เมื่อเวลา 06.30 น. วานนี้ (28 ธ.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.และคณะเดินทางลงพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเยี่ยมชมการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ก่อนเดินทางต่อไปยัง จ.สงขลา เพื่อตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมยาง (Rubber city)และเศรษฐกิจพิเศษ พร้อมเปิดอาคารด่านพรหมแดนสะเดาขาออก ที่อ.สะเดา จ. สงขลา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวก่อนเดินทางว่า จะไปติดตามผลการทำงาน หลังจากได้ออกนโยบายและสั่งการในหลายๆเรื่องไปแล้ว รวมถึงติดตามการใช่จ่ายงบประมาณในการดูแลเกษตรกร ซึ่งมีหลายอาชีพ โดยภาคใต้ จะเน้นการช่วยเหลือชาวสวนยาง ตามที่ได้อนุมัติงบประมาณไปแล้ว รวมถึงการเพิ่มศักยภาพรายได้ เช่น การปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ เพื่อเพิ่มรายได้ สร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร รวมทั้งไปดูโครงการนิคมอุตสาหกรรมยาง ที่กำลังจะเกิดขึ้น ถ้าไม่มีเหตุติดขัดจะสามารถเริ่มได้ในปี 2559 โดยใช้ในการแปรรูปยางพาราชั้นต้น ชั้นกลาง เพื่อไปใช้ในอุสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งจะไปดูการเตรียมการเรื่องด่านชายแดน ที่เชื่อมต่อระหว่างไทย กับมาเลเซีย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายกและคณะเดินทา
ถึงจ.สุราษฎณ์ธานี้ ก็ได้ไปเยี่ยมบ้านนายวิสูตร คันทรักษา เกษตรกรชาวสวนยาง หมู่ที่ 4 ต.ท่าเรือ อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ธานี ที่มีการปลูกกล้วยหอมทอง แซมในสวนยางพารา เพื่อสร้างรายได้เสริม โดยมี นายวงศศิริ พรหมชนะ ผู้ว่าฯ จ.สุราษฎร์ธานี ข้าราชการระดับสูง ผู้บริหารส่วนท้องถิ่น เกษตรกรชาวสวนยาง และเกษตรกรปลูกกล้วยหอมทอง ประชาชน มาคอยให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ประชาชนที่มาต้อนรับ ได้อวยพรให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯไปอีก 10 ปี ขณะที่ นายกฯ ยิ้ม แล้วกล่าวตอนหนึ่งว่า "หนังสือพิมพ์ลงแล้วไม่ใช่หรือว่า ใครเป็นนายกฯคนต่อไป หมอดูอีที ก็ทำนายแล้วนี่ว่า ใครเป็นนายกฯคนต่อไป ผมไม่ใช่นักการเมือง เข้ามาช่วยลดความขัดแย้ง ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ก็ขอให้ช่วยกันสร้างความสงบให้กับประเทศชาติ ไม่ใช่ว่าใครเขามาหลอกอะไร ให้เงิน หรือให้อะไรก็ไปกับเขาหมด"
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปยังโรงเรียนบ้านหนองเรียน อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเยี่ยมชมนิทรรศการโครงการประชารัฐ โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พร้อมกับมอบเงินช่วยเหลือโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง จำนวน 50 ราย และมอบเงินช่วยเหลือโครงการฟื้นฟูกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจำนวน 50 ราย จากนั้น นายกฯได้พบปะกับประชาชนมาต้อนรับกว่า 2 พันคน
โอกาสนี้ นายกฯ ได้ขอให้ประชาชนร่วมมือกันในการแก้ปัญหาของประเทศชาติ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ โดยเริ่มจากชุมชนให้การพัฒนาส่งเสริมเกษตรกรรม เพื่อขยายไปยังตำบล อำเภอ กลุ่มจังหวัด ขยายสู่การค้าชายแดน การค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ไปจนถึงประเทศอาเซียน ไปจนถึงโลก
** ยันไม่เลิกโครงการบัตรทอง30 บาท
นายกฯยังกล่าวถึงปัญหาด้านงบประมาณของประเทศว่า ประเทศไทยมีคน 70 ล้านคน อยู่ในระบบภาษี 10 ล้านคน เหลือเสียภาษีประมาณ 4 ล้านคน อีก 6 ล้านคน ลดหย่อนตรงนั้นตรงนี้ ดังนั้น 4 ล้านคน ถือเป็นหลักของประเทศ เพื่อนำมาขับเคลื่อนประเทศ ทุกวันนี้ประเทศไทยงบประมาณขาดดุลเป็นอย่างนี้มาทุกปี เพราะรายจ่ายมากกว่ารายได้ จึงเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ดังนั้น จะยกเลิกเรื่องรัฐสวัสดิการไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี การศึกษาฟรี การรักษาพยาบาลฟรี เพราะฉะนั้นอย่าไปฟังใครบิดเบือน ตนไม่เคยคิดที่จะเลิก มีแต่จะคิดว่าหาเงินมาจากไหน แล้วทำให้ดีขึ้นอย่างไร
