ผู้จัดการรายวัน360 - ครม.เห็นชอบให้ใช้เบอร์โทรศัพท์หรือเลขที่บัตรประชาชน แทนเลขที่บัญชีในการโอนเงิน ช่วยประหยัดต้