงุดหงิดแล้ว จะ “เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ” กระนั้นหรือ? ผมเดาว่า “นายกฯตู่” คงจะยึดคำสอน “ท่านพุทธทาส” ที่ว่า
“หมาเห่า อย่าเห่าตอบ เพราะจะทำให้มีหมาเพิ่มอีกหนึ่งตัว ถึงเขาจะด่าเราอย่างเสียๆ หายๆ นั้น ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราควรจะด่ากลับ”
พูดถึง “ท่านพุทธทาส” ท่านเคยตั้งคำถามเรื่อง “นักการเมืองสามานย์” ว่า
“แปลก! นักการเมืองที่คอร์รัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวง โกงกินสารพัด ก็ยังได้ชื่อว่านักการเมือง ไม่มีคำอื่นจะเรียก”
แต่ในวงสภากาแฟ..ผู้คนเปรียบ “นักการเมืองเลว” เป็นสารพัด “สัตว์” และเรียก “สภาผู้แทนฯ” ที่ตั้งอยู่หน้าสวนสัตว์เขาดิน เป็น “สภา-เสือ-สิงห์-กระทิง-แรด-วัว-ควาย-สุนัข-เหี้ย” ฯลฯ
เรื่องคำถาม 4 ข้อ “นายกฯตู่” ก็แค่ถามประชาชน เพื่อเป็นข้อมูลในการ “เดินหน้า” ทำงานต่อ ยังไง “เดินช้า” ก็ยังดีกว่า “ไม่เดิน” จริงไหม?
แต่การ “เดินหน้าทำงาน” และทำงานจริงๆ นั้น-สำคัญยิ่งกว่า! “บารัค โอบามา” ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของมะกัน โม้ว่าชอบทำงานแบบ“วิ่ง”มากกว่า“เดิน”ต้วมเตี้ยม เขาสรุปไว้ว่า
ถ้าคุณจะวิ่ง คุณอาจมี..“โอกาสที่คุณจะสูญเสีย” แต่ถ้าคุณไม่คิดจะวิ่ง นั่นก็แปลว่า..“คุณได้สูญเสียไปแล้ว”
จะว่าไปแล้ว..ทั้ง “นายกฯตู่” และ “โอบามา” ล้วนมีโอกาสทำงานเพื่อชาติและประชาชน ให้ได้รับเสียงสรรเสริญแซ่ซ้อง แต่วันนี้ “โอบามา” หมดโอกาสไปแล้ว แถมผลงาน “โอบามา” ก็ไม่ได้ “วิ่งฉิว” ดังที่โม้ไว้ อีกทั้งไม่มีอะไรโดดเด่นเท่าที่ควรด้วย จึงทำให้ “ผู้จะมาสานงานต่อ” อย่าง “ฮิลลารี คลินตัน” ต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งฯ ให้ “โดนัลด์ ทรัมป์”
“ทรัมป์” ชนะ “ฮิลลารี” ท่ามกลางการเดินขบวนทั่วอเมริกา บางรัฐถึงกับเรียกร้องให้ลงประชามติ เพื่อแยกตัวออกจาก“สหรัฐอเมริกา”! แถมชาวอเมริกันบางส่วน ยังเรียกร้องให้กองทัพสหรัฐฯทำรัฐประหารด้วย..ว้าว..!!!
วันนี้ “นายกฯตู่” ยังมีโอกาสสร้างผลงานต่อ แม้เวลาของ “นายกฯตู่” จะถูกนับถอยหลังลงเรื่อยๆ จนผมนึกถึงใครคนหนึ่งที่พูดว่า “สิ่งที่น่าเสียดายที่สุด ไม่ใช่คำว่า “ไม่มีโอกาส” แต่มันคือคำว่า “เคยมีโอกาส” ต่างหาก!
ซึ่งผมขอต่อท้ายว่า “เคยมีโอกาส” แต่ “ไม่ลงมือทำเพื่อชาติ” นั่นคือ-ความล้มเหลวเหนือสิ่งอื่นใด..
