xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อกูรูสิ้นคิดคุมเศรษฐกิจของชาติ

เผยแพร่:   โดย: ไสว บุญมา

ผัดกะเพรามักเป็นกับข้าวยอดนิยมของอาหารจานเดียว ทั้งนี้เพราะไม่ว่าจะผัดกับอะไรกะเพราทำให้มันอร่อยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกับไก่ กับกุ้ง กับเนื้อ หรือแม้แต่กับเต้าหู้ เมื่อผู้เข้าไปในร้านอาหารไม่แน่ใจว่าอะไรจะถูกปากก็มักสั่งข้าวราดผัดกะเพรากับอะไรสักอย่างและบางทีก็เพิ่มไข่ดาวเข้าไปเพื่อให้คุณค่าของอาหารสูงขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้เรียกผัดกะเพราแบบขบขันว่าเป็นอาหาร “สิ้นคิด” ในทำนองเดียวกัน จากวันที่มีการนำนโยบายประชานิยมแบบเลวร้ายเข้ามาใช้ในปี 2544 เมื่อรัฐบาลต้องการให้เพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจก็มักเชิญกูรู “สิ้นคิด” ให้มารับตำแหน่งรัฐมนตรีที่ควบคุมดูแลด้านเศรษฐกิจของประเทศสั่งผัดกะเพรากินไม่เสียหายแถมยังอาจได้ความขบขัน ส่วนนโยบายเศรษฐกิจของกูรูสิ้นคิดนั้นนอกจากจะไม่มีวันขบขันแล้วมันยังจะทำให้เมืองไทยติดหล่มจนล่มจมอีกด้วย

คนไทยส่วนใหญ่ควรจะพอเข้าใจแล้วว่า นโยบายประชานิยมแบบเลวร้ายสร้างความเสียหายอย่างไรบ้าง ทั้งนี้เพราะทุกวันนี้ยังมีข้าวเน่าอยู่ตามโกดังเกือบทั่วทั้งประเทศ และผลสุดท้ายนโยบายอันแสนเลวร้ายนั้นจะทำความเสียหายหลายแสนล้านบาทให้แก่ชาติไทย หากยังไม่เข้าใจก็คงทึบเกินไปจนแก้ไม่ไหวแล้ว

ข้าวเน่านั้นอาจหมดไปในเวลาอีกไม่นาน แต่นโยบายสิ้นคิดจะทิ้งหลักฐานไว้ให้ดูอยู่นานเป็นสิบๆ ปี ขอนำอาคารที่อำเภอบ้านนามาเป็นตัวอย่าง

ยังคงจำกันได้ว่า หลังรัฐบาลจากการเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศเมื่อปี 2544 มีโครงการใหม่ๆ ทยอยกันออกมาแทบไม่เว้นแต่ละวัน ในจำนวนนั้นมีโครงการ “หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์” รวมอยู่ด้วย โครงการอันใหญ่โตมโหฬารนั้นมีการตลาดนำหน้าและมักเรียกกันสั้นๆ ตามคำย่อฝรั่งอย่างโก้หรูว่า OTOP (One Tambon, One Product)

โครงการมีกิจกรรมประชาสัมพันธ์แนวตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอย่างต่อเนื่องและแพร่หลายเท่านั้นไม่พอ ยังมีการก่อสร้างอาคารถาวรขึ้นมาเพื่อจัดแสดงและขายสินค้าอีกมากมาย แต่ผลสุดท้ายอาคารเหล่านั้นกลายเป็นสถานที่สำหรับนั่งตบยุงเสียมากกว่าเพราะสินค้าขายไม่ได้ทำให้ขาดทุนย่อยยับยกเว้นเพียงบริษัทให้บริการโทรศัพท์มือซึ่งมีชื่อติดปากชาวบ้านเท่านั้น ตัวอย่างของอาคารยังมีให้ดูอยู่ที่อำเภอบ้านนาแบบน่าอับอายเพราะจะใช้ทำอะไรก็ไม่เคยสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นอาคารแสดงและขายสินค้าท้องถิ่น เป็นห้องบริการนวดแผนไทย หรือเป็นห้องตั้งเครื่องออกกำลังกายในชุมชน ตึกร้าง หรือกึ่งร้างแบบนี้มีอีกเท่าไรและใช้งบประมาณไปทั้งหมดเท่าไรดูจะไม่มีใครสนใจ หรือจดจำ