"อย่าออกมาเดินขบวนต่อต้านเรื่อง 30 บาทกับผมอีก ได้ยินกันทุกคนแล้วนะ ขอถือโอกาสชี้แจงเลย และต่อไปถ้าทุกคนสามารถมีหมายเลขของตัวเองได้ ไม่ได้จะเอามาประจานอะไรอย่างที่เขาเอาไปว่า บัตรประชาชนก็คือบัตรประชาชน แล้วยังจะต้องมีบัตรให้คนที่ไม่ได้เสียภาษี เพื่อเป็นข้อมูลเก็บเอาไว้เฉยๆ เพื่อให้เขาไปใช้รัฐสวัสดิการ ขึ้นรถเมล์ฟรี ขึ้นรถไฟฟรี หรือวันหน้าถ้าทำได้ ก็อาจจะเอาไปขึ้นรถไฟฟ้าฟรีก็ได้ และมีอีกหลายอย่างที่จะนำมาสู่ในเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องของอนาคตที่รัฐบาลทำอยู่ ไม่มีการแบ่งชนชั้น อย่ากังวล ไม่ใช่เอามาเขียนประจานในบัตรอย่างที่เขาว่าเสียหน่อย ไม่ได้เขียนประจานบนบัตร ก็เหมือนแค่บัตรเครดิตใบหนึ่ง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
** รับปากทุ่มงบลงมาพัฒนาภาคใต้
ต่อมานายกรัฐมนตรีและคณะ ได้ร่วมประชุมหารือกับคณะกรรมการ กรอ.ส่วนกลาง และคณะกรรมการกรอ.กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ที่อาคารกองบังคับการกองบิน 7 จ.สุราษฎร์ธานี โดยใช้เวลาประชุมชั่วโมงเศษ จากนั้นนายกฯแถลงว่า จะจัดสรรงบประมาณลงมาภาคใต้ให้เพียงพอ เพื่อแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง จะเร่งรัดในการก่อสร้างถนน เส้นทางคมนาคม เพื่อให้เป็นสองเลนและสี่เลน โดยถนนจะต้องดีก่อน แล้วรถไฟค่อยไปดูกันในระยะยาว นอกจากนี้ต้องส่งเสริมเรื่องการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งทางพื้นที่เขาต้องการเลี้ยงโคขุนศรีวิชัย ซึ่งเป็นพันธุ์ท้องถิ่น ตนจึงได้อนุมัติแล้ว เพื่อให้สามารถเลี้ยงกันได้มากขึ้น และจะต้องไปเน้นที่เรื่องการแปรรูปให้มากขึ้นด้วย เช่น ทำเนื้อแผ่น เนื้อรมควันหรือไส้กรอก โดยนอกจากขายในพื้นที่แล้วก็พยายามหาตลาดขยายที่อื่นด้วย อีกทั้งจะต้องหาคนมาร่วมลงทุนในพื้นที่ให้เพิ่มจากท้องที่ที่มีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ทางด้านเศรษฐกิจจะต้องทำให้ประชาชนมีอาชีพเสริม ไม่ว่าจะด้านเกษตรกรรม หรือเลี้ยงสัตว์ เช่น เลี้ยงโค หรือแพะ
** “สุรเชษฐ์” ปลื้ม “ลดเวลาเรียนฯ” ร.ร.ภาคเหนือ
วันเดียวกัน พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ พร้อมคณะได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนน่านปัญญานุกูล และโรงเรียนบ้านน้ำโค้ง จ.น่าน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนตามนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ โดยได้จัดกิจกรรมในรูปแบบต่างๆเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ และมีทักษะพื้นฐาน ในเรื่องของกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเพื่อการมีงานทำ รวมไปถึงกิจกรรมส่งเสริมความสามารถทางด้านศิลปะ ดนตรี และกีฬา โดย พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวพึงพอใจในการดำเนินงานของทั้ง 2 โรงเรียนว่า ภาพรวมของการดำเนินกิจกรรมตามนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ในเขตภาคเหนือ มีผลการดำเนินการที่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และดำเนินการตามหัวใจหลัก 4 H คือ 1.พัฒนาสมอง (Head) ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน 2.พัฒนาจิตใจ (Heart) ด้วยกิจกรรมจิตอาสา จริยธรรม และศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน 3.พัฒนาทักษะการปฏิบัติ (Hand) ด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์งานประดิษฐ์ การงานอาชีพ ศิลปะดนตรี และคอมพิวเตอร์ และ 4.พัฒนาสุขภาพ (Health) พลศึกษาและดนตรี
