สน.พระอาทิตย์ - เหตุผลหนึ่งที่น่าจะมีส่วนสำคัญ ทำให้การแต่งตั้งต้องยืดออกไป และกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา แม่ทัพใหญ่สีกากี ต้องกุมขมับและต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ คือกรณีการ “เยียวยา” ตำรวจ ที่ได้รับผลกระทบจากการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรมเมื่อปีที่ผ่านมา
หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) วันพุธนี้( 25 พ.ย.) ที่มี”บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน จะมีการเสนอวาระขอความเห็นชอบจาก ก.ตร. ขยายเวลาการแต่งตั้งตำรวจระดับ สารวัตร(สว.)-รองผู้บังคับการ(รองผบก.) ประจำปี 2558ออกไปอีก 1 เดือน
จากเดิมตามกฎ ก.ตร.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งฯ ต้องแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พ.ย.ของทุกปี ขยายออกไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2558 เหตุผลในการขยายเวลาการแต่งตั้ง “นายพัน” ครั้งนี้ นอกจากอยู่ระหว่างรอขั้นตอนกระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายระดับ ผู้บังคับการ(ผบก.) - รองผู้บัญชาการ(รองผบช.) ให้เสร็จสมบูรณ์ เพื่อให้ตำแหน่ง “รองผู้บังคับการ” ที่ขยับขึ้นไปเป็น “ผู้บังคับการ” ว่างอย่างเป็นทางการแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่น่าจะมีส่วนสำคัญ ทำให้การแต่งตั้งต้องยืดออกไป และกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา แม่ทัพใหญ่สีกากี ต้องกุมขมับและต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ คือกรณีการ “เยียวยา” ตำรวจ ที่ได้รับผลกระทบจากการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรมเมื่อปีที่ผ่านมา
ทั้งจากเรื่องป้ายโฆษณาบนป้อมตำรวจจราจรในพื้นที่นครบาล พื้นที่ บช.ภ.1รวมทั้งในช่วงที่มีการโยกย้ายเครือข่าย พล.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.ซึ่งอนุ ก.ตร.เกี่ยวกับการร้องทุกข์ ชุดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงนามไว้เมื่อวันที่ 19 ส.ค.2557ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ผู้ใช้อำนาจหน้าที่นายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ สมัยดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. เป็นประธานอนุกรรมการ มี พล.ต.อ.เขตต์ นิ่มสมบูรณ์ และ พล.ต.อ.เหมราช ธารีไทย เป็นรองประธาน อนุ ก.ตร. ร่วมกับอนุกรรมการ ทั้ง พล.ต.อ.อิสระพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา พล.ต.อ.ศุภวุฒิ สังข์อ่อง พล.ต.ท.ธนู ชัยนุกูลศิลา พล.ต.ท.ประกาศ ศาตะมาน พล.ต.ต.ปัญญา เอ่งฉ้วน และ พล.ต.ต.ประสิทธิ์ เฉลิมวุฒิศักดิ์ เป็นต้น
ได้มีมติให้เยียวยาตำรวจที่ร้องทุกข์กลับไปดำรงตำแหน่งเดิม หรือ สน.ที่มีปริมาณงานและคุณภาพงานไม่ต่ำกว่าเดิม ในโอกาสแรกที่มีการแต่งตั้ง จำนวนทั้งสิ้น 75 ราย โดยทุกกองบัญชาการที่มีตำรวจที่ได้รับการเยียวยา ต้องรับไปดำเนินการแต่งตั้งทันที่ตามมติของ อนุ ก.ตร.เกี่ยวกับการร้องทุกข์ เพราะในคำสั่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลงนามดังกล่าวได้ให้อำนาจหน้าที่ อนุ ก.ตร.เกี่ยวกับการร้องทุกข์ ชุดนี้มีอำนาจหน้าที่ทำการแทน ก.ตร.ในเรื่องเกี่ยวกับการร้องทุกข์ของข้าราชการตำรวจอย่างเด็ดขาดนั่นหมายถึงเมื่อ อนุ ก.ตร.เกี่ยวกับการร้องทุกข์ ชี้ให้เยียวยา ก็เป็นอันจบขั้นตอน กองบัญชาการต่างๆต้องรับไปปฏิบัติ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นและกำลังเป็นปัญหาให้แต่ละกองบัญชาการที่ต้องรับตำรวจที่ได้รับการเยียวยากลับคืนสังกัดเดิมต้องกุมขมับ คือ เมื่อนำกลุ่มผู้เยียวยาเข้ามาดำรงตำแหน่งในสังกัด บางกองบัญชาการจะมีตำแหน่งไม่เพียงพอในการแต่งตั้ง หรือถ้าเก้าอี้พอ ก็จะเป็นแบบพอดี ไม่มีช่อง ไม่มีทาง ให้ “ผู้บัญชาการ”ได้จัดทัพปรับทิศกองบัญชาการตัวเองในการทำงานเลยโดยเฉพาะ “กองบัญชาการตำรวจนครบาล” หรือ บช.