ผู้จัดการรายวัน 360 - ศอตช.เผยอดีตบอร์ด สสส.อนุมัติเงินสนับสนุนเข้ามูลนิธิตัวเองหลายร้อยล้าน “หมอวิชัย” อ้าง กม.เปิดช่องทำได้ แฉต่อ บ.บุหรี่ชักใยร่าง รธน.ล้ม สสส. มั่นใจบริสุทธิ์ยก กก.ชุด “บิ๊กต๊อก” สรุปไร้ผิด ด้าน 20 เครือข่ายนัดถกเคลื่อนไหวค้านคำสั่ง ขณะที่ "หมอประชุมพร" สับโยงขบวนการล้มแค่เบี่ยงประเด็น ขีดเส้น 3 วันเปิดหลักฐาน มิเช่นนั้นถือว่าโกหก
จากกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 พักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบ 3 จำนวน 59 ราย ซึ่งรวมถึงการปลดกรรมการ (บอร์ด) กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จำนวน 7 ราย ไปเมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา
วานนี้ (7 ม.ค.) แหล่งข่าวจาก ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ระบุถึงเรื่องนี้ว่า จากการตรวจสอบ สสส. แม้จะไม่พบประเด็นการทุจริต แต่ ศอตช.จำเป็นต้องเสนอให้ย้ายบอร์ด สสส.ให้พ้นจากหน้าที่ เนื่องจากตรวจสอบพบว่าบอร์ด สสส.ทุกคนล้วนมีตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิอื่น และต่างก็ทำเรื่องขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก สสส. วงเงินรวมตั้งแต่ 100 - 600 ล้านบาท แม้การอนุมัติจะทำได้ไม่ผิดกฎหมาย แต่กฎหมาย สสส. ออกมาเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในช่วงจัดตั้งองค์กร หลังบริหารงานมีการใช้ช่องว่างและข้อยกเว้นต่างๆ ไปทำให้การใช้จ่ายไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ หากไม่แก้ไขจะทำให้เกิดปัญหาระยะยาว
** “หมอวิชัย” อ้าง กม.เปิดช่อง กก.รับทุน
นพ.วิชัย โชควิวัฒน อดีตรองประธานบอร์ด สสส.กล่าวว่า การในการปลด 7 ผู้ทรงคุณวุฒิของ สสส. โดยให้เหตุผลว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนนั้นไม่เป็นจริง เนื่องจากกฎหมายระบุให้มูลนิธิ สมาคมต่างๆที่ทำงานสาธารณประโยชน์รับทุนจาก สสส.ได้ ขณะที่บอร์ด สสส.ที่มาจากบริษัทเอกชนและอาจมีส่วนร่วมในมูลนิธิหรือสมาคมเหล่านั้นก็ไม่ได้นำเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง อีกทั้งไม่ได้รับเงินเดือน และไม่มีเงินปันผล จึงไม่ถือเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน สำหรับการปลด 7 ผู้ทรงคุณวุฒิของ สสส.ครั้งนี้ จะสรุปว่าเป็นการล้ม สสส.ไม่ได้ แต่เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการที่ทำต่อเนื่องกันมา โดยเฉพาะเมื่อกลางปีที่แล้วในช่วงท้ายของการเขียนร่างรัฐธรรมนูญ มีการปิดห้องเขียน เร่งรัดเขียนเพิ่มมาตราหนึ่งเข้าไปโดยไม่ให้ส่งเงินภาษีร้อยละ 2 มาที่ สสส.โดยตรงอีก ทำให้สสส.หมดสภาพการทำงาน เท่ากับเป็นการล้ม สสส.
