สน.พระอาทิตย์
โครงการเปิดเก้าอี้ “รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง” ที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. เพิ่งไฟเขียวอนุมัติให้เปิดตำแหน่งใหม่ ตามคำร้องขอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันเดียวกับที่มีการแต่งตั้ง 52 นายพลสีกากี ล็อตแรก ระดับรอง ผบ.ตร.-ผบช.ประจำปี 2558 ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถูกเก็บพับเข้าลิ้นชักล็อกกุญแจ ล้มเลิกไปเป็นที่เรียบร้อย
เก้าอี้ “รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง” ที่มีการขอเปิดตำแหน่งกันนั้น ว่ากันว่าเพื่อรองรับการเยียวยา พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วย ผบ.ตร.ที่จะขยับขึ้นตามสิทธิอาวุโส ติดยศ “พล.ต.อ.” แต่หลังจากที่ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.สมัครใจออกจากรั้ว “กรมปทุมวัน” ไปขึ้นเป็น “ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี”
ตำแหน่ง “รอง ผบ.ตร.” จึงว่างลง 1 ตำแหน่งพอดิบพอดี!!!!
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2558 ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ดังนี้ 1. พล.ต.ต.ศรีวราห์ รอง ผบช.ก.ดำรงตำแหน่ง ผบช.ภ.1 และขอพระราชทานยศตำรวจชั้นนายพลให้แก่ พล.ต.ต.ศรีวราห์ เป็น พล.ต.ท. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 2. พล.ต.ท.ศรีวราห์ดำรงตำแหน่ง ผบช.ประจำ ตร.ตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2553 และ 3. พล.ต.ท.ศรีวราห์ดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร.ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556
เท่ากับว่า พล.ต.ท.ศรีวราห์จะดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร.มาแล้วตั้งแต่ปี 2556 นับจนถึงปัจจุบันก็ครองตำแหน่งมาแล้ว 2 ปี มากกว่าผู้ช่วย ผบ.ตร.ที่อยู่ในปัจจุบัน ทำให้ครองอาวุโสสูงสุดคุณสมบัติครบตามระเบียบ กฎเกณฑ์ ก.ตร.
ในการประชุม ก.ตร.วันที่ 21 ต.ค.วาระแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ระดับ “นายพล” ล็อตสอง ตำแหน่งรอง ผบช.-ผบก.ทั่วประเทศ ประจำปี 2558 ยศ “พล.ต.ต.” มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง ผบ.ตร.เป็นประธาน ก.ตร. ซึ่งขยับเลื่อนจากเดิมวางคิวประชุมกันไว้ในวันที่ 19 ต.ค. มาเป็นวันที่ 21 ต.ค.นั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ก็จะเสนอบัญชีรายชื่อแต่งตั้ง “รอง ผบ.ตร.” แทนตำแหน่งว่างของ พล.ต.อ.เอก ควบคู่ไปด้วยในคราวเดียวกัน
บัญชีแต่งตั้งที่ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักทิพย์จะเสนอ ก.ตร.แทนนั้นก็จะขยับ พล.ต.ท.ศรีวราห์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. อาวุโสสูงสุดขึ้นดำรงตำแหน่งรอง ผบ.ตร. ตามระเบียบแต่งตั้ง ก.ตร. ที่กำหนดให้ ผบช. ขึ้นผู้ช่วย ผบ.ตร. และผู้ช่วย ผบ.จตร.ขึ้นรอง ผบ.ตร. ต้องแต่งตั้งเรียงตามลำดับอาวุโส
นอกจากบัญชีแต่งตั้งจะเสนอชื่อ พล.ต.ท.ศรีวราห์ ขึ้นติดยศ “พล.ต.อ.” แล้วก็จะแต่งตั้งโยก พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการประจำ สง.ผบ.ตร.รักษาการแทน ผบช.น. สายตรงนายกฯประยุทธ์ มาดำรงตำแหน่ง “ผบช.น.” เต็มตัวเป็นตัวจริงเสียงจริงเสียที
ทุกอย่างก็เป็นตามสเต็ปที่วางแผน วางคิวกันไว้ แบบไม่มีอะไรเกินความคาดหมาย ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ท.ศรีวราห์ ติดยศ พล.ต.อ. ขึ้นนั่งรอง ผบ.ตร. หรือ พล.ต.ท.ศานิตย์ มานั่งกุมเมืองหลวง บนเก้าอี้ “ผบช.น.” ที่ต่างก็รู้กันล่วงหน้า เพียงแต่วิธีการอาจจะสลับสับเปลี่ยนกันไปบ้างตามสถานการณ์ แต่เป้าหมายก็ยังคงเช่นเดิม
ไฮไลต์ “สีกากี” ตอนนี้เลยไม่ค่อยตื่นเต้นกับการแต่งตั้งของ “นายพล” เท่าไหร่ โฟกัสส่วนใหญ่ต่างหันไปพุ่งเป้าจับตาการแต่งตั้ง “นายพัน” ระดับรองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) ถึงสารวัตร (สว.) ทั่วประเทศประจำปี 2558 มากกว่า
ว่ากันว่า การจัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งระดับ “นายพัน” ปีนี้ ในยุค “บิ๊กแป๊ะ” กุมบังเหียน “กรมปทุมวัน” มีสัญญาณส่งไปถึงกองบัญชาการ (บช.) ต่างๆ เป็น “นโยบาย” แต่งตั้งโยกย้ายจะขยับเพิ่มอาวุโสขึ้น 1 ปี ในทุกตำแหน่ง ยกเว้นระดับรอง ผกก.ขึ้นเป็น ผกก. ขยับเพิ่มอาวุโสขึ้น 2 ปี
“คนสีกากี” เรียกว่านโยบาย “ชักบันไดหนี”!!!
ตามกฎ ตามระเบียบการแต่งตั้งตำรวจของ ก.ตร.ระดับรองสารวัตรขึ้นสารวัตร ต้องครองตำแหน่งมาไม่น้อยกว่า 7 ปี สารวัตรขึ้นรอง ผกก.ต้องครองตำแหน่งมาไม่น้อยกว่า 5 ปี รอง ผกก.ขึ้น ผกก.ต้องครองตำแหน่งมาไม่น้อยกว่า 3 ปี และ ผกก.ขึ้นรอง ผบก.ต้องครองตำแหน่งมาไม่น้อยกว่า 4 ปี เมื่อมีการชักบันไดหนีก็ต้องบวกเพิ่มขึ้นไปอีกอย่างละปี 2 ปี
นโยบายการขยับเพิ่มอาวุโสขึ้นในการแต่งตั้งโยกย้าย ถือเป็นเรื่องดีสำหรับผู้มีอาวุโส มีประสบการณ์ มีผลงาน จะได้เติบโตสูงขึ้น และจะช่วยสกัดเด็กเส้นเด็กสายที่พอมือแตะเกณฑ์ปุ๊บ ก็วิ่งข้ามหัวพวกอาวุโส พวกมีประสบการณ์ พวกคนทำงานขึ้นปั๊บ
แต่เท่าที่มีสัญญาณออกมา การ “ชักบันไดหนี” ในทุกระดับครั้งนี้จะใช้ปฏิบัติกับตำแหน่งของหน่วยต่างๆ เท่านั้น ไม่ครอบคลุมไปถึงตำแหน่ง “ผู้ช่วยนายเวร” หรือ “นายเวร” ของผู้บังคับบัญชาระดับผู้บัญชาการ (ผบช.) ผู้ช่วย ผบ.ตร. รอง ผบ.ตร. หรือ ผบ.ตร. ซึ่งต่างก็เป็นตำแหน่งเทียบเท่า สารวัตร (สว.) ไปจนถึงรองผู้บังคับการ (รอง ผบก.)
ทำให้ตอนนี้หลังจากมีข่าวคราวนโยบายลงมาบวก 1 เด็กเส้นเด็กสาย เด็กนายที่เพิ่งแตะเกณฑ์ตามกฎ ก.ตร.ต่างหนีวิ่งไปขอเป็นนายเวร ผู้ช่วยนายเวร ผู้บังคับบัญชากันฝุ่นตลบ เพราะต่างต้องการเดินเส้นทางลัดเติบโตในเส้นทางสีกากี
ทั้งๆ ที่การเพิ่มอาวุโสขึ้นก็ต้องทำให้เท่าเทียม ทำให้เหมือนกันหมด ไม่มีการยกเว้น ไม่มีดับเบิ้ลสแตนดาร์ด ไม่ว่ากลุ่มไหน ตำแหน่งใด ยิ่งกลุ่มนายเวร ผู้ช่วยนายเวร แล้วยิ่งควรเข้มมากกว่าตำแหน่งหลักที่ลงไปปฏิบัติงานด้วยซ้ำ เพราะพวกหิ้วกระเป๋า ถือแฟ้มตามนาย ตอนจะลงตำแหน่งก็ได้สิทธิเลือกลงไปกินตำแหน่งดีๆ อยู่แล้วด้วย
ถ้า “บิ๊กแป๊ะ” ยืนกรานคำประกาศนโยบายตอนที่เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ บอก ต้องแก้ปัญหาความแตกแยกในองค์กร
“คนเราอยู่รวมกันไปนานๆ ก็แตกแยกกันบ้างแล้วกลับมารวมกันบ้าง จากวันนี้ผมจะทำให้ตำรวจกลับมารวมกันให้ได้”
นโยบายบวก 1 บวก 2 ที่เป็นนโยบายรู้กันในใจ ไม่ได้เขียนไว้เป็นหลักฐานในกฎระเบียบ พล. ต. อ. จักรทิพย์ก็ต้องกำชับความเข้มให้ทุกตำแหน่งอยู่ในเกณฑ์นี้เหมือนกันหมด ไม่มีดับเบิ้ลสแตนดาร์ด ไม่มีเด็กนาย ไม่มีคนทำงาน แล้วความสามัคคีในองค์กร “ตำรวจ” จะกลับมาแท้จริง ไม่ใช่แค่คำประกาศสวยหรูเหมือนอดีตที่ผ่านมา