ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เปิดศักราชใหม่ปี 2559 ถ้า “ฟ้าไม่ถล่ม แผ่นดินไม่ทลาย” เมืองไทยก็ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อไปตลอดปี เพราะ “โรดแมป” ที่ คสช.วางไว้ยังเหลืออีกตั้งปีครึ่งเป็นอย่างน้อย
ความเปลี่ยนแปลงภายในรัฐบาล คสช.เชื่อว่าไม่เกินไตรมาสแรกคงจะมีให้เห็นแน่นอน แต่จะเป็นแนวไหนต้องลุ้นกันไปก่อน ทั้งปมร้อนๆอย่าง “อุทยานราชภักดิ์”ก็ยังไม่เคลียร์คัทชัดเจน ปมเศรษฐกิจก็ยังดิ่งเหวโงหัวไม่ขึ้น ราคาพืชผลทางการเกษตรก็ตกต่ำจนเตี้ยติดดิน เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า
จะถึงขั้น “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ล้มกระดานกันเลยหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าอะไรๆก็เกิดขึ้นได้
แต่ถ้าพูดถึงแง่การใช้อำนาจ ต้องบอกว่า “รัฐบาล คสช.” ยังแน่นปึ้ก นอกเหนือจากอำนาจของคณะรัฐประหารแล้ว ก็ยังเป็นยักษ์ที่ถือกระบองอันใหญ่ที่เรียกว่า“มาตรา 44” อยู่อีก ใครจะขยับอะไรที่ไม่เข้าท่า ไม่สบอารมณ์ “บิ๊กๆ คสช.” ก็คงถูกไล่จับไล่หวดอยู่เช่นเดิม
แต่ประเด็น “อำนาจล้นฟ้า” นี่แหละที่ทำให้รัฐบาล คสช.น่าเป็นห่วง เพราะเป็นเหมือน “ดาบสองคม” ที่มีอานุภาพทั้งในทาง “สร้างสรรค์” และ “ทำลาย”
“บิ๊กตู่..คือประเทศไทย”??
แง่หนึ่งภาพลักษณ์ของ “บิ๊กตู่” ผู้นำรัฐบาลดูเป็นกันเอง มีมุกให้ขำขันตลอดเวลา โด่งดังอย่างมากในโลกเชี่ยล จนมีคนเอาไปตั้งเป็นแฮชแท็ก #นายกเป็นคนตลก ในทวิตเตอร์ หรือไปตั้งเพจ “นายกเป็นคนตลก” ในเฟซบุ๊ก มีผู้กดไลค์ติกตามเป็นแสนๆคน
แต่อีกแง่หนึ่งภาพของ “บิ๊กตู่” ผู้นำรัฐบาลคนเดียวกัน ก็ไม่ต่างจาก “ระเบิดเวลา” ที่พร้อมจะด่ากราดระเบิดอารมณ์ใส่นักข่าวได้ตลอดเวลา จนบางครั้งก็ปรับจูนอารมณ์กันไม่ถูก บางวันตอนเช้าก็ชมการทำงานของสื่อมวลชนที่ติดตามหยาดเยิ้มหวานจ๋อย พอตกเย็นไม่รู้ไปกินอะไรผิดสำแดงมากลับตาลปัตรมาซัดกันโครมๆ
หรือเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก “บิ๊กตู่” พูดเสมอว่า พร้อมเปิดกว้างรับฟัง แต่พอมีใครแหลมมาวิพากษ์วิจารณ์ขัดหูก็มักถูกตอกกลับไปจนหน้าหงาย ดีไม่ดีมี “รถตราโล่ห์” โผล่ไปจอดอยู่หน้าบ้านเชิญไปจิบกาแฟในค่ายทหารเสียอีก เรื่องละเอียดอ่อนอย่าง “สิทธิเสรีภาพ” นี่เองที่มักถูกนำไปขยายความในเวทีต่างประเทศ ผ่านการนำเสนอของสื่อหัวใหญ่ๆ
ซ้ำร้ายคนที่ออกมาวิพากษ์รัฐบาล คสช. ทั้งการเมืองหรือบรรดาคอลัมนิสต์ก็จะถูกตีตราแปะหน้าทันทีว่า “ไม่รักชาติ” จนเกิดคำถามว่า สรุปใครคือ “ประเทศชาติ” หรือวันนี้ “บิ๊ก คสช.” คือว่าตัวเป็น “ประเทศชาติ” เสียแล้ว
อดคิดถึงบทเพลง “เพราะเธอ..คือประเทศไทย” ซิงเกิ้ลล่าสุดที่ “นายกฯตู่” เจียดเวลาจากการบริหารบ้านเมืองมารังสรรค์ถ้อยคำที่กลั่นออกมาจากความรู้สึกมอบเป็น “ของขวัญปีใหม่” ให้กับคนไทยทั้งประเทศ
ชื่อเพลงย้อนแยงสุดๆกับพฤติกรรมและภาพลักษณ์ที่ปรากฎต่อสาธารณชนเป็นอย่างยิ่ง จนไม่เข้าใจว่า “บิ๊กตู่” อยากบอกว่าประชาชนคนไทยว่า "เพราะเธอ..คือประเทศไทย" หรือ “กรู..คือประเทศไทย” กันแน่