“ในการเขียนช่วงนั้นมีบริษัทบุหรี่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคณะร่างรัฐธรรมนูญ มีการร่วมเดินทางไปประเทศเมียนมากัน และในที่สุดมีการคัดค้านอย่างกว้างขวาง แต่มีข่าวรั่วออกมาจนเกิดการต่อต้าน สู้กันจนไม่มีการใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ มีการปรับข้อความให้ สสส.ยังดำรงอยู่ได้” นพ.วิชัย ระบุ
** ดักคออาจมีล้วงลูกตั้งบอร์ดใหม่
นพ.วิชัย กล่าวยอมรับว่า บอร์ดที่ถูกปลดทั้ง 7 คนเคยได้รับเงินจากกองทุน สสส.ในนามของมูลนิธิ แต่บุคคลเหล่านี้มีมูลนิธิมาก่อนที่จะมานั่งเป็นบอร์ด สสส. ซึ่งไม่ผิดระเบียบ และกฎหมายของ สสส. รวมทั้งมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ โดย พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เป็นประธาน ก็สรุปว่า ไม่มีความผิด ทุกอย่างโปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และก็นำไปสู่การแก้ระเบียบของ สสส. ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จไปตั้งแต่เดือน ธ.ค.58 ตามข้อเสนอของคณะกรรมการตรวจสอบฯเสนอมาทั้งหมด อีกทั้งยังได้เพิ่มกรอบการ ทำงานให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในความเป็นจริงก่อนหน้านี้บอร์ด สสส.เคยพูดคุยกันว่าจะลาออก เพราะรู้สึกไม่สบายใจ เนื่องจากต้องทำงานเป็นบอร์ดพร้อมกับการดูแลมูลนิธิ บางคนจะลาออกตั้งแต่ช่วงแรก แต่ตนได้ขอร้องให้ช่วยกันประคับประคองการทำงานไปก่อน แต่เมื่อมาเจอคำสั่ง คสช.ถือว่าจบการทำงานเท่านี้ หลังจากนี้บอร์ด สสส.ที่เหลือ 2 คน คือ นางทิชา ณ นคร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคม และนายชำนาญ พิเชษฐพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย คงต้องทำหน้าที่ต่อไป ซึ่งคำสั่ง คสช.ยังเปิดช่องให้ สสส.ทำงานต่อไป
“กำหนดเดิมได้วางแผนไว้ว่าจะประชุมบอร์ด สสส.ในวันที่ 15 ม.ค.นี้ โดยคาดว่าจะมีการบรรจุวาระสรรหาบอร์ด สสส.ชุดใหม่ด้วย หากเป็นไปตามขั้นตอนนี้คาดว่าภายใน 1 เดือน หรือไม่เกินเดือน ก.พ.น่าจะมีบอร์ดชุดใหม่มาแทน จากนี้จะต้องจับตาว่า กระบวนการสรรหา บอร์ด สสส.จะถูกแทรกแซงหรือไม่" นพ.วิชัย กล่าว
** "สมพร" ร้องนายกฯขอความเป็นธรรม
ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายสมพร ใช้บางยาง อดีตบอร์ด สสส. เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายกฯและหัวหน้า คสช.เพื่อขอความเป็นธรรมหลังเป็น 1 ในผู้ที่ถูกคำสั่งหัวหน้า คสช.ให้พ้นจากตำแหน่ง โดยนายสมพร เปิดเผยว่า ส่วนตัวไม่ได้ติดใจในเรื่องตำแหน่ง แต่มาเพื่อให้นายกฯ และประชาชนทราบว่า ตนเป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์ตลอดชีวิต มุ่งมั่นทำความดี และไม่เคยแสวงหาผลประโยชน์ใดๆใน สสส. และขอให้ความเป็นธรรมกับตนเอง โดยไม่มีแนวคิดที่จะไม่ฟ้องร้องอะไร
“มาวันนี้เพื่อรักษาเกียรติ ศักดิ์ศรีของตัวเอง ต้องการการยอมรับจากสังคม และไม่ให้สังคมเข้าใจผิด เพราะผมยังมีหน้าที่ในงานอื่นอยู่ และพร้อมทำเพื่อสังคมต่อไป การออกคำสั่งแบบนี้ทำให้คนเข้าใจว่าเราอยู่ในกลุ่มผู้ที่ทุจริต” นายสมพร กล่าว
