“พล.ต.อ.จักรทิพย์” ก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาแทรกแซงการบริหารงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แบบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสิ่งนั้นก็บ่งบอกถึงอาการ “เสียทรง” ที่สื่อสะท้อนออกมาจากผลงานบนเก้าอี้ “ผบ.ตร.” 3 เดือน
ผ่านมากำลังจะครบ 3 เดือนเต็ม บนเก้าอี้ “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” หรือ ผบ.ตร. ของ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา นักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 36 ดาวรุ่งพุ่งแรงที่เป็นความหวังจะเป็นอัศวินเข้ามาเปลี่ยนแปลงแวดวง “สีกากี” ด้วยวิสัยทัศน์คนรุ่นใหม่
แต่ดูเหมือนว่าแค่ประเดิมคุมทัพใหญ่ “กรมปทุมวัน” ไตรมาสแรกก็เริ่มมีข้อกังขาและมีคำถามถึงการบริหารงาน “ตำรวจ” ของ “บิ๊กแป๊ะ” เป็นไปในทิศทางพัฒนาขึ้นหรือซ้ำรอยเดิมที่ยังหนีไม่พ้นร่มเงา “ผู้มีอำนาจ” ชี้ซ้ายชี้ขวา จนแวดวง “สีกากี” ตกอยู่ในเงาบางกลุ่มบางก้อน ไม่ได้เป็นอิสระอย่างที่คาดหวังกันแน่
อย่างคาดไม่ถึง ขนาดสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย สะท้อนการทำงานของ “พล.ต.อ.จักรทิพย์” ผ่านทางฉายาตำรวจประจำปี 2558 โดย “ผบ.แป๊ะ” ได้รับฉายา “ผบ.เสียทรง” ด้วยเหตุผล “สมัยตอนที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.ได้ฝากผลงานไว้อย่างโดดเด่นในการทำคดีสำคัญๆ มากมาย แต่พอเป็น ผบ.ตร.กลับไม่มีผลงานเข้าตาประชาชน”
แม้ พล.ต.อ.จักรทิพย์จะออกมาแก้ต่างฉายา “ผบ.เสียทรง” ที่ได้รับ น่าจะเกิดขึ้นเพราะการทำงานที่ต่างกัน เนื่องจากในสมัยเป็นรอง ผบ.ตร.รับหน้าที่ดูแลงานการปฏิบัติ ทำให้มีผลงานคดีต่างๆ ออกมาอย่างเด่นชัด แต่พอมาเป็น ผบ.ตร.คุมงานนโยบาย มอบหมายงานให้ รองผบ.ตร.รับผิดชอบตามหน้างานต่างๆ ทำให้สื่ออาจไม่เห็นผลงานคดีต่างๆ เหมือนสมัยก่อน
ถ้าตัดเรื่องคดีต่างๆ ตามเหตุผลที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์อ้างถึงการผ่องถ่ายหน้าที่ให้รอง ผบ.ตร.ดำเนินการตามความรับผิดชอบของแต่ละคน หันมาดูเฉพาะงานนโยบายที่ “ผบ.ตร.” รับผิดชอบ ก็ต้องบอกว่า ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา “บิ๊กแป๊ะ” ยังไม่ได้แสดงความโดดเด่นในการเป็นผู้นำทัพ เป็นที่พึ่งให้กับ “ผู้ใต้บังคับบัญชา” ทั่วประเทศเท่าไหร่นัก
โดยเฉพาะการบริหารงานภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลายเรื่องหลายราว หลายครั้งหลายหน ทิศทางการบริหารงานของ “บิ๊กแป๊ะ” เหมือนอยู่ใต้เงาทะมึนของผู้มีอำนาจ ไม่ต่างอะไรจากยุคเก่าก่อนที่ผ่านมา
อาจจะหนักกว่าเสียด้วยซ้ำไป
เห็นชัดจากคำสั่งเด้ง “บิ๊กโต้ง” พล.ต.ต.จารุวัฒน์ ไวศยะ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เข้ามาปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ให้เหตุผลเพื่อหมายให้ พล.ต.ต.จารุวัฒน์ มาช่วยทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ เพราะได้ไปประชุมกับชุดทำงานที่ต่างประเทศมา
ทว่า ไม่ทันข้ามคืนที่เซ็นคำสั่งให้ “บิ๊กโต้ง” มาช่วยราชการ ศปก.ตร. พล.ต.อ.จักรทิพย์ก็เซ็นคำสั่งอีกฉบับยกเลิกคำสั่งช่วยราชการ ศปก.ตร.ของ พล.ต.ต.จารุวัฒน์ พร้อมให้กลับไปปฏิบัติราชการที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลตามปกติ
“ช่วงนี้มีงานที่ บช.น.เยอะ งานพระราชพิธีพระศพสมเด็จพระสังฆราช และต่อเนื่องมางานคริสต์มาส งานปีใหม่ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เลยขอตัวกลับไปเท่านั้นเองไม่มีอะไรเลย"
เหมือนเด็กเล่นขายของ!!!
คือความรู้สึกของสังคมที่รับรู้รับทราบข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวเรื่องดังกล่าว เพราะการออกคำสั่งย้ายไปย้ายมา แบบที่ชาวบ้านร้านตลาดมักพูดกันเชิงประชดประชันในทำนอง “ตดยังไม่หายเหม็น” ดูจะไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักในแวดวงราชการ โดยเฉพาะแวดวง “ตำรวจ” ส่วนใหญ่จะเข้ามานั่งตบยุงกันเป็นเดือนๆ หรือเร็วสุดก็ต้องมี 2-3 วัน
ยิ่งระดับ “นายพล” การจะออกคำสั่งช่วยราชการวันนี้แล้วพรุ่งนี้ยกเลิก มองอย่างไรก็เข้าทำนอง เหมือนเด็กเล่นขายของ อย่างที่สังคมรู้สึกจริงๆ เพราะหากเป็นย้ายชั้นประทวน ย้ายเด็กๆ สลับไปสลับมาอาจไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ระดับ “นายพล” ถือเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ การจะออกคำสั่งใดๆ ออกมาต้องกลั่นกรองแล้วกลั่นกรองอีก
หากไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ไม่มีการเคลียร์ ไม่มีการพูดคุย จะกลับไปกลับมาเช่นนี้หรือไม่
เช่นเดียวกับเรื่อง พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรอง ผบช.ศชต. และอดีตหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ที่โดนย้ายจากเก้าอี้ รอง ผบช.ภ.8 มาอยู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งๆ ที่ทำคดีระดับประเทศ แม้ พล.ต.อ.จักรทิพย์จะอ้างว่าการย้ายมาจากความรู้ความสามารถด้านการสอบสวนจะนำมาช่วยงานจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งไม่มี บช.ไหนยอมรับตัว พล.ต.ต.ปวีณ
กระทั่ง พล.ต.ต.ปวีณต้องลาออกจากราชการ และบินไปประเทศออสเตรเลียยื่นหนังสือขอลี้ภัย เพราะระบุว่าโดนเคือข่ายขบวนการค้ามนุษย์ที่มีตำรวจและทหารเข้าไปเกี่ยวข้องข่มขู่เอาชีวิต หลังจากทำคดีมีการจับกุมนายทหารใหญ่ และผู้มีอิทธิพลในพื้นที่
ทุกเหตุผลที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์พยายามชี้แจงกรณี พล.ต.ต.ปวีณ รับฟังได้ แต่ก็ต้องถามว่าเชื่อได้หรือไม่?
ล่าสุดเรื่องสำคัญที่เกิดความคิดไปในทางลบมากต่อสตช. คือการปรับปรุงแก้ไขกฎคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับสารวัตร ถึงจเรตำรวจแห่งชาติ และรอง ผบ.ตร. พ.ศ. 2549 ที่มีการพิจารณาหลักเกณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะการแก้ไขหลักเกณฑ์คุณสมบัติการแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นใหม่ ตั้งแต่ระดับสารวัตร (สว.) ยศ “พ.ต.ต.” ไปจนถึงระดับจเรตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ยศ พล.ต.อ.
ที่จะเสนอเข้าที่ประชุม ก.ตร.วันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าหลักเกณฑ์ใหม่ที่ถูกเคาะออกมา เป็นการเอื้อ “นายพล” บางกลุ่ม และเตะตัดขาระดับ “นายพัน” จนการประชุม ก.ตร.ที่จะรับรองการแก้ไขกฎ ก.ตร.ครั้งนี้ต้องเลื่อนออกไป
เสียงคัดค้าน เสียงไม่เห็นด้วยจากหลักเกณฑ์นี้ของ “ตำรวจ” ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ถูกยกเลิกไป เพียงแต่มีการปรับปรุงแก้ไขบางจุด เพื่อให้สมประโยชน์กลุ่มที่มีอำนาจ โดยเนื้อหาหลักๆ ก็ยังเพิ่มการครองตำแหน่ง บวก 1 เช่นเดิม เพียงแต่เพิ่ม “ยกเว้น” ขึ้นมาเพื่อไม่ให้รัดตัว และสามารถยกเว้นให้บางคนบางตำแหน่งที่มีอำนาจสามารถเติบโตได้โดยไม่ติดเงื่อนไขหลักเกณฑ์ใหม่ฉบับนี้
ข้อยกเว้นก็เป็นการเปิดช่องทางให้เอื้อประโยชน์กันได้สบายอีก ยิ่งเพิ่มความไม่เป็นธรรม เพราะคนจะได้ยกเว้นก็มีแต่พวกนักวิ่งทั้งนั้น ตำรวจดีๆ ก้มหน้าทำงาน ไร้เงินก็ไม่มีสังกัด ใครจะใช้อำนาจมายกเว้นให้?
ทุกอย่างก็เลยสมประโยชน์ และเตรียมเสนอปรับปรุงแก้ไขกฎคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับสารวัตร ถึงจเรตำรวจแห่งชาติ และรอง ผบ.ตร. พ.ศ. 2549 เข้าที่ประชุม ก.ตร.อีกครั้ง ในเช้าวันที่ 28 ธ.ค.นี้
ทั้งหมดทั้งมวล “พล.ต.อ.จักรทิพย์” ก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมีปัจจัยอื่นๆเข้ามาแทรกแซงการบริหารงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แบบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสิ่งนั้นก็บ่งบอกถึงอาการ “เสียทรง” ที่สื่อสะท้อนออกมาจากผลงานบนเก้าอี้ “ผบ.ตร.” 3 เดือน