ยิ่งไปกว่านั้น หลายนโยบายของรัฐบาล คสช.ยังมักทำให้เกิดคำถามขึ้นในสังคมว่า นี่กลายเป็นยุค “เผด็จการ” รวบอำนาจเบ็ดเสร็จ เฉกเช่นในอดีตที่ผ่านมาแล้วหรือ อย่างอำนาจตาม “มาตรา 44” ที่กล่าวถึงข้างต้น ก็ถึงขนาดถูกนำไปเทียบเคียงกับยุค “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์”
ตลอดจนแนวคิดเรื่อง “ซิงเกิ้ลเกตเวย์” ที่เคยจุดประเด็นออกมา โดยมีการอ้างตามเอกสารข้อสั่งการของ “นายกฯตู่” ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มอบหมายให้กระทรวงไอซีทีไปศึกษาแนวทางว่า ยังระบุเหตุผลของการซิงเกิ้ล เกตเวย์ ว่า “เพื่อใช้เป็นเครื่องมือควบคุมเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมและการไหลเข้าของข้อมูลข่าวสารจากต่างประเทศผ่านทางอินเทอร์เน็ตโดยหากติดข้อกฎหมายใดก็ให้เร่งดำเนินการออกกฎหมายต่อไป” ซึ่งวัตถุประสงค์หลักก็คงเพื่อแก้ปัญหาเวบหมิ่นสถาบัน และเวบไซต์ที่มีเนื้อหาปลุกปั่น
ทว่า เมื่อเรื่องนี้หลุดออกมา ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง “ชาวเน็ต” เพราะเห็นว่าเป็นการจำกัดประตูเข้าสู่อินเทอร์เน็ต “เกรียนออนไลน์” จำนวนมากจึงร่วมแสดงพลังไล่ถล่มเว็บไซต์ของภาครัฐเพื่อแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านแนวคิดดังกล่าว จนที่สุดก็ต้องพับเก็บเข้าลิ้นชักไป เช่นเดียวกับแนวคิดใส่ “อาชีพ-รายได้” ไว้ในบัตรประชาชนที่ถูกมองว่า เป็นการละเมิดสิทธิ จนรัฐบาลต้องถอยกรูดแบบไม่เป็นท่า
ไม่เท่านั้น “บิ๊กตู่” ยังเคยหลุดปากพูดถึงแนวคิด “ปิดประเทศ” ออกมาอีก ทำเอาแตกตื่นกันทั้งประเทศ ที่สุด “นายกฯตู่” ต้องออกมากล่าว “ขอโทษ” หลายครั้งเรื่องถึงจะเงียบไป
ล่าสุด สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปแห่ชาติ (สปท.) ในฐานะ 1 ในแม่น้ำ 5 สายของ คสช. ยังมีไอเดียสุดบรรเจิด จุดพลุให้ “หัวหน้า คสช.” ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ในการปิดกั้น “โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค” บางแห่ง ฐานเป็นแหล่งเพาะบ่มของขบวนการสร้างความแตกแยก จาบจ้วงและหมิ่นสภาบัน อีกทั้งยังครอบคลุมยาก เพราะเป็นเครือข่ายที่มีฐานข้อมูลอยู่ในต่างประเทศ ทั้ง “ไลน์ - ยูทิปว์ - เฟซบุ๊ค - ทวิตเตอร์” ต่างๆเหล่านี้เข้าข่ายหมด
หลากแนวคิด หลายไอเดีย ที่ทั้ง “บิ๊ก คสช.” คิดขึ้นมา หรือบรรดา “ลิ่วล้อ” ใส่พานนำเสนอ ล้วนแล้วแต่อันตรายต่อเสถียรภาพของรัฐบาล คสช.ทั้งสิ้น เพราะหลายเรื่องเป็นแนวคิดที่ “ย้อนยุค” แถมส่งให้ภาพของ คสช.เป็นเผด็จการมากขึ้นไปทุกขณะ ถ้า “บิ๊ก คสช.” ทะลึ่งรับลูกขึ้นมาก็นึกไม่ออกว่าจะอยู่ไปได้ซักกี่น้ำ
ทั้งเรื่อง “อารมณ์” กับ “ไอเดียเพี้ยนๆ” จึงเป็นเรื่องที่ “บิ๊กตู่” ควรระวัง ถ้ายังอยากไปต่อ
เหนือ “ต.ตู่” ยังมี “ป.ป้อม” ใหญ่คับเมือง
