ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลายฝ่ายใจจดใจจ่อสำหรับการทำหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดใหม่ ภายใต้การถือธงนำของ “บิ๊กกุ้ย”พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป้ายแดง แทบไม่ไหวว่า ทิศทางการขจัด “ตัวเวร” ที่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ปาฐกถาพิเศษเอาไว้ ในวันงานต่อต้านคอร์รัปชั่นสากล เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา จะเป็นอย่างไร
โดยเฉพาะกับเสียงค่อนแคะว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดนี้เกือบครึ่งค่อนต่างเป็นบุคคลที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะพี่ใหญ่แห่ง “บูรพาพยัคฆ์” ทำหน้าที่เป็น “ป๋าดัน” ปลุกปั้นมาจนได้มาเป็น “อรหันต์” ของสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งสุดท้ายจะทำงานได้อย่างอิสระจริงหรือไม่
บารมีของ “บิ๊กป้อม” ทรงอิทธิพลเพียงใด แสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นแล้ว สะท้อนจากเสียงที่ลงคะแนนให้ “บิ๊กกุ้ย” ผงาดบนเก้าอี้ประธาน ป.ป.ช.เป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะขนาดผู้มาใหม่มีเพียงแค่ 5 คน แต่ยังช่วงชิงอีก 2 คะแนนจาก ป.ป.ช.เก่ามาอยู่ในมือได้จนเป็น 7 เสียง ชนะเจ้าถิ่นอย่าง “ปรีชา เลิศกมลมาศ” ที่ได้แค่ 2 เสียงไปอย่างขาดลอย
หากต่อไปใครผ่านแถวสนามบินน้ำแล้วแซวว่า “รู้มั้ยที่นี่ใครคุม” ก็คงจะไม่เลี่ยงไม่ได้ที่จะบ่ายนิ้วไปทาง “ป๋าป้อม” เพราะต้องยอมรับว่า ป.ป.ช.ได้เข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านอำนาจแบบเต็มตัวแล้ว แถมยังเป็น ป.ป.ช. ที่มีเอกภาพเปี่ยมล้นเสียด้วย
เพราะเกือบทั้งหมดมาจากเบ้าหลอมเดียวกัน ตามที่ “ใครบางคน” อยากให้เป็น
ชำแหละ 9 อรหันต์ ป.ป.ช.
ไล่เรียงโปรไฟล์รายตัว ในส่วนของ “บิ๊กกุ้ย” มาถึงนาทีนี้แล้วคงไม่มีใครไม่รู้จัก ในฐานะ “สายตรงป่ารอยต่อฯ” ผู้มีสายสัมพันธ์แบบแข็งโป๊กกับ “บ้านวงษ์สุวรรณ” ทั้ง “พี่ป้อม” และ “พี่ป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)
ขณะที่ 8 คนที่เหลือ เป็นกรรมการชุดใหม่แกะกล่อง 4 คน และกรรมการชุดเก่า 4 คน ซึ่งผู้ใหม่มานั้นก็ไม่ธรรมดา คอนเนกชั่นเป็นรอง “บิ๊กกุ้ย” เสียที่ไหน เริ่มตั้งแต่ “พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์” อีกหนึ่งผลิตผลอันน่าภาคภูมิใจของกองทัพไทย เคยเป็นนั่งเก้าอี้ตัวใหญ่เป้งอย่าง ประธานกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ “ซูเปอร์บอร์ด กสทช.” มาแล้ว ก่อนหน้านั้นชีวิตรับราชการเติบโตมาในกองทัพบก โดยเป็นอดีตผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบภายในกองทัพบก นอกจากนี้ ยังเป็นเกลอรักนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 13 (ตท.13) ของ “บิ๊กบี้” พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน และอดีตปลัดกระทรวงกลาโหม น้องรักลำดับต้นๆของ “บิ๊กป้อม”