น. ที่มี พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร นั่งกุมบังเหียน “รักษาการ ผบช.น.”ตอนนี้ กำลังเผชิญปัญหาคนแน่นเก้าอี้ เพราะมีตำรวจนครบาลที่โดนโยกย้ายจากปมป้ายโฆษณาบนป้อมจราจรได้รับการเยียวกลับคืนมาถึง 30 - 40 ราย แยกเป็น รองผบก. 3 ราย ผกก. 8 ราย รองผกก.และ สว. ประมาณ 22-23 ราย แม้เช็คเก้าอี้ว่าง “นครบาล” ปีนี้รอง ผบก. ว่าง 15 ตำแหน่ง ผกก.ว่าง 22 ตำแหน่ง รอง ผกก. ว่าง 30 ตำแหน่ง และสารวัตรว่าง 50 ตำแหน่ง ซึ่งอาจจะดูมากพอสมควร แต่พอนำมาจัดสรรแต่งตั้งกันจริงๆ ต้องแยกกันตำแหน่งว่างไว้ให้กลุ่มอาวุโส 33% และกลุ่มที่ได้รับการเยียวยากลับคืนอีก ยังไม่นับรวมตั๋วผู้มีอำนาจเข้ามาสอดแทรกเพิ่มเติมตามระบบอุปถัมภ์แบบไทยสไตล์ ทำให้ “ผบช.”เหลือจัดคนลงทำงานในตำแหน่งไม่กี่คน บางทีอาจไม่เหลือเลยด้วยซ้ำ
ทำให้ในการประชุมหารือแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการแต่งตั้งตำรวจที่ได้รับการเยียวยา ที่สำนักงานกำลังพล เป็นเจ้าภาพ จับเข่าคุยกับ บช.ที่ได้รับผลกระทบจากการให้เยียวยา ช่วงต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา วงประชุมมีการสะท้อนข้อเสนอออกมาหนทางแก้ปัญหาคนล้นเก้าอี้ โดยเฉพาะ บช.น.ได้เสนอให้เยียวยาโดยการแต่งตั้งผู้ได้รับการเยียวยากลับหน่วย แต่ต้องส่งตำรวจในสังกัดไปแต่งตั้งขึ้นข้ามหน่วยได้ เพื่อไม่ให้ปิดกั้นความเจริญก้าวหน้าของตำรวจในหน่วย นอกจากนี้ยังมีการเสนอขอความเห็นจาก ก.ตร. ว่าการแต่งตั้งตำรวจระดับ ผกก.-รองผบก. ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ก.ตร.ไปแล้ว แต่ถ้ามีผู้ยื่นร้องทุกข์ว่าได้รับการแต่งตั้งไม่เป็นธรรม และอนุ ก.ตร.ร้องทุกข์ มีมติให้เยียวยาอีกจะขัดกันระหว่างมติ ก.ตร.และมติ อ.ก.ตร.ร้องทุกข์หรือไม่
ทั้งหมดทั้งมวลก็คงต้องขึ้นอยู่กับ “บิ๊กแป๊ะ”พล.ต.อ.จักรทิพย์ จะบริหารจัดการแก้ปัญหาคนล้นเก้าอี้อย่างไร เพราะไม่ว่าจะเป็นข้อเสนอจากทาง บช.น. หรือการขอความเห็นจาก ก.ตร. ก็ล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ขึ้นอยู่ว่า “ผบ.แป๊ะ”จะเลือกทางออกไหน อย่างไร ข้อเสนอแต่งตั้งขึ้นข้ามหน่วยได้ หากใช้แนวทางนี้ “ผบ.ตร. ”ก็ต้องขอยกเว้นหลักเกณฑ์การแต่งตั้งเข้าวงประชุม ก.ตร. เพื่อพิจารณาเป็นรายๆ ซึ่งจะทำให้ บช.ที่ต้องรับตำรวจที่ได้รับการเยียวยามาก สามารถเปิดให้ลูกน้องสมัครใจไปขึ้นนอกหน่วย เพื่อเปิดตำแหน่งว่างเพิ่มขึ้น แต่ก็อาจมีปัญหาในการควบคุม เพราะเมื่อเปิดช่องก็มักจะมีเด็กเส้นเด็กสายอยากก้าวกระโดดใช้พลังผู้มีอำนาจมาร่วมวงด้วย การควบคุมอาจเกิดปัญหาให้ ผบ.แป๊ะปวดหัว
หรือถ้าจะนำข้อเสนอมติขัดกันระหว่าง ก.ตร.กับอนุ ก.ตร.ร้องทุกข์ เข้าวงประชุม ก.ตร.พิจารณาก็เหมือนเป็นกันหักหน้าคนเซ็นคำสั่งให้เกิดทับซ้อน แล้วถ้าหารือแล้ว ก.ตร.เห็นว่ามติอนุ ก.ตร.ร้องทุกข์ขัดกับมติ ก.ตร.ใหญ่ แล้วมติที่ออกไปแล้วของ อนุก.ตร.จะทำอย่างไร เยียวยาต่อไป หรือยกเลิกมติอนุ ก.ตร. อันนี้น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ มีหวังได้ฟ้องร้องกันอีรุงตุงนังแน่ หรือถ้าจะเดินหน้าเยียวยากันตามปกติ บช.ก็จะต้องแบกกลุ่มได้รับการเยียวยาไปดำรงตำแหน่งตามมติ อนุก.ตร.ร้องทุกข์ เบียดกระเสียนเก้าอี้กันไปตามยถากรรม แต่ก็จะจัดทัพปรับทิศการทำงานไม่ได้ตามที่ตัวเองต้องการ ยิ่ง”นครบาล”พื้นที่ใหญ่ พื้นที่สำคัญ พื้นที่เมืองหลวง แถม พล.ต.ท.ศานิตย์ ก็มีแรงหนุนไม่เบา หากขยับทำงานตามนโยบายไม่ได้จะเป็นอย่างไร งานนี้เลยต้องวัดใจ “ผบ.ตร. ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา แม่ทัพสมองเพชร จะหาวิธีแก้ปัญหาอย่างไร เพื่อคืนความสุข คืนความเป็นธรรม ให้กับลูกน้องตามที่ตัวเองได้ประกาศไว้ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง “ผบ.ตร.”วันแรก.