สังเวียนตำรวจ
โดย เหล็กน้ำพี้
แวดวงสีกากีในรอบปีที่ผ่านมาถ้าไม่นับกรณี พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือ สารวัตรเอี๊ยด ก่อนขยายวงลุกลามไปถึง พล.ต.อ.วุฒิ ถาวรศิริ อดีตโฆษกสตช.คนดัง พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์ อดีต ผบช.สันติบาล และ พล.ต.ต.อัครเดช พิมลศรี อดีต ผบก.ป. เป็นเรื่องสะท้อนสะเทือนที่สุดแล้วต้องยกให้กรณี “เกิด”และ“เสื่อม”ของ 3 ป.คือ “แป๊ะ ปวีณ”พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ที่อยู่ระหว่างลี้ภัยไปพำนักยังประเทศออสเตรเรีย
ส่วน ป.คนที่สองคือ “บิ๊กแป๊ะ”พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. คนที่ 11 เมื่อเปิดตัวมาในตอนแรกทำท่าจะดี แต่ผ่านไปเพียง 3 เดือนกลับเข้าโหมด “เสื่อม”อย่างรวดเร็ว ด้วย 2 ประเด็นร้อน คือ กรณีของ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ที่สังคมไทยและสังคมตำรวจมองผู้นำสูงสุดขององค์กรสีกากีด้วยความเคลือบแคลงใจ
ประเด็นร้อนล่าสุดที่ดึงความนิยม หรือ“ความหวัง”ของตำรวจใต้บังคับบัญชาทั่วประเทศเกือบ 3 แสนดับวูบลงก็คือ คำสั่งอัปยศ“ชักบันไดหนี”สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจ สร้างความคับแค้นแก่นายตำรวจระดับ พ.ต.อ.-ร.ต.อ.อย่างถ้วนหน้า โดยมีหลักการณ์คร่าวๆว่า รองผบก.- ผบก.จาก 4 ปีเลื่อนเป็น 6 ปี ผกก. - รองผบก. จาก 4 ปีเป็น 5 ปี รองผกก.-ผกก. จาก 3 ปี เป็น 4 ปี ระดับสารวัตร-รองผกก. จาก 5 ปีเป็น 6 ปี รองสารวัตร-สารวัตร จาก 7 ปี เป็น 8 ปี ผบก.เป็น รองผบช. จาก 3 ปีเป็น 2 ปี รอง ผบช.เป็น ผบช. จาก 2 ปี เป็น 1 ปี ผบช.-ผู้ช่วย ผบ.ตร. ใช้หลักการเดิม 1 ปีเท่าเดิม ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นรอง ผบ.ตร. ใช้หลักการเดิมคือ 1 ปี ขึ้นได้เลย
ส่วนตำแหน่ง “ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”เล่นกันฟรีสไตล์ อย่างที่เรารู้เราเห็นในกรณีของ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ อดีตรอง ผบ.ตร.ที่อกหักถึง 2 ครั้ง 2 หน
ทันทีที่หลักเกณฑ์แต่งตั้งนี้แพร่สะพัดออกไป ก็เกิดอาการกระเพื่อมของตำรวจทั่วทั้งประเทศอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ถึงขนาดในส่วนตำรวจสายสอบสวนซึ่งฮึ่มๆ อยากจะแยกตัวออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปสังกัดกระทรวงยุติธรรม ตอนนี้จึงเคลื่อนไหวลงชื่อเตรียมเสนอต่อรัฐบาลให้ทำการปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยด่วน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวว่าบรรดาบิ๊กตำรวจในสายอำนาจ โดยเฉพาะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กำลังต่อรองกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้ผ่อนผันหรือยกเลิกกฏเกณฑ์ที่ทำให้เกิดปัญหา เห็นได้จาก ร่างกฎ ก.ตร.ฉบับเจ้าปัญหารายละเอียดข้อ 13-27 ซึ่งเป็นรายละเอียดจำนวนปีครองยศหายไป แต่ใช้คำว่า ฯลฯ แทน
อย่างไรก็ตาม แม้จะแก้ไข หรือยังคงยืนกรานตามประสงค์เดิม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อารมณ์ ความรู้สึก ของตำรวจที่เขาคิดว่าถูกกดขี่ ไม่ได้รับความเป็นธรรมเนื่องจากระเบียบที่ร่างมานั้นสนองประโยชน์แก่คนใก้ลชิด ขั้วอำนาจเพียงกลุ่มเดียว
ส่วนจะเป็นใครนั้นขอให้ดูกฏเกณฑ์ส่วนยอดที่เปิดโอกาสให้ใช้อำนาจกันอย่างเต็มที่ สำคัญที่สุดเมื่อเกิดเป็นประเด็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่าใครหน้าไหนไม่สามารถออกมาตอบสังคมได้ หรือแม้แต่จะมีคนใก้ลชิดของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ จะออกมาระบายความรู้สึกแทนเจ้านาย ทำนองว่าถูกผู้มีอำนาจบีบ
แต่ด้วยเหตุและผลในฐานะผู้นำองค์กร แม้มีข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าถูกบีบ ถูกบังคับให้ฝืนใจออกกฎระเบียบเพื่อสนองความต้องการของผู้บังคับบัญชา มองอย่าไรคนเสียหายก็ไม่พ้น ผบ.ตร. เพราะลำพัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ น่าจะรู้ทะลุปรุโปร่งแต่ในเรื่องทหาร ส่วนเรื่องตำรวจ ก็ต้อง “ตำรวจ”เท่านั้นที่จะให้ข้อคิด และชงข้อมูลต่างๆให้