แม้กรณีของ “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะแตกต่างกับกรณีของ “เหลี่ยมดูไบ” ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี กับ “หนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะกรณีหลังเป็นเรื่องของ “นอมินี” ในสายเลือดที่ถูกส่งมาให้บริหารประเทศ
ขณะที่ “บิ๊กตู่” ต้องบริหารในฐานะผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ทำรัฐประหาร มีความเป็นผู้นำ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “บิ๊กป้อม” เองก็มีอำนาจแทบจะเบ็ดเสร็จขาดใน “รัฐบาลลายพราง” ชุดนี้ ไม่ต่างจากตอนที่ “ยิ่งลักษณ์” บริหารประเทศ แล้วศูนย์รวมอำนาจกลับไปอยู่ที่ “ทักษิณ” ซึ่งการตัดสินใจใดๆ หรือแม้แต่การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องวิ่งเข้าหา “คนแดนไกล” เกือบทั้งหมด
จะต่างกันชัดๆก็ตรงที่ “บิ๊กตู่” คิดเป็น และมีอำนาจตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ในขณะที่ “ยิ่งลักษณ์” ส่วนใหญ่ถูกกำหนดให้เดินตามเกมที่พี่ชายเขียนบทไว้ให้
หากจะบอกว่า ตั้งแต่ “บิ๊กตู่” เข้ามากระชากอำนาจออกจากอ้อมอก “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ก็มีเงาของ “บิ๊กป้อม” ทาบทับมาตลอดก็คงไม่ผิดนัก แม้กระทั่งการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ก็ยากที่จะบอกปัดว่า “บิ๊กป้อม” ไม่รับรู้มาก่อน ซึ่งอย่างที่ทราบกันดี “พี่น้องบูรพาพยัคฆ์” โดยเฉพาะก๊วน “3 ป.” พี่ใหญ่อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร พี่รองอย่าง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และน้องเล็ก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ ปรึกษากันทุกเรื่อง
การรัฐประหารครั้งนั้น แม้ “บิ๊กตู่” จะเป็นผู้บัญชาทหารบก (ผบ.ทบ.) มีกำลังพลอยู่ในมือ แต่ลำพังเท่านั้นคงไม่เพียงพอในการจะควบคุมสถานการณ์ภายในประเทศให้อยู่หมัด เพราะเรื่องนี้ต้องพึ่งบุคคลที่มีบารมีในกองทัพ เป็นที่เคารพนับถือมีเพื่อนพ้องน้องพี่มากมาย ซึ่งในราย “บิ๊กป้อม” เป็นคนที่มีขุมข่ายกว้างขวาง
จริงอยู่ “บิ๊กตู่” อาจจะไม่ใช่ “นอมินี” ของ “บิ๊กป้อม” เพียงแต่หลายเรื่องต้องมีพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์คอยตัดสินใจ โดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้ง ที่แทบจะยกยอดไปให้เกือบทั้งหมด ยกเว้นบางคนที่ “บิ๊กตู่” ขอเลือกเอง
ทำให้แต่ละครั้งมีการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญๆ ถนนทุกสายมักจะวิ่งตรงไปอย่าง “มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด” ฐานบัญชาการของ “บิ๊กป้อม”
"ราหู" ยังต้องหลบ เมื่อ “ราหมู” อมเมือง
ตั้งแต่เมื่อครั้งตั้งรัฐบาลใหม่ๆ เสนาบดีส่วนใหญ่ก็มาจากคนที่มีความสนิทสนมกับ “บิ๊กป้อม” แทบทั้งนั้น โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจที่นำโดย “คุณชายอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ที่เป็นศิษย์ร่วมสถาบัน “เซนต์คาเบรียลคอนเนกชั่น” กับพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์