ด้าน “เจ๊แป๋ว” สุวณา สุวรรณจูฑะ ลูกหม้อกระทรวงยุติธรรม ที่ชีวิตราชการรุ่งเรืองสุดในยุค คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และภายใต้การกุมบังเหียนของ “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ได้รับมอบหมายให้นั่งในตำแหน่งยุทธศาสตร์สำคัญ ทั้งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และใหญ่สุดถึงขั้นปลัดกระทรวงยุติธรรม ก่อนเบนเข็มมาสมัคร ป.ป.ช.ทั้งที่ยังไม่เกษียณ
มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างดังสนั่น ถูกผู้หลักผู้ใหญ่ชักชวนให้มาสมัคร เพราะติดใจลักษณะการทำงาน ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทำ “อาหารตามสั่ง” เก่งคนหนึ่ง
อีกรายคนไม่ใกล้ไม่ไกล ป.ป.ช. “เดอะตี๋” วิทยา อาคมพิทักษ์ ลูกหม้อสำนักงานปราบโกงที่ลาออกจากตำแหน่งรองเลขาธิการ ป.ป.ช. ออกไปผจญภัย เป็นคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) อยู่พักนึง แต่ไม่เวิร์กเลยกลับมาสมัครเป็นกรรมการ ป.ป.ช. จัดเป็นหนึ่งในข้าราชการ ป.ป.ช. ที่ซี้ย่ำปึ้กกับ “เดอะกล้า” กล้านรงค์ จันทึก สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และอดีตกรรมการ ป.ป.ช.ผู้เลื่องชื่อ
ระดับ “เดอะกล้า” ที่เป็น “เซนต์คาเบรียลคอนเนกชั่น” กับ “บิ๊กป้อม” ออกโรงทำหน้าที่ “แม่ยก” มีหรือจะไม่เข้าวิน
ส่วนรายสุดท้าย “สุรศักดิ์ คีรีวิเชียร” อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ไม่ปรากฏว่า มีความสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ แต่ผ่านการคัดเลือกมาเพราะ ป.ป.ช.ต้องการสัดส่วนของอดีตผู้พิพากษาเข้ามาทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่องสำนวนคดีที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล
สำหรับเจ้าถิ่นเก่า 4 คน ในรายของ “ปรีชา เลิศกมลมาศ” ที่ต้องอกหักจากเก้าอี้ ป.ป.ช. เพราะมีแต่เสียงเชียร์ ไม่มีเสียงโหวต เป็นลูกหม้อสำนักงาน ป.ป.ช.มาโดยตลอด จนถึงขั้นขึ้นเป็นเลขาธิการ ป.ป.ช. ต่อจาก “เดอะกล้า” รายนี้ทำงานสไตล์ ป.ป.ช.ขนานแท้ แต่ที่ผ่านมาโลว์โปรไฟล์ จึงไม่โดดเด่นมากนักในยุคของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดที่แล้ว ถูกจับตาว่า จะทำงานไปทิศทางเดียวกับแนวทางของชุดใหม่ได้หรือไม่ เพราะติดสไตล์การทำงานกับยุคที่แล้ว
อีกเสียงที่โหวตสวนทางกับคนอื่นๆ ไม่เลือกที่จะยกมือให้ “บิ๊กกุ้ย” เป็นประธาน ป.ป.ช. ทั้งที่มาจาก “รั้วปทุมวัน” เหมือนดัน “บิ๊กหลาว” พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง อดีตจเรตำรวจแห่งชาติ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกมองว่า มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ยังทำงานไม่ค่อยหวือหวา เพราะเป็นเด็กใหม่ ต้องเรียนรู้งานจาก “ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ - วิชา มหาคุณ” ตลอด
แต่เมื่อคณะกรรมการชุดที่แล้วพ้นไป เลยกลายเป็น “ซีเนียร์” น่าจะมีบทบาทมากขึ้นในยุคนี้ ซึ่งแม้จะมีข่าวคราวว่า “ซดเกลาเหลา” กับ “หัวขบวนคนใหม่” แต่ก็ถือว่า ไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์เช่นกัน
รายของ “ณรงค์ รัฐอมฤต” ที่ผิดคาด จากเดิมหลายคนเชื่อว่า จะยกมือให้เลขาธิการ ป.ป.ช.อย่าง “ปรีชา” แต่สุดท้ายปันใจไปให้ “บิ๊กกุ้ย” แต่หากรู้โปรไฟล์เขาก็เป็นหนึ่งคนที่สนิทสนมกับ “เดอะกล้า” แบบแนบแน่น
ในส่วน “หญิงเหล็ก” สุภา ปิยะจิตติ อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นหนึ่งคนที่เดาใจยาก แต่จากการยกมือให้ “บิ๊กกุ้ย” ที่ผ่านมา น่าจะเป็นคำตอบว่า การทำงานหลังจากนี้จะได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี เพราะเคยเป็นข้าราชการที่เติบโตมาในยุคไล่เลี่ยกัน
เป่าคดี “ราชภักดิ์” เคลียร์คดี “ป๊อด”
ดังนั้น หากจะกล่าวว่า การทำงานของ ป.ป.ช.ต่อจากนี้ หาก “บิ๊กกุ้ย” ต้องการความร่วมมือและเสียงในการดำเนินการเรื่องต่างจากๆ กรรมการ ป.ป.ช.คนอื่นๆ คงไม่ยากเย็นอะไร เพราะกุมสภาพได้เกือบทั้งหมด ด้วยเหตุนี้มันจึงมีคนหวาดระแวงว่า การทำงานของป.ป.ช.ชุดนี้ จะสามารถวินิจฉัยคดีต่างๆ ได้อย่างเป็นกลาง และจะสามารถตัดสินใจได้โดยไม่ต้องเกรงใจที่มาตัวเองหรือไม่
โดยเฉพาะ 2 คดี ที่สังคมกำลังเคลือบแคลงว่า จะมีการไปกลับหัวกลับหาง สลับหน้ามือเป็นหลังเท้า เรื่องแรกคือ กรณีความไม่ชอบมาพากลในการก่อสร้าง “อุทยานราชภักดิ์” อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่วันหนึ่งจะต้องรับมาไว้พิจารณา หลังจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกระทรวงกลาโหม ที่มี “บิ๊กช้าง” พล.อ.ชาญชัย ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน แถลงผลสอบออกมาแล้ว โดยไม่ว่า ผลสอบจะออกมามีการทุจริตจริง หรือสะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องแบบช็อกโลก แต่สุดท้ายวันใดวันหนึ่งก็จะมีการหอบเรื่องมาให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบเป็นแน่ ซึ่งกรณีหากเป็นคนอื่นยื่น “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ก็คงต้องเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาอย่างแน่นอน
แล้ว “บิ๊กกุ้ย” กับทีมงานจะกล้าพิจารณาแบบตรงไปตรงมาหรือไม่
รวมไปถึง คดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่ ป.ป.ช.เป็นโจกย์ฟ้อง “ชายจืด” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ “บิ๊กป๊อด” อดีตผบ.ตร. ว่า หลังจากกรรมการป.ป.ช.ชุดเก่าหมดหน้าที่ไปแล้ว กรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหม่จะสู้หมดหน้าตักเหมือนเดิมหรือไม่
เพราะก่อนหน้านี้ก็ทำลับๆ ล่อๆ กันมาหลายรอบ หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซุ่มมีมติให้อัยการสามารถเป็น “ทนายแก้ต่าง” ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกฟ้องคดีได้ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่จำเลยในคดีสลายพันธมิตรฯ ขอต่อศาลฎีกาฯให้อัยการสามารถเป็นทนายความให้ได้ชนิดแบบบังเอิญเกินไป แต่ปรากฏว่า “หน้าแหก” เพราะศาลไม่อนุญาต
การกระทำครั้งนั้นเลยทำให้คนกังวลว่า จะมีพลังวิเศษจาก “พี่” ให้ไปก้าวก่ายกับการต่อสู้คดีของ ป.ป.ช.ในคดีดังกล่าวเพื่อช่วย “น้อง” อีกหรือไม่
ยิ่งตัว “บิ๊กกุ้ย” ประธาน ป.ป.ช.คนใหม่เองก็เป็นนายตำรวจที่เดินตาม “บิ๊กป๊อด” มาตั้งแต่ยังรับราชการเป็นตำรวจด้วยกัน เกื้อหนุนกันมาตลอด
คนเลยกลัวจะเข้าไป “เป่า” ออก มากกว่าจะไปฟัน “เปรี้ยง” เดียวจอด.