ถามว่าตำรวจที่ใกล้ชิด “ลุงป้อม”มีใครกันบ้าง แน่นอนว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องชายสุดที่รัก คือคนแรก ต่อจากนั้นคือใคร คงเดาไม่ยาก ก็คงล้วนแต่ที่แวดล้อมกันทั้งตำรวจนอกราชการ และในราชการ 1 ในนั้นเจ้าของฉายา “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบก.ตำรวจท่องเที่ยว "ลูกรัก-น้องเลิฟ" ซึ่ง ณ เวลานี้ได้รับความไว้วางใจ มีบทบาทในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาจะเทียบเป็นผบ.ตร. น้อยเลยก็ว่าได้
จึงขอให้ย้อนไปดูหลักเกณฑ์การขยับของตำแหน่งระดับ ผบก. บุคคลที่ได้ประโยชน์เต็มๆ ก็คือนายตำรวจระดับ“ผู้บังคับการ” ซึ่งได้จัดกระบวนทัพไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว
รวมทั้ง “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ”ที่บุญมาวาสนาส่ง มีการเคลียร์เส้นทางจนไร้ขวากหนาม ถือเป็นทายาทสืบทอดอำนาจเป็นรุ่นที่ 5 เริ่มจากพล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รรท.ผบ.ตร. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล และ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล
เพียง 3 เดือน “บิ๊กแป๊ะ”ต้องเข้าสู่“ขาลง”แบบไม่น่าเชื่อ ถึงขนาดคนใก้ลชิดเอ่ยปากว่า“นายไม่เป็นตัวของตัวเอง”และนับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่เคยมีโอกาสแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา“อาการ”แบบนี้จึงควรจับตาช่วง“ขาขึ้น”ของใครบางคนโดยเฉพาะ “บิ๊กปู” พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง ที่สร้างผลงานเข้าตาผู้มีอำนาจ เป็นการเก็บคะแนนเก็บแต้มต่ออยู่ทุกวันๆ
ความเป็นมาของ“บิ๊กปู”หลายสำนักข่าวนำเสนอออกมาจนเป็นที่ทราบกันดี....1 ปี 3 ตำแหน่ง จากผู้บัญชาการตำรวจนครบาล มาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายความมั่นคง ในอดีตไม่เคยปรากฏว่ามีใครเคยทำได้ และเชื่อว่าในอนาคตก็จะไม่มีใครสามารถลบสถิตินี้ไปได้
เป็นธรรมชาติ ของตำรวจไทยที่คิดใหญ่ใฝ่สูงกันแทบทุกคน โดยเฉพาะนรต.รุ่น 35-36 มีตำนานเล่าขานกันมานานตั้งแต่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ที่เกิดการกระทบกระทั่งจนรุ่น 36 ต้องยกชั้นลาออก และเป็นที่มาของรุ่นสังฆราชขอบิณบาต เมื่อเข้ารับราชการ“หัวหอก”ในรุ่นต่างมุ่งหวังไต่อันดับเพื่อมาถึงในช่วงนี้ คือตำแหน่งผู้นำตำรวจแต่ปรากฏว่า นรต. 36 นำโดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา สามารถทำได้สำเร็จ ส่วน“หัวหอก”รุ่น 35 จากเดิมคือ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน วันนี้กลับต้องอาศัยบริการของ“บิ๊กปู” ซึ่งเป็นนายตำรวจที่ฝ่ายทหารให้ความไว้วางใจสูงสุด
เมื่อ“บิ๊กแป๊ะ”เข้าสู่โหมตเสื่อม โอกาสของ“บิ๊กปู”จึงมาถึง
ผลงานต่างๆ ที่สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง หรืออาจจะมีเสียงครหาตามมา แต่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหณกุล คือ“ของจริง”ที่รัฐบาลทหารสามารถไว้เนื้อเชื่อใจได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ต่างจาก“บิ๊กแป๊ะ”มือประสาน 10 ทิศ ที่แม้จะมีความสามารถรอบด้านแต่ถ้าให้คะแนนเรื่องลำหักลำโค่น ตาต่อตาฟันต่อฟันพร้อมเดินหน้าชนหรือประเภทมีน้ำอดน้ำทนคงต้องยกให้กับ “บิ๊กปู”อย่างไม่ต้องสงสัย
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.คนที่ 11 นรต. 36 เกษียณอายุราชการปี 2563 หรืออีก 5 ปี ส่วน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง นรต. 35 เกษียณอายุปี 2561
ถ้านับตามตัวเลขรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สัญญาประชาคมไว้ว่า อีก 1 ปี 6 เดือน จะเสร็จภาระกิจ จัดให้มีการเลือกตั้ง ในห้วงเวลาดังกล่าวหลังอำนาจทหารถอยไปแล้ว “บิ๊กปู”คงเคว้งคว้าง ขาดพี่เลี้ยงระวังหลังให้
เซียนตำรวจเชื่อกันว่า ภายในเดือนเมษายนปีหน้า เก้าอี้ของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา คงร้อนผ่าว สัญญาลูกผู้ชายแบ่งสัมปทานกันคนละ 2 ปี คงยึดถืออะไรไม่ได้อีกต่อไป !!??