ย้อนไปในสมัยนั้น รัฐบาลที่มีกูรูสิ้นคิดควบคุมดูแลด้านเศรษฐกิจพยายามกระตุ้นให้ประชาชนกู้หนี้ยืมสิน โดยอ้างว่าถ้ามองตนว่าจะเป็นคนรวยจะต้องกู้เงินมาใช้จ่ายเยี่ยงมหาเศรษฐีทั้งหลายในสมัยนั้น แม้กระทั่งที่ว่างบนทางเท้าริมถนนก็ให้เอาไปใช้ค้ำประกันกู้เงินจากธนาคารมาใช้ตามแนวคิดของกูรูสิ้นคิดอีกคนหนึ่ง ซึ่งเขียนหนังสือออกมาชื่อ The Mystery of Capital หรือ “ความลี้ลับของทุน” (อ่านบทคัดย่อภาษาไทยพร้อมคำวิพากษ์ว่ามันบกพร่องแบบเลวร้ายขนาดไหนได้ในเว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา www.bannareader.com)

ตอนนี้ คนไทยส่วนใหญ่คงลืมไปแล้วว่ารัฐบาลนั้นมีโครงการให้ข้าราชการผู้น้อยกู้เงินไปใช้จ่ายในการท่องเที่ยวได้ในวงเงิน 10,000 บาท และให้ข้าราชการครูกู้เงินได้จำนวนมากรวมทั้งจาก ช.พ.ค. ด้วย นั่นคือ ให้สมาชิกคุรุสภากู้เงินจากธนาคารกรุงไทยได้คนละ 2 แสนบาทโดยไม่ต้องจ่ายคืนรายเดือนจนกว่าจะสิ้นชีวิตธนาคารจึงจะหักจากเงิน ช.พ.ค. หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าเงินค่าทำศพ โครงการนั้นมีค่าเท่ากับการโยนค่าใช้จ่ายในการทำศพให้เป็นภาระของลูกหลานซึ่งหลายต่อหลายคนมองว่ามันเป็นโครงการอันแสนสิ้นคิดสมกับนามกูรูผู้เป็นต้นคิดของนโยบายเศรษฐกิจในตอนนั้น

จะเห็นว่าตั้งแต่วันกลับเข้ามาควบคุมดูแลด้านเศรษฐกิจ กูรูสิ้นคิดก็นำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเดิมกลับมาใช้ทันควันโดยเริ่มแรกเป็นเงินรวมกันถึง 1.35 แสนล้านบาท ประกอบด้วยการปล่อยสินเชื่อ 59,000 ล้านบาทให้กองทุนหมู่บ้านผ่านธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส.ให้ส่วนราชการเสนอโครงการลงทุนขนาดเล็กไม่เกิน 1 ล้านบาทได้ในวงเงิน 40,000 ล้านบาท และจัดสรรงบประมาณพิเศษให้ตำบลละ 5 ล้านบาทเป็นเงิน 36,000 ล้านบาท หลังจากนั้นมีมาตรการในแนวเดียวกันและการลงทุนขนาดใหญ่ในปัจจัยพื้นฐานทยอยตามกันออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง

โครงการทั้งหลายกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย สนับสนุนให้ก่อหนี้และมีการก่อสร้างสารพัด แน่ละ ในนั้นจะมีการก่อสร้างอาคารสำหรับนั่งตบยุงเพิ่มขึ้นมาที่อำเภอบ้านนาอีกแน่นอน

ล่าสุดเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ รัฐบาลออกมาตรการให้นำการใช้จ่ายในวงเงิน 30,000 บาทไปลดหย่อนภาษีได้ซึ่งหนังสือพิมพ์ “คม ชัด ลึก” นำมาเรียกอย่างเพราะพริ้งว่ามาตรการ ‘ช้อปปิ้งช่วยชาติ’ การกระตุ้นการใช้จ่ายแบบนี้คณะรัฐมนตรีเคยคิดไหมว่ามันขัดกับแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่นายกรัฐมนตรีเพิ่งนำไปเสนอที่นครนิวยอร์กและปารีส? หรือนั่นเป็นเพียงการใช้วาทกรรมแบบทำให้ดูดีแต่ไม่มีความเข้าใจ หรือจริงใจในแก่นของแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง? จะตระหนักกันบ้างไหมว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการสร้างความเสียหายให้ผู้นำไปเสนอ และร้ายยิ่งกว่านั้นมันนำมาซึ่งความเสียหายให้แนวคิดและต้นคิด? หรือนั่นเป็นการกระทำแบบจงใจ?

หากบ้านนี้เมืองนี้ยังมีความเชื่อมั่นในมาตรการที่ออกมาจากมันสมองของกูรูสิ้นคิดต่อไป ขอบอกสาธุชนให้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะรับภาวะเศรษฐกิจ และสังคมที่จะเลวร้ายจนถึงกับทำให้เมืองไทยติดหล่มและนานไปก็จะล่มจมกันอย่างถ้วนหน้าเถิด
กำลังโหลดความคิดเห็น