** กว่า 20 เครือข่ายนัดถกต้านคำสั่ง
ด้าน เครือข่ายขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน ได้ออกแถลงการณ์เพื่อคัดค้านการปลด 7 ผู้ทรงคุณวุฒิของ สสส.ระบุ กรณีนี้จะนำไปสู่การแต่งตั้งบอร์ดและผู้จัดการ สสส.ชุดใหม่ ที่มาจากกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดกับศูนย์กลางอำนาจรัฐ และตัวแทนจากกลุ่มทุนบางกลุ่ม เพื่อมิให้การดำเนินการของ สสส.สร้างผลกระทบต่อผลประโยชน์ในกิจการเหล้า บุหรี่ และเข้ามาหาประโยชน์จากกองทุนโดยปราศจากการตรวจสอบของสังคม ดังนั้นเครือข่ายฯจึงขอคัดค้านคำสั่งของ คสช.ที่ปลดบอร์ดทั้ง 7 คนออกโดยไม่ชอบธรรม และจะดำเนินการคัดค้านการประกาศแต่งตั้งบอร์ด สสส.ชุดใหม่ หากพบว่าบุคคลที่จะถูกตั้งขึ้นมานั้นเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้มีอำนาจ กลุ่มทุนที่ขัดขวางการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน หรือมิได้ยึดโยงกับภาคประชาชน
“ทั้งนี้ ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน จะได้จัดให้มีการประชุมใหญ่ของตัวแทนจากเครือข่ายต่างๆ ทั่วประเทศ ในวันที่ 11 ม.ค.59 เพื่อประกาศแนวทางและมาตรการในการเคลื่อนไหวในกรณีดังกล่าว” แถลงการณ์ ระบุ
ท้ายแถลงการณ์ยังได้ระบุถึงเครือข่ายที่ตอบรับการประชุมมากกว่า 20 องค์กร อาทิ ชมรมแพทย์ชนบท เครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายเด็กเยาวชนและครอบครัว เครือข่ายงดเหล้าและบุหรี่ เครือข่ายเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) เครือข่ายแรงงานนอกระบบ เครือข่ายสลัมสี่ภาค เครือข่ายสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย และเครือข่ายสมาคมวิศการ เป็นต้น
** ท้าเปิดหลักฐาน บ.บุหรี่ชักใย
ขณะที่ พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ที่ปรึกษาสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (สพศท.) กล่าวถึงกรณีที่ นพ.วิชัย ระบุว่ามี บริษัทเหล้าและบุหรี่อยู่เบื้องหลังขบวนการล้ม สสส.ว่า หาก นพ.วิชัย ไม่ควรพูดกล่าวหาลอยๆ หากมีหลักฐานก็ควรนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนหรือมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งหากภายใน 3 วันไม่สามารถนำมาแสดงได้ถือว่าโกหก เป็นการสร้างนิยาย โดยที่บางครั้งคนที่ถูกกล่าวอ้างถึงไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย อย่างกรณีการตรวจสอบ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็กล่าวหาว่ามีขบวนการล้ม สปสช.มาแล้ว ซึ่งเป็นความพยายามชูเรื่ององค์กร เพื่อให้มีคนมาช่วยเหลือเป็นแนวร่วม ทั้งที่ สสส.ควรยินดีที่มีคนมาตรวจสอบแทน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และสะท้อนว่าไม่สนับสนุนความไม่ถูกต้อง ที่สำคัญ การเป็นบอร์ด สสส.ในสัดส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิมีคนอื่นๆอีกมากที่มีคุณสมบัติจะเป็นได้ ไม่ใช่จะปิดตายไม่ให้คนอื่นเป็นเลย ผูกขาดคนเดียว
“ถ้ามั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็เปิดโอกาสให้มีการเข้าไปพิสูจน์ความจริง ไม่ใช่แตะต้องไม่ได้ ขณะนี้ดูเหมือนมีการพยายามเบี่ยงประเด็นจากเรื่องบุคคล เฉพาะคนที่เป็นบอร์ด ซึ่งถูกปลด ให้กลายเป็นเรื่องขององค์กรว่าเป็นเรื่องขัดผลประโยชน์ และรัฐบาลพยายามโอบอุ้มนายทุน ทำให้ตนเองกลายเป็นวีรบุรุษ เพราะไม่ต้องการตายเดี่ยว” พญ.ประชุมพร กล่าว.
จากกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 พักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบ 3 จำนวน 59 ราย ซึ่งรวมถึงการปลดกรรมการ (บอร์ด) กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จำนวน 7 ราย ไปเมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา
วานนี้ (7 ม.ค.) แหล่งข่าวจาก ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ระบุถึงเรื่องนี้ว่า จากการตรวจสอบ สสส. แม้จะไม่พบประเด็นการทุจริต แต่ ศอตช.จำเป็นต้องเสนอให้ย้ายบอร์ด สสส.ให้พ้นจากหน้าที่ เนื่องจากตรวจสอบพบว่าบอร์ด สสส.ทุกคนล้วนมีตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิอื่น และต่างก็ทำเรื่องขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก สสส. วงเงินรวมตั้งแต่ 100 - 600 ล้านบาท แม้การอนุมัติจะทำได้ไม่ผิดกฎหมาย แต่กฎหมาย สสส. ออกมาเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในช่วงจัดตั้งองค์กร หลังบริหารงานมีการใช้ช่องว่างและข้อยกเว้นต่างๆ ไปทำให้การใช้จ่ายไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ หากไม่แก้ไขจะทำให้เกิดปัญหาระยะยาว
** “หมอวิชัย” อ้าง กม.เปิดช่อง กก.รับทุน
นพ.วิชัย โชควิวัฒน อดีตรองประธานบอร์ด สสส.กล่าวว่า การในการปลด 7 ผู้ทรงคุณวุฒิของ สสส. โดยให้เหตุผลว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนนั้นไม่เป็นจริง เนื่องจากกฎหมายระบุให้มูลนิธิ สมาคมต่างๆที่ทำงานสาธารณประโยชน์รับทุนจาก สสส.ได้ ขณะที่บอร์ด สสส.ที่มาจากบริษัทเอกชนและอาจมีส่วนร่วมในมูลนิธิหรือสมาคมเหล่านั้นก็ไม่ได้นำเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง อีกทั้งไม่ได้รับเงินเดือน และไม่มีเงินปันผล จึงไม่ถือเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน สำหรับการปลด 7 ผู้ทรงคุณวุฒิของ สสส.ครั้งนี้ จะสรุปว่าเป็นการล้ม สสส.ไม่ได้ แต่เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการที่ทำต่อเนื่องกันมา โดยเฉพาะเมื่อกลางปีที่แล้วในช่วงท้ายของการเขียนร่างรัฐธรรมนูญ มีการปิดห้องเขียน เร่งรัดเขียนเพิ่มมาตราหนึ่งเข้าไปโดยไม่ให้ส่งเงินภาษีร้อยละ 2 มาที่ สสส.โดยตรงอีก ทำให้สสส.หมดสภาพการทำงาน เท่ากับเป็นการล้ม สสส.