“นายกฯ ตู่” ชอบพูดถึงปัญหาและอุปสรรคมากมายอยู่เสมอ อีกทั้งมองว่าปัญหาหลักของชาตินั้นยังแก้ไขไม่ได้ ต้องรอให้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งทำต่อ ทั้งๆที่บางเรื่องสามารถทำจบได้ในรัฐบาลชุดนี้ ขอเพียง “บิ๊กตู่” จริงใจ และ “พยายาม” จากใจจริงเท่านั้น..
ผมนึกถึงคำพูดของใครคนหนึ่งที่ว่า “ถ้าโลกนี้ไม่มีคำว่า “อุปสรรค” มนุษย์ก็จะไม่รู้จักอีกคำที่เรียกว่า “ความพยายาม” และ “ความพยายาม” ไม่เคยทำให้ใคร“พ่ายแพ้” “ความท้อแท้” ไม่เคยทำให้ใคร “ชนะ”
พยายามทำอะไรน่ะรึ? “นายกฯ ตู่” เคยพูดหลายครั้งว่า ชาติไทยต้องเป็น“ธรรมาประชาธิปไตย” มิใช่ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ดังที่ผ่านมา เพราะ“ประชาธิปไตยจอมปลอม”ได้สร้างปัญหาเลวร้าย ให้ชาติกับประชาชนมาโดยตลอด
ที่สำคัญ “นายกฯ ตู่ เคยเรียกร้องให้ประชาชนเลือก คนดี เป็นสส. อย่าเลือกคนชั่ว เพราะเห็นแก่เงินทอง และผลประโยชน์เฉพาะหน้า
เอ่อ..ท่าน “นายกฯ ตู่” มีอำนาจแก้ไขปัญหาหลัก สร้างความ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” แก่ชาติ แต่ทำไม้ทำไม..ท่านกลับสร้างความ “ท้อแท้” ให้กับผู้ฟังล่ะครับ?
“นายกฯ ตู่” ปฏิรูปประเทศเรื่องสำคัญให้จริงจังสิครับ! โอกาสทองของท่านมีแค่ครั้งนี้เท่านั้นนะครับ!..
คงต้องให้ “นายกฯตู่” อ่านข้อความต่อไปนี้ จะได้เข้าใจใน “ธรรมะกับการเมือง” และ “ธรรมะกับประชาธิปไตย” ซึ่ง “ท่านพุทธทาส” เคยสอนไว้ ดังนี้
“ธรรมะกับการเมือง เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไหร่ การเมืองก็กลายเป็นเรื่องทำลายโลกขึ้นมาทันที”
นักการเมืองสามานย์ในชาติไทยไร้ธรรม-ก็แค่ทำลายชาติไทย! แต่ถ้าผู้นำชาติมหาอำนาจไร้ธรรม-ทำลายล้างโลกได้เลย..จริงไหม?
“ประชาธิปไตยที่ว่าเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน นั้น ใช้ได้เฉพาะประชาชนที่มีธรรมเท่านั้น ถ้าประชาชนไม่มีธรรม มันก็กลายเป็นประชาธิปตายเท่านั้นเอง”
เมื่อประชาชนยังไม่พร้อมในหลายมิติ แต่ยังดันทุรังให้มีการ “เลือกตั้งสกปรก” ตามระบอบ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ของทุนนิยมสามานย์ “บิ๊กตู่” รู้ไหม..อันตรายถึงขั้นชาติฉิบหายเลยนะ ดัง “ท่านพุทธทาส” ชี้ชัดไว้ว่า
“ในระบอบประชาธิปไตยนี้ ถ้าพลเมืองทุกคนเห็นแก่ตัว ก็จะเลือกผู้แทนที่เห็นแก่ตัว ไปประกอบขึ้นเป็นรัฐสภา ก็จะได้สภาที่เห็นแก่ตัว สภาจัดตั้งรัฐบาล ก็ได้รัฐบาลที่เห็นแก่ตัว แล้วทั้งประเทศ ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของความเห็นแก่ตัว”
และ “ประชาธิปไตย ต้องประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนเป็นใหญ่นั้นมันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ ของประชาชน โดยประชาชน ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้วฉิบหายหมด”
สุดท้าย “ท่านพุทธทาส”ได้สรุปด้วยถ้อยคำที่สั้นแต่ชัดเจนว่า..
