xs
xsm
sm
md
lg

“ศานิตย์” แรงสะท้านนครบาล ปากหาเหตุลูบคมลูกน้อง!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


สน. พระอาทิตย์

แม้ทั้งสองเหตุใหญ่ที่เกิดขึ้น พล.ต.ท.ศานิตย์ จะพยายามลดโทน ลดการปะทะ ลดความขัดแย้ง แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาให้เห็น ก็คือ ทุกย่างก้าวในการกุมบังเหียน “นครบาล” เต็มไปด้วยความ “มั่นใจ” ประเภทมี “แบ็กดี” เดินหน้าอย่างสบายใจไม่ต้องห่วง ไม่ต้องหวั่นเก้าอี้สั่นคลอน

แค่เข้ามานั่งเก้าอี้ “รักษาการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล” หรือ “รรท.ผบช.น.” ไม่ถึง 15 วัน ยังไม่ได้เป็นตัวจริงเสียงจริง เพราะต้องรอคิวให้ “บิ๊กปู” พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. ขยับขึ้น ผู้ช่วย ผบ.ตร. เต็มตัว แล้วค่อยโยกระนาบตามสเต็ปที่วางไว้จาก ผบช. ประจำ สง.ผบ.ตร. มาเป็น ผบช.น. “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ก็เขย่า “นครบาล” เสียสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

ชนิดไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม!!!

ตั้งแต่เริ่มก้าวยึดรหัสเรียกขาน “น.1” วันแรก พล.ต.ท.ศานิตย์ ก็เรียกเสียงฮือฮาด้วยการหักปากกา พล.ต.ท.ศรีวราห์ เซ็นถอนคำสั่งที่ “บิ๊กปู” เพิ่งเซ็นทิ้งทวนไว้ให้ พ.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บังคับการตำรวจจราจร (รอง ผบก.ตร.) ไป รักษาการผู้บังคับการตำรวจจราจร (รรท.ผบก.จร.) แทนพล.ต.ต.อภิสิทธิ์ เมืองเกษม อดีต ผบก.จร. ที่เกษียณอายุราชการไปเมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา

แล้วออกคำสั่งฉบับใหม่มอบหมายให้ “รองดุล” พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รอง ผบช.น. ไปรักษาการ ผบก.จร. แทน พ.ต.อ.เอกรักษ์ ด้วยเหตุผลเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและเกิดประสิทธิภาพในการสั่งและปฏิบัติหน้าที่ อาศัยอำนาจความในมาตรา 72 แห่ง พ.ร.บ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547

“ผมเห็นว่า การแต่งตั้งรักษาการ ผบก.จร. นั้น จะต้องทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ และหลักเกณฑ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยหากมีตำแหน่งว่างจะต้องมีการแต่งตั้งผู้ที่มีตำแหน่งเหนือกว่าขึ้นไปเข้ามารักษาราชการแทน หรือจะต้องให้รองผู้บังคับการที่อาวุโสสูงสุด เข้ารักษาการแทนในตำแหน่งนั้น ๆ เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบการและลดความขัดแย้งในการทำงาน”

แม้ พล.ต.ท.ศานิตย์ จะยืนยันการเปลี่ยนแปลงยึดตามระเบียบ หลักการ และความเหมาะสม เพื่อให้การแต่งตั้งเป็นไปด้วยความเสมอภาค ความยุติธรรม ถึงไม่ใช่การหักหน้าแต่ก็เหมือนเป็นการ “หักหน้า” โดยเฉพาะ พล.ต.ท.ศรีวราห์ ซึ่งเป็นผู้เซ็นคำสั่งดังกล่าวด้วยเหตุและผลคำบรรยายการเปลี่ยนแปลงคำสั่งที่ชี้แจงแถลงไขออกมาชัดเจนเช่นนั้น

ทั้ง ๆ ที่ต่างก็รับรู้กันอยู่ว่า “พล.ต.ท.ศรีวราห์” กับ “พล.ต.ท.ศานิตย์” ถึงจะเป็นนักเรียนนายร้อย (นรต.) รุ่นต่างกัน คนแรกเป็น นรต.รุ่น 35 คนหลัง นรต.34 แต่ก็เป็นคนบ้านเดียวกัน มีความสัมพันธ์สายตรง สร.1 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เหมือน ๆ กัน ซึ่งนั่นน่าจะสร้างร่องรอยแห่งความร้าวลึกไม่น้อย

เช่นเดียวกับ พ.ต.อ.เอกรักษ์ ที่แม้จะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาตามกฎ ตามระเบียบ แบบไม่มีสิทธิอุทธรณ์ โต้แย้ง แต่ลึก ๆ แล้ว ก็เชื่อว่า นายตำรวจที่มีบทบาทสำคัญร่วมกับพล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) ในการกวาดล้างเครือข่ายพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. และหมายมั่นปั่นมือจะขยับขึ้นเป็น “ผบก.จร.” ย่อมต้องรู้สึกต่อเรื่องนี้บ้างไม่มากก็น้อย

และดูเหมือนเรื่องการหักปากกายกเลิกคำสั่งตั้ง “รักษาการ ผบก.จร.” ยังไม่ทันจางหาย พล.ต.ต.ศานิตย์ ก็เขย่า “นครบาล” อีกระลอก ระหว่างไปตรวจเยี่ยม สน.บางรัก และได้กำชับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งที่ถูกส่งต่อกันมาตามโลกโซเชียล