“ในการเขียนช่วงนั้นมีบริษัทบุหรี่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคณะร่างรัฐธรรมนูญ มีการร่วมเดินทางไปประเทศเมียนมากัน และในที่สุดมีการคัดค้านอย่างกว้างขวาง แต่มีข่าวรั่วออกมาจนเกิดการต่อต้าน สู้กันจนไม่มีการใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ มีการปรับข้อความให้ สสส.ยังดำรงอยู่ได้” นพ.วิชัย ระบุ
** ดักคออาจมีล้วงลูกตั้งบอร์ดใหม่
นพ.วิชัย กล่าวยอมรับว่า บอร์ดที่ถูกปลดทั้ง 7 คนเคยได้รับเงินจากกองทุน สสส.ในนามของมูลนิธิ แต่บุคคลเหล่านี้มีมูลนิธิมาก่อนที่จะมานั่งเป็นบอร์ด สสส. ซึ่งไม่ผิดระเบียบ และกฎหมายของ สสส. รวมทั้งมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ โดย พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เป็นประธาน ก็สรุปว่า ไม่มีความผิด ทุกอย่างโปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และก็นำไปสู่การแก้ระเบียบของ สสส. ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จไปตั้งแต่เดือน ธ.ค.58 ตามข้อเสนอของคณะกรรมการตรวจสอบฯเสนอมาทั้งหมด อีกทั้งยังได้เพิ่มกรอบการ ทำงานให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในความเป็นจริงก่อนหน้านี้บอร์ด สสส.เคยพูดคุยกันว่าจะลาออก เพราะรู้สึกไม่สบายใจ เนื่องจากต้องทำงานเป็นบอร์ดพร้อมกับการดูแลมูลนิธิ บางคนจะลาออกตั้งแต่ช่วงแรก แต่ตนได้ขอร้องให้ช่วยกันประคับประคองการทำงานไปก่อน แต่เมื่อมาเจอคำสั่ง คสช.ถือว่าจบการทำงานเท่านี้ หลังจากนี้บอร์ด สสส.ที่เหลือ 2 คน คือ นางทิชา ณ นคร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคม และนายชำนาญ พิเชษฐพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย คงต้องทำหน้าที่ต่อไป ซึ่งคำสั่ง คสช.ยังเปิดช่องให้ สสส.ทำงานต่อไป
“กำหนดเดิมได้วางแผนไว้ว่าจะประชุมบอร์ด สสส.ในวันที่ 15 ม.ค.นี้ โดยคาดว่าจะมีการบรรจุวาระสรรหาบอร์ด สสส.ชุดใหม่ด้วย หากเป็นไปตามขั้นตอนนี้คาดว่าภายใน 1 เดือน หรือไม่เกินเดือน ก.พ.น่าจะมีบอร์ดชุดใหม่มาแทน จากนี้จะต้องจับตาว่า กระบวนการสรรหา บอร์ด สสส.จะถูกแทรกแซงหรือไม่" นพ.วิชัย กล่าว
** "สมพร" ร้องนายกฯขอความเป็นธรรม
ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายสมพร ใช้บางยาง อดีตบอร์ด สสส. เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายกฯและหัวหน้า คสช.เพื่อขอความเป็นธรรมหลังเป็น 1 ในผู้ที่ถูกคำสั่งหัวหน้า คสช.ให้พ้นจากตำแหน่ง โดยนายสมพร เปิดเผยว่า ส่วนตัวไม่ได้ติดใจในเรื่องตำแหน่ง แต่มาเพื่อให้นายกฯ และประชาชนทราบว่า ตนเป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์ตลอดชีวิต มุ่งมั่นทำความดี และไม่เคยแสวงหาผลประโยชน์ใดๆใน สสส. และขอให้ความเป็นธรรมกับตนเอง โดยไม่มีแนวคิดที่จะไม่ฟ้องร้องอะไร
“มาวันนี้เพื่อรักษาเกียรติ ศักดิ์ศรีของตัวเอง ต้องการการยอมรับจากสังคม และไม่ให้สังคมเข้าใจผิด เพราะผมยังมีหน้าที่ในงานอื่นอยู่ และพร้อมทำเพื่อสังคมต่อไป การออกคำสั่งแบบนี้ทำให้คนเข้าใจว่าเราอยู่ในกลุ่มผู้ที่ทุจริต” นายสมพร กล่าว