ขุมข่ายด้านความมั่นคงแทบไม่ต้องพูดถึง “บิ๊กป้อม” รับสัมปทานเลือกเองหมดแทบจะทุกเหล่าทัพ เห็นชัดๆ ก็เก้าอี้ ผบ.ทบ.ของ “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย นาควานิชน้องเลิฟจากบูรพาพยัคฆ์อีกคน ที่ช่วงโค้งสุดท้ายมีข่าวว่า “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร อดีตผบ.ทบ. จะเสนอชื่อ “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชาย “บิ๊กตู่” ขึ้น แต่สุดท้ายอิทธิฤทธิ์พี่ใหญ่ขลังกว่า
ไม่เว้นแม้กระทั่งน้องรักอีกคนอย่าง “บิ๊กอู๊ด” พล.อ.วลิต โรจนภักดี เจ้าของสมญานามมือปราบเสื้อแดง ที่ต้องตกระกำลำบากก่อนหน้านี้ในยุค “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” มาถึงยุคนี้ก็เอากลับมาเกษียณในตำแหน่งที่สมเกียรติอย่างเก้าอี้รอง ผบ.ทบ.
พอๆ กับการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ทั้ง 2 ครั้งในยุค คสช. คนสนิท “บิ๊กป้อม” เถลิงเก้าอี้เบอร์หนึ่งกรมปทุมวันทั้งหมด ทั้ง “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. ที่ยังเคยสารภาพเลยว่า หากไม่มีรัฐประหารเขาไม่มีวันได้มานั่งตรงนี้ หรือกรณีล่าสุด “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ซึ่งอาวุโสน้อยสุดในบรรดารองผบ.ตร.ทั้งหมด แต่ “ฟาสแทร็ก” แซง คนอื่นๆ ขึ้นมานั่ง ผบ.ตร. ด้วยบารมีพี่ใหญ่
ทำเอา “บิ๊กเอก” พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ที่เป็นรอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับหนึ่ง ต้องมานั่งเช็ดน้ำตา กับรางวัลปลอบใจในเก้าอี้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแทน
ที่พวกร้องยี้หนักสุด น่าจะเป็นในคิวของ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ที่ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีของ “บิ๊กป้อม” และเก้าอี้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แต่หัววัน ไปสมัครเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่า ตัวเองจะผ่านการสรรหาหรือไม่ จนหลายคนเพ่งเล็งไปที่ความสัมพันธ์กับ “บ้านวงษ์สุวรรณ” ที่ “บิ๊กกุ้ย” ซี้ปึ้กทั้ง “บิ๊กป้อม” และ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. ซึ่งเป็นนายเก่า
ซึ่งก็ไม่ผิดคาด “บิ๊กกุ้ย” สามารถผ่านการสรรหาไปอย่างสบายเกือก แถมผงาดถึงเก้าอี้ “ประธาน ป.ป.ช.” คนใหม่ ด้วยคะแนนท่วมท้น ในขณะที่กรรมการป.ป.ช.อีก 4 คนที่ได้รับการเลือก พลิกแฟ้มประวัติต่างก็เข้าถึง “บิ๊กป้อม” ได้ทั้งสิ้น
จนหลายคนกระแทกแดกดันว่า 9 ปีหลังจากนี้ หน่วยปราบโกงจะเป็นอีกหนึ่งขุมอำนาจของพี่ใหญ่ที่ซ่อนรูปอยู่