“อย่าให้นายร้อย 53 ปี เป็นหัวหน้าจุด ว.43 (การตั้งด่านตรวจตามจุดต่าง) เอง เพื่อป้องกันการเรียกรับผลประโยชน์”

ทันทีที่ข้อความดังกล่าวหลุดรอดออกมา เหล่าบรรดา นายร้อย 53 หรือตำรวจชั้นประทวนที่เลื่อนขึ้นเป็น รองสารวัตร ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งไม่ใช่เพียง “นครบาล” แต่เป็นนายร้อย 53 ทั่วประเทศ ต่างมีปฏิกิริยาตอบโต้ข้อความของ พล.ต.ท.ศานิตย์ อย่างเผ็ดร้อน ดุเดือด เพราะไม่ใช่คำล้อเล่น แต่เป็นการดูถูกนายร้อย 53 จนถึงขนาด พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ รักษาการโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังแสดงความรู้สึกไม่สบายใจต่อปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากผู้ใต้บังคับบัญชาต่อผู้บังคับบัญชาครั้งนี้

กระทั่ง พล.ต.ท.ศานิตย์ ต้องออกมายืนยันไม่เจตนาจะไปดูถูกบุคคลใด สิ่งที่บอกออกไปก็ด้วยความรักและความปรารถนาดี อะไรที่ทำให้พี่น้องตำรวจเกิดความไม่สบายใจ ก็ไม่สบายใจเช่นเดียวกัน

“ผมเชื่อว่า นายร้อยตำรวจ อายุ 53 ปี หรือ รอง สว. ทุกคนเป็นคนดี ซึ่งมีเพียงบางส่วนทำอะไรนอกลู่นอกทาง ผมยืนยันว่า มีความรัก ความปรารถนาดี ไม่ได้คิดจะไปทำร้าย และไม่มีเจตนาดูหมิ่นอะไรทั้งนั้น ซึ่งผมไม่ได้ไปจับผิดคนอื่น เรื่องนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ เท่านั้น”

นอกจากนี้ ว่ากันว่า ช่วงนี้ในการเดินทางไปตรวจงานโรงพักใด “พล.ต.ท.ศานิตย์” ก็จะเรียก นายร้อย 53 มาทำความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี แม้ทั้งสองเหตุใหญ่ที่เกิดขึ้น พล.ต.ท.ศานิตย์ จะพยายามลดโทน ลดการปะทะ ลดความขัดแย้ง แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาให้เห็น ก็คือ ทุกย่างก้าวในการกุมบังเหียน “นครบาล” เต็มไปด้วยความ “มั่นใจ” ประเภทมี “แบ็กดี” เดินหน้าอย่างสบายใจไม่ต้องห่วง ไม่ต้องหวั่นเก้าอี้สั่นคลอน

จนคาดการณ์ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับ “นายพล” ล็อตสอง ตำแหน่ง รอง ผบช.- ผบก. ประจำปีที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา แม่ทัพใหญ่ ให้หน่วยขึ้นตรงสำนักงาน ผบ.ตร. ส่งบัญชีภายในวันที่ 12 ต.ค. และกองบัญชาการต่าง ๆ ส่งบัญชีแต่งตั้งไม่เกินวันที่ 16 ต.ค. เชื่อกันว่า “โผนครบาล” ต้องมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนมาก โดยเฉพาะ “6 รอง ผบช.” ที่ พล.ต.ท.ศรีวราห์ เคยเซ็นคำสั่งให้มาช่วยราชการไว้ก่อนจะขยับขึ้นไปรักษาการผู้ช่วย ผบ.ตร. เพียงไม่กี่วัน ทั้ง พล.ต.ต.รมสิทธิ์ วีริยาสรร รอง ผบช.ภ.4 พล.ต.ต.สรศักดิ์ เย็นเปรม รอง ผบช.ภ.6 พล.ต.ต.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ รอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.จำนงค์ รัตนกุล รอง จตร. พล.ต.ต.สุธีร์ เนรกัณฐี รอง จตร. และ พล.ต.ต.กรเอก เพชรไชยเวส รอง จตร. ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็น นรต.35 รุ่นเดียวกับ พล.ต.ท.ศรีวราห์ ไม่น่าจะได้โยกมา “นครบาล” ครบทุกคน

เช่นเดียวกับระดับ “ผู้บังคับการ” ซึ่ง พล.ต.ท.ศานิตย์ เคยเป็นอดีต ผบก.น.3 เก่า ก่อนออกไปโลดแล่นนอกนครบาลมาพักใหญ่ ย่อมต้องรู้ ต้องเข้าใจ พื้นที่แต่ละแห่งสำคัญขนาดไหน อย่างไร ทำเลทอง ทำเลเงิน ไม่น่าจะหลุดรอดสายตา จึงเชื่อว่า ระดับ “ผบก.” น่าจะเปลี่ยนแปลงกันขนานใหญ่เช่นกัน

กระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่ พล.ต.ท.ศานิตย์ ดำเนินการ แม้จะมีแบ็กดี มีแรงสนับสนุนเต็มที่ รวมทั้งมีอายุราชการอยู่บนเก้าอี้ ผบช.น. เพียงแค่ปีเดียวก่อนเกษียณอายุราชการปี 2559 แต่หากเข้าเกียร์ 5 เดินหน้าโดยไม่แตะเบรก ไม่สนใจใครทั้งนั้น ก็ต้องยอมรับการทำงานบนเก้าอี้ น.1 ในช่วงเวลา 1 ปีนับจากนี้

เหนื่อยแน่นอน.!!!

 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น