** กว่า 20 เครือข่ายนัดถกต้านคำสั่ง
ด้าน เครือข่ายขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน ได้ออกแถลงการณ์เพื่อคัดค้านการปลด 7 ผู้ทรงคุณวุฒิของ สสส.ระบุ กรณีนี้จะนำไปสู่การแต่งตั้งบอร์ดและผู้จัดการ สสส.ชุดใหม่ ที่มาจากกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดกับศูนย์กลางอำนาจรัฐ และตัวแทนจากกลุ่มทุนบางกลุ่ม เพื่อมิให้การดำเนินการของ สสส.สร้างผลกระทบต่อผลประโยชน์ในกิจการเหล้า บุหรี่ และเข้ามาหาประโยชน์จากกองทุนโดยปราศจากการตรวจสอบของสังคม ดังนั้นเครือข่ายฯจึงขอคัดค้านคำสั่งของ คสช.ที่ปลดบอร์ดทั้ง 7 คนออกโดยไม่ชอบธรรม และจะดำเนินการคัดค้านการประกาศแต่งตั้งบอร์ด สสส.ชุดใหม่ หากพบว่าบุคคลที่จะถูกตั้งขึ้นมานั้นเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้มีอำนาจ กลุ่มทุนที่ขัดขวางการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน หรือมิได้ยึดโยงกับภาคประชาชน
“ทั้งนี้ ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน จะได้จัดให้มีการประชุมใหญ่ของตัวแทนจากเครือข่ายต่างๆ ทั่วประเทศ ในวันที่ 11 ม.ค.59 เพื่อประกาศแนวทางและมาตรการในการเคลื่อนไหวในกรณีดังกล่าว” แถลงการณ์ ระบุ
ท้ายแถลงการณ์ยังได้ระบุถึงเครือข่ายที่ตอบรับการประชุมมากกว่า 20 องค์กร อาทิ ชมรมแพทย์ชนบท เครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายเด็กเยาวชนและครอบครัว เครือข่ายงดเหล้าและบุหรี่ เครือข่ายเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) เครือข่ายแรงงานนอกระบบ เครือข่ายสลัมสี่ภาค เครือข่ายสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย และเครือข่ายสมาคมวิศการ เป็นต้น
** ท้าเปิดหลักฐาน บ.บุหรี่ชักใย
ขณะที่ พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ที่ปรึกษาสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (สพศท.) กล่าวถึงกรณีที่ นพ.วิชัย ระบุว่ามี บริษัทเหล้าและบุหรี่อยู่เบื้องหลังขบวนการล้ม สสส.ว่า หาก นพ.วิชัย ไม่ควรพูดกล่าวหาลอยๆ หากมีหลักฐานก็ควรนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนหรือมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งหากภายใน 3 วันไม่สามารถนำมาแสดงได้ถือว่าโกหก เป็นการสร้างนิยาย โดยที่บางครั้งคนที่ถูกกล่าวอ้างถึงไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย อย่างกรณีการตรวจสอบ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็กล่าวหาว่ามีขบวนการล้ม สปสช.มาแล้ว ซึ่งเป็นความพยายามชูเรื่ององค์กร เพื่อให้มีคนมาช่วยเหลือเป็นแนวร่วม ทั้งที่ สสส.ควรยินดีที่มีคนมาตรวจสอบแทน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และสะท้อนว่าไม่สนับสนุนความไม่ถูกต้อง ที่สำคัญ การเป็นบอร์ด สสส.ในสัดส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิมีคนอื่นๆอีกมากที่มีคุณสมบัติจะเป็นได้ ไม่ใช่จะปิดตายไม่ให้คนอื่นเป็นเลย ผูกขาดคนเดียว
“ถ้ามั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็เปิดโอกาสให้มีการเข้าไปพิสูจน์ความจริง ไม่ใช่แตะต้องไม่ได้ ขณะนี้ดูเหมือนมีการพยายามเบี่ยงประเด็นจากเรื่องบุคคล เฉพาะคนที่เป็นบอร์ด ซึ่งถูกปลด ให้กลายเป็นเรื่องขององค์กรว่าเป็นเรื่องขัดผลประโยชน์ และรัฐบาลพยายามโอบอุ้มนายทุน ทำให้ตนเองกลายเป็นวีรบุรุษ เพราะไม่ต้องการตายเดี่ยว” พญ.ประชุมพร กล่าว.