นอกจากการแต่งตั้งที่เห็นกันเนื้อๆ หนังๆ การตัดสินใจเรื่องทิศทางรัฐบาลก็มีส่วนเยอะ ที่เหม็นหึ่งจนชาวบ้านยังรู้ หนีไม่พ้นการส่งสัญญาณให้สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ทำแท้งร่างรัฐธรรมนูญฉบับของ “ดร.ปื๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อยืดโรดแม็ปออกไป โดยมีเก้าอี้สภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ (สปท.) รองก้นสำหรับคนที่ยกมือ “ไม่รับร่าง” เป็นของบำเหน็จ จน “ดร.ปื๊ด” กระอักเลือด เสมือนหนึ่งโดนหักหลัง
ในส่วนของการแต่งตั้ง สปท. ก็เช่นเดียวกัน ถ้าจะพูดว่า ที่มานั่งกันตรงนี้ค่อนข้างสปท. ส่วนใหญ่พี่ใหญ่ก็เป็นคนคัดมาทั้งสิ้น หรือแม้แต่การแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ชุดใหม่ ก็ “บิ๊กป้อม” กับ “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นี่แหละต่อสายทาบทามหลายคน
ตลอดจนการปฏิบัติการ “เด็ดหัวยิ่งลักษณ์” กรณีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติถอดถอนออกจากตำแหน่ง ซึ่งแต่เดิมมีข่าวลือหนาหูว่า “บิ๊กป้อม” เน้นปรองดอง ตั้งใจปล่อยเสือเข้าป่า หลังคนสนิทอย่าง “บิ๊กกี่” พล.อ.นพดล อินทปัญญา สมาชิก สนช. ออกตัวแรงว่าไม่สามารถอดถอนได้ แต่ด้วยกระแสต้านจากสังคม สุดท้ายพี่ใหญ่ก็ฝืนไม่ไหว ต้องส่งซิกใหม่ไปยังเครือข่ายส่วนใหญ่ใน สนช.ที่เป็นทหาร ให้เชือดคอ “ยิ่งลักษณ์” ขาดวิ่น
ดังจะเห็นว่า แทบจะไม่มีเรื่องไหนเลยที่ไม่มีชื่อ “บิ๊กป้อม” เข้าไปเกี่ยวข้อง จนคนค่อนแคะกันว่า สงสัยถ้าไม่ติดเรื่องภาพลักษณ์ป่านนี้นายกรัฐมนตรีคงชื่อ“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ไปแล้ว
หรือไม่ก็มีเสียงถากถางออกมาเยอะว่า นานวันเข้า “ชายร่างท้วม” มักจะทำตัวคล้ายๆ กับ “ชายหน้าเหลี่ยม” ที่ชอบแต่งตั้งญาติสนิทมิตรสหายเข้าไปนั่งในตำแหน่งสำคัญๆ เข้าไปทุกที จะต่างกันก็ตรงที่รายหลังถูกจับได้คาหนังคาเขาว่า “โกงชาติ” ส่วนรายแรกยังไม่มีชนักติดหลังแบบจั๋งๆ
ความทรงอิทธิพลของ “บิ๊กป้อม” รู้กันดีทั่วคุ้งทั่วแคว้น และถูกยกให้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่คนหนึ่งในบ้านเมือง ล่าสุดในการเปิดบ้านให้ “ผู้น้อย” เข้าอวยพรในเทศกาลปีใหม่ซึ่งเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมา ก็เกิดเหตุการณ์ “ปาดหน้า” กันเล็กๆ
เมื่อ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ แจ้งว่าจะเปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ ให้ “นายกฯตู่” นำ ครม.และผู้นำเหล่าทัพเข้าอวยพร ในช่วง 9 โมงเช้าของวันที่ 30 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา วันเดียวกัน “บิ๊กป้อม” ก็จัดคิวให้ปลัดกระทรวงกลาโหมนำน้องๆ ผบ.เหล่าทัพเข้าอวยพร ตั้งแต่นัดกันเช้าตรู่ 6 โมงครึ่ง ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ก่อนเดินทางมาที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ด้วย
จะตั้งใจปาดหน้า หรือเป็นความบังเอิญ ก็คงต้องตีความกันเอาเอง
แต่วันนี้ความทรงอิทธิพลของ “พี่ป้อม” จะว่าไปก้าวข้ามระดับ “บิ๊ก” ไปแล้ว แต่กำลังไต่ขึ้นไปสู่ระดับ “ป๋า” ที่ใครๆ ก็เข้าหาหัวบันไดบ้านไม่เคยแห้ง
ประเทศไทยช่วงนี้ “ราหมู” กำลังอมเมืองเกือบจะเต็มใบแล้ว