“กระทรวงศึกษาธิการจะสนับสนุนการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องให้ครอบคลุมทุกโรงเรียนทุกสังกัด ทั่วประเทศ ภายในปี 2559 ต่อไป” พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวก่อนเดินทางว่า จะไปติดตามผลการทำงาน หลังจากได้ออกนโยบายและสั่งการในหลายๆเรื่องไปแล้ว รวมถึงติดตามการใช่จ่ายงบประมาณในการดูแลเกษตรกร ซึ่งมีหลายอาชีพ โดยภาคใต้ จะเน้นการช่วยเหลือชาวสวนยาง ตามที่ได้อนุมัติงบประมาณไปแล้ว รวมถึงการเพิ่มศักยภาพรายได้ เช่น การปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ เพื่อเพิ่มรายได้ สร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร รวมทั้งไปดูโครงการนิคมอุตสาหกรรมยาง ที่กำลังจะเกิดขึ้น ถ้าไม่มีเหตุติดขัดจะสามารถเริ่มได้ในปี 2559 โดยใช้ในการแปรรูปยางพาราชั้นต้น ชั้นกลาง เพื่อไปใช้ในอุสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งจะไปดูการเตรียมการเรื่องด่านชายแดน ที่เชื่อมต่อระหว่างไทย กับมาเลเซีย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายกและคณะเดินทา
ถึงจ.สุราษฎณ์ธานี้ ก็ได้ไปเยี่ยมบ้านนายวิสูตร คันทรักษา เกษตรกรชาวสวนยาง หมู่ที่ 4 ต.ท่าเรือ อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ธานี ที่มีการปลูกกล้วยหอมทอง แซมในสวนยางพารา เพื่อสร้างรายได้เสริม โดยมี นายวงศศิริ พรหมชนะ ผู้ว่าฯ จ.สุราษฎร์ธานี ข้าราชการระดับสูง ผู้บริหารส่วนท้องถิ่น เกษตรกรชาวสวนยาง และเกษตรกรปลูกกล้วยหอมทอง ประชาชน มาคอยให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ประชาชนที่มาต้อนรับ ได้อวยพรให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯไปอีก 10 ปี ขณะที่ นายกฯ ยิ้ม แล้วกล่าวตอนหนึ่งว่า "หนังสือพิมพ์ลงแล้วไม่ใช่หรือว่า ใครเป็นนายกฯคนต่อไป หมอดูอีที ก็ทำนายแล้วนี่ว่า ใครเป็นนายกฯคนต่อไป ผมไม่ใช่นักการเมือง เข้ามาช่วยลดความขัดแย้ง ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ก็ขอให้ช่วยกันสร้างความสงบให้กับประเทศชาติ ไม่ใช่ว่าใครเขามาหลอกอะไร ให้เงิน หรือให้อะไรก็ไปกับเขาหมด"
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปยังโรงเรียนบ้านหนองเรียน อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเยี่ยมชมนิทรรศการโครงการประชารัฐ โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พร้อมกับมอบเงินช่วยเหลือโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง จำนวน 50 ราย และมอบเงินช่วยเหลือโครงการฟื้นฟูกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจำนวน 50 ราย จากนั้น นายกฯได้พบปะกับประชาชนมาต้อนรับกว่า 2 พันคน
โอกาสนี้ นายกฯ ได้ขอให้ประชาชนร่วมมือกันในการแก้ปัญหาของประเทศชาติ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ โดยเริ่มจากชุมชนให้การพัฒนาส่งเสริมเกษตรกรรม เพื่อขยายไปยังตำบล อำเภอ กลุ่มจังหวัด ขยายสู่การค้าชายแดน การค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ไปจนถึงประเทศอาเซียน ไปจนถึงโลก
** ยันไม่เลิกโครงการบัตรทอง30 บาท
นายกฯยังกล่าวถึงปัญหาด้านงบประมาณของประเทศว่า ประเทศไทยมีคน 70 ล้านคน อยู่ในระบบภาษี 10 ล้านคน เหลือเสียภาษีประมาณ 4 ล้านคน อีก 6 ล้านคน ลดหย่อนตรงนั้นตรงนี้ ดังนั้น 4 ล้านคน ถือเป็นหลักของประเทศ เพื่อนำมาขับเคลื่อนประเทศ ทุกวันนี้ประเทศไทยงบประมาณขาดดุลเป็นอย่างนี้มาทุกปี เพราะรายจ่ายมากกว่ารายได้ จึงเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ดังนั้น จะยกเลิกเรื่องรัฐสวัสดิการไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี การศึกษาฟรี การรักษาพยาบาลฟรี เพราะฉะนั้นอย่าไปฟังใครบิดเบือน ตนไม่เคยคิดที่จะเลิก มีแต่จะคิดว่าหาเงินมาจากไหน แล้วทำให้ดีขึ้นอย่างไร