“ความโง่เขลาของพลเมืองที่ไร้ศีลธรรม นั่นแหละ จะทำลายชาติ หาใช่ศัตรูภายนอกไปเสียทั้งหมดไม่” และ “หากไม่มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานแล้ว ระบอบประชาธิปไตยนั่นแหละ จะเป็นระบบที่เลวร้าย”
นั่นเป็นคำกล่าวของ “พุทธทาสภิกขุ” พูดถึง “นักการเมืองสามานย์” กับ “ถ้า-พลเมืองไทยไร้ศีลธรรม”
สำหรับ “นายกฯ ตู่” ควรอย่างยิ่งที่จะใคร่ครวญคำพูดตรงไปตรงมาของ“เติ้ง เสี่ยวผิง” ที่ว่า
“อย่าตอบแทนบุญคุณส่วนตัว ด้วยผลประโยชน์ประเทศชาติ”
เพราะ “ผู้นำชาติไทย” ต้องตอบแทนการเกิดบนแผ่นดินไทย ด้วยการทำงานให้ชาติและประชาชนคนไทยเท่านั้น..
“โดย ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
หน้าฝนกับการเมือง “น้ำท่วมปาก” เป็นคนละเรื่องเดียวกันนะ “นายกฯตู่” ไม่พูด ไม่ได้หมายความว่า “บิ๊กตู่” ไม่ทำงานบริหารชาติบ้านเมือง
เงียบ! เพื่อขจัด “จุดอ่อน” ที่ทำลาย “จุดแข็ง” เพราะ “นายกฯตู่” พูดเก่งพูดเยอะพูดบ่อยพูดเป็นต่อยหอย ฯลฯ แน่นอน..ย่อมเผยจุดอ่อนอยู่บ่อยครั้ง จนพวกหวังดีประสงค์ร้าย-พวกไม่หวังดี-พวกหวังดีแต่ปากร้าย ฯลฯ ถล่มใส่เป็นธรรมดายาสามัญประจำบ้านซะงั้น
“นายกฯตู่” กำลังใช้ “ความเงียบสยบความเคลื่อนไหว”! ”บิ๊กตู่-เงียบ” ข่าวการเมืองจึงไม่เปรี้ยงปร้างเร้าใจเท่าข่าว “สาวเปรี้ยว” ที่ดังราวพลุแตก เพราะ “เปรี้ยว” แอนด์ “แก๊งสวยประหาร” ดังด้วยบทโหดฆ่าเพื่อนแล้วหั่นศพใส่ถุงดำเฉยเลย
“เปรี้ยว” ทำให้การฆ่าหั่นศพอันหฤโหด ลดดีกรีโหดลง เมื่อเทียบกับ “ความสวย” ของเจ้าหล่อน จนคนในโซเชียลฯจำนวนหนึ่ง เชียร์ “เปรี้ยว” เป็นไอดอล แถมตำรวจยังสร้างสองมาตรฐาน ดูแลเอาอกเอาใจ “เปรี้ยว” และ “แก๊งฆ่าหั่นศพ” เป็นพิเศษ ให้พวกเธอได้นั่งแต่งหน้าก่อนออกสื่อด้วย..
ที่สำคัญ..สื่อไทยที่ไม่สนใจข่าวการเมือง เรื่องการคอร์รัปชั่นชาติเท่าที่ควร แต่กลับยกขบวนไปรุมทำข่าว “เปรี้ยว” แอนด์เดอะแก๊ง มากมายยิ่งกว่าทำข่าว “นายกฯตู่” เสียอีก
เรื่องพูดเยอะและไม่พูดเลยของ “นายกฯ ตู่” เนี่ย ทำให้ผมนึกถึงคำใครคนหนึ่งที่ว่า..
สิ่งที่ทนที่สุด คือ “หน้า”! สิ่งที่กล้าที่สุด คือ “ใจ”! สิ่งที่ไวที่สุด คือ “ปาก”! สิ่งที่มากที่สุด คือ “อารมณ์”! สิ่งที่คมที่สุด คือ “คำพูด”!
ใช่เลย! ประวัติศาสตร์มนุษย์ชี้ชัดว่า บางครั้ง “คำพูด-คมยิ่งกว่าดาบ” เพราะ “คำพูด” เคย “ฆ่าคน” มาแล้วมากมาย! คำพูดของ “ท่านผู้นำมหาอำนาจ” บางคน ได้ก่อสงครามโลกจนผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ต้องบาดเจ็บล้มตายหลายสิบล้านคนมาแล้ว..จริงไหม?
“คนพูดเก่ง” บางครั้งก็พลาดได้ ยิ่งมีอารมณ์ผสมเข้าไปด้วยแล้ว โอกาสพลาดยิ่งมีมากขึ้น! ผมเลยคิดถึงคำสอนของ “พุทธทาสภิกขุ” ที่ว่า
“คนฉลาด” ไม่ใช่แค่..ฉลาดพูดเท่านั้น ต้องรู้จัก “นิ่งอย่างมีสติ” ให้เป็นด้วย ต้องรู้ในสิ่งที่ไม่ควรพูด ให้มากยิ่งกว่าสิ่งที่ควรพูด
นักข่าวคงเสียเวลาตื๊อให้ “นายกฯตู่-พูด” แน่ๆ เพราะดูท่า “นายกฯตู่” กำลัง “นิ่งเงียบอย่างมีสติ” ตามคำสอน “ท่านพุทธทาส” นั่นเอง
ต้นเหตุที่ทำให้ “นายกฯตู่-เงียบ” คงหนีไม่พ้นเรื่องคำถาม 4 ข้อ ที่ “นายกฯตู่” ยิงตรงไปถึงประชาชนไทย ซึ่งไปแทงกลางใจดำบรรดา “นักเลือกตั้ง” จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ “นายกฯตู่” จะถูก “นักเลือกตั้งสามานย์” และพลพรรค ที่เป็นตัวก่อปัญหาวิกฤติชาติ รุมถล่มด้วย “ห่ากระสุนน้ำลาย” จน “นายกฯ ตู่” ออกอาการหงุดหงิดให้เห็นชัดเจน
แต่เมื่อหงุดหงิดแล้ว จะ “เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ” กระนั้นหรือ? ผมเดาว่า “นายกฯตู่” คงจะยึดคำสอน “ท่านพุทธทาส” ที่ว่า
“หมาเห่า อย่าเห่าตอบ เพราะจะทำให้มีหมาเพิ่มอีกหนึ่งตัว ถึงเขาจะด่าเราอย่างเสียๆ หายๆ นั้น ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราควรจะด่ากลับ”
พูดถึง “ท่านพุทธทาส” ท่านเคยตั้งคำถามเรื่อง “นักการเมืองสามานย์” ว่า
“แปลก! นักการเมืองที่คอร์รัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวง โกงกินสารพัด ก็ยังได้ชื่อว่านักการเมือง ไม่มีคำอื่นจะเรียก”
แต่ในวงสภากาแฟ..ผู้คนเปรียบ “นักการเมืองเลว” เป็นสารพัด “สัตว์” และเรียก “สภาผู้แทนฯ” ที่ตั้งอยู่หน้าสวนสัตว์เขาดิน เป็น “สภา-เสือ-สิงห์-กระทิง-แรด-วัว-ควาย-สุนัข-เหี้ย” ฯลฯ
เรื่องคำถาม 4 ข้อ “นายกฯตู่” ก็แค่ถามประชาชน เพื่อเป็นข้อมูลในการ “เดินหน้า” ทำงานต่อ ยังไง “เดินช้า” ก็ยังดีกว่า “ไม่เดิน” จริงไหม?
แต่การ “เดินหน้าทำงาน” และทำงานจริงๆ นั้น-สำคัญยิ่งกว่า! “บารัค โอบามา” ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของมะกัน โม้ว่าชอบทำงานแบบ“วิ่ง”มากกว่า“เดิน”ต้วมเตี้ยม เขาสรุปไว้ว่า
ถ้าคุณจะวิ่ง คุณอาจมี..“โอกาสที่คุณจะสูญเสีย” แต่ถ้าคุณไม่คิดจะวิ่ง นั่นก็แปลว่า..“คุณได้สูญเสียไปแล้ว”
จะว่าไปแล้ว..ทั้ง “นายกฯตู่” และ “โอบามา” ล้วนมีโอกาสทำงานเพื่อชาติและประชาชน ให้ได้รับเสียงสรรเสริญแซ่ซ้อง แต่วันนี้ “โอบามา” หมดโอกาสไปแล้ว แถมผลงาน “โอบามา” ก็ไม่ได้ “วิ่งฉิว” ดังที่โม้ไว้ อีกทั้งไม่มีอะไรโดดเด่นเท่าที่ควรด้วย จึงทำให้ “ผู้จะมาสานงานต่อ” อย่าง “ฮิลลารี คลินตัน” ต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งฯ ให้ “โดนัลด์ ทรัมป์”
“ทรัมป์” ชนะ “ฮิลลารี” ท่ามกลางการเดินขบวนทั่วอเมริกา บางรัฐถึงกับเรียกร้องให้ลงประชามติ เพื่อแยกตัวออกจาก“สหรัฐอเมริกา”! แถมชาวอเมริกันบางส่วน ยังเรียกร้องให้กองทัพสหรัฐฯทำรัฐประหารด้วย..ว้าว..!!!
วันนี้ “นายกฯตู่” ยังมีโอกาสสร้างผลงานต่อ แม้เวลาของ “นายกฯตู่” จะถูกนับถอยหลังลงเรื่อยๆ จนผมนึกถึงใครคนหนึ่งที่พูดว่า “สิ่งที่น่าเสียดายที่สุด ไม่ใช่คำว่า “ไม่มีโอกาส” แต่มันคือคำว่า “เคยมีโอกาส” ต่างหาก!
ซึ่งผมขอต่อท้ายว่า “เคยมีโอกาส” แต่ “ไม่ลงมือทำเพื่อชาติ” นั่นคือ-ความล้มเหลวเหนือสิ่งอื่นใด..
“นายกฯ ตู่” ชอบพูดถึงปัญหาและอุปสรรคมากมายอยู่เสมอ อีกทั้งมองว่าปัญหาหลักของชาตินั้นยังแก้ไขไม่ได้ ต้องรอให้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งทำต่อ ทั้งๆที่บางเรื่องสามารถทำจบได้ในรัฐบาลชุดนี้ ขอเพียง “บิ๊กตู่” จริงใจ และ “พยายาม” จากใจจริงเท่านั้น..
ผมนึกถึงคำพูดของใครคนหนึ่งที่ว่า “ถ้าโลกนี้ไม่มีคำว่า “อุปสรรค” มนุษย์ก็จะไม่รู้จักอีกคำที่เรียกว่า “ความพยายาม” และ “ความพยายาม” ไม่เคยทำให้ใคร“พ่ายแพ้” “ความท้อแท้” ไม่เคยทำให้ใคร “ชนะ”
พยายามทำอะไรน่ะรึ? “นายกฯ ตู่” เคยพูดหลายครั้งว่า ชาติไทยต้องเป็น“ธรรมาประชาธิปไตย” มิใช่ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ดังที่ผ่านมา เพราะ“ประชาธิปไตยจอมปลอม”ได้สร้างปัญหาเลวร้าย ให้ชาติกับประชาชนมาโดยตลอด
ที่สำคัญ “นายกฯ ตู่ เคยเรียกร้องให้ประชาชนเลือก คนดี เป็นสส. อย่าเลือกคนชั่ว เพราะเห็นแก่เงินทอง และผลประโยชน์เฉพาะหน้า
เอ่อ..ท่าน “นายกฯ ตู่” มีอำนาจแก้ไขปัญหาหลัก สร้างความ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” แก่ชาติ แต่ทำไม้ทำไม..ท่านกลับสร้างความ “ท้อแท้” ให้กับผู้ฟังล่ะครับ?
“นายกฯ ตู่” ปฏิรูปประเทศเรื่องสำคัญให้จริงจังสิครับ! โอกาสทองของท่านมีแค่ครั้งนี้เท่านั้นนะครับ!..
คงต้องให้ “นายกฯตู่” อ่านข้อความต่อไปนี้ จะได้เข้าใจใน “ธรรมะกับการเมือง” และ “ธรรมะกับประชาธิปไตย” ซึ่ง “ท่านพุทธทาส” เคยสอนไว้ ดังนี้
“ธรรมะกับการเมือง เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไหร่ การเมืองก็กลายเป็นเรื่องทำลายโลกขึ้นมาทันที”
นักการเมืองสามานย์ในชาติไทยไร้ธรรม-ก็แค่ทำลายชาติไทย! แต่ถ้าผู้นำชาติมหาอำนาจไร้ธรรม-ทำลายล้างโลกได้เลย..จริงไหม?
“ประชาธิปไตยที่ว่าเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน นั้น ใช้ได้เฉพาะประชาชนที่มีธรรมเท่านั้น ถ้าประชาชนไม่มีธรรม มันก็กลายเป็นประชาธิปตายเท่านั้นเอง”
เมื่อประชาชนยังไม่พร้อมในหลายมิติ แต่ยังดันทุรังให้มีการ “เลือกตั้งสกปรก” ตามระบอบ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ของทุนนิยมสามานย์ “บิ๊กตู่” รู้ไหม..อันตรายถึงขั้นชาติฉิบหายเลยนะ ดัง “ท่านพุทธทาส” ชี้ชัดไว้ว่า
“ในระบอบประชาธิปไตยนี้ ถ้าพลเมืองทุกคนเห็นแก่ตัว ก็จะเลือกผู้แทนที่เห็นแก่ตัว ไปประกอบขึ้นเป็นรัฐสภา ก็จะได้สภาที่เห็นแก่ตัว สภาจัดตั้งรัฐบาล ก็ได้รัฐบาลที่เห็นแก่ตัว แล้วทั้งประเทศ ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของความเห็นแก่ตัว”
และ “ประชาธิปไตย ต้องประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนเป็นใหญ่นั้นมันไม่แน่ ประชาชนบ้าบอก็ได้ ของประชาชน โดยประชาชน ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้วฉิบหายหมด”
สุดท้าย “ท่านพุทธทาส”ได้สรุปด้วยถ้อยคำที่สั้นแต่ชัดเจนว่า..
“ความโง่เขลาของพลเมืองที่ไร้ศีลธรรม นั่นแหละ จะทำลายชาติ หาใช่ศัตรูภายนอกไปเสียทั้งหมดไม่” และ “หากไม่มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานแล้ว ระบอบประชาธิปไตยนั่นแหละ จะเป็นระบบที่เลวร้าย”
นั่นเป็นคำกล่าวของ “พุทธทาสภิกขุ” พูดถึง “นักการเมืองสามานย์” กับ “ถ้า-พลเมืองไทยไร้ศีลธรรม”
สำหรับ “นายกฯ ตู่” ควรอย่างยิ่งที่จะใคร่ครวญคำพูดตรงไปตรงมาของ“เติ้ง เสี่ยวผิง” ที่ว่า
“อย่าตอบแทนบุญคุณส่วนตัว ด้วยผลประโยชน์ประเทศชาติ”
เพราะ “ผู้นำชาติไทย” ต้องตอบแทนการเกิดบนแผ่นดินไทย ด้วยการทำงานให้ชาติและประชาชนคนไทยเท่านั้น..