"อย่าออกมาเดินขบวนต่อต้านเรื่อง 30 บาทกับผมอีก ได้ยินกันทุกคนแล้วนะ ขอถือโอกาสชี้แจงเลย และต่อไปถ้าทุกคนสามารถมีหมายเลขของตัวเองได้ ไม่ได้จะเอามาประจานอะไรอย่างที่เขาเอาไปว่า บัตรประชาชนก็คือบัตรประชาชน แล้วยังจะต้องมีบัตรให้คนที่ไม่ได้เสียภาษี เพื่อเป็นข้อมูลเก็บเอาไว้เฉยๆ เพื่อให้เขาไปใช้รัฐสวัสดิการ ขึ้นรถเมล์ฟรี ขึ้นรถไฟฟรี หรือวันหน้าถ้าทำได้ ก็อาจจะเอาไปขึ้นรถไฟฟ้าฟรีก็ได้ และมีอีกหลายอย่างที่จะนำมาสู่ในเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องของอนาคตที่รัฐบาลทำอยู่ ไม่มีการแบ่งชนชั้น อย่ากังวล ไม่ใช่เอามาเขียนประจานในบัตรอย่างที่เขาว่าเสียหน่อย ไม่ได้เขียนประจานบนบัตร ก็เหมือนแค่บัตรเครดิตใบหนึ่ง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
** รับปากทุ่มงบลงมาพัฒนาภาคใต้
ต่อมานายกรัฐมนตรีและคณะ ได้ร่วมประชุมหารือกับคณะกรรมการ กรอ.ส่วนกลาง และคณะกรรมการกรอ.กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ที่อาคารกองบังคับการกองบิน 7 จ.สุราษฎร์ธานี โดยใช้เวลาประชุมชั่วโมงเศษ จากนั้นนายกฯแถลงว่า จะจัดสรรงบประมาณลงมาภาคใต้ให้เพียงพอ เพื่อแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง จะเร่งรัดในการก่อสร้างถนน เส้นทางคมนาคม เพื่อให้เป็นสองเลนและสี่เลน โดยถนนจะต้องดีก่อน แล้วรถไฟค่อยไปดูกันในระยะยาว นอกจากนี้ต้องส่งเสริมเรื่องการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งทางพื้นที่เขาต้องการเลี้ยงโคขุนศรีวิชัย ซึ่งเป็นพันธุ์ท้องถิ่น ตนจึงได้อนุมัติแล้ว เพื่อให้สามารถเลี้ยงกันได้มากขึ้น และจะต้องไปเน้นที่เรื่องการแปรรูปให้มากขึ้นด้วย เช่น ทำเนื้อแผ่น เนื้อรมควันหรือไส้กรอก โดยนอกจากขายในพื้นที่แล้วก็พยายามหาตลาดขยายที่อื่นด้วย อีกทั้งจะต้องหาคนมาร่วมลงทุนในพื้นที่ให้เพิ่มจากท้องที่ที่มีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ทางด้านเศรษฐกิจจะต้องทำให้ประชาชนมีอาชีพเสริม ไม่ว่าจะด้านเกษตรกรรม หรือเลี้ยงสัตว์ เช่น เลี้ยงโค หรือแพะ
** “สุรเชษฐ์” ปลื้ม “ลดเวลาเรียนฯ” ร.ร.ภาคเหนือ
วันเดียวกัน พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ พร้อมคณะได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนน่านปัญญานุกูล และโรงเรียนบ้านน้ำโค้ง จ.น่าน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนตามนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ โดยได้จัดกิจกรรมในรูปแบบต่างๆเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ และมีทักษะพื้นฐาน ในเรื่องของกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเพื่อการมีงานทำ รวมไปถึงกิจกรรมส่งเสริมความสามารถทางด้านศิลปะ ดนตรี และกีฬา โดย พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวพึงพอใจในการดำเนินงานของทั้ง 2 โรงเรียนว่า ภาพรวมของการดำเนินกิจกรรมตามนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ในเขตภาคเหนือ มีผลการดำเนินการที่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และดำเนินการตามหัวใจหลัก 4 H คือ 1.พัฒนาสมอง (Head) ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน 2.พัฒนาจิตใจ (Heart) ด้วยกิจกรรมจิตอาสา จริยธรรม และศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน 3.พัฒนาทักษะการปฏิบัติ (Hand) ด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์งานประดิษฐ์ การงานอาชีพ ศิลปะดนตรี และคอมพิวเตอร์ และ 4.พัฒนาสุขภาพ (Health) พลศึกษาและดนตรี
“กระทรวงศึกษาธิการจะสนับสนุนการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องให้ครอบคลุมทุกโรงเรียนทุกสังกัด ทั่วประเทศ ภายในปี 2559 ต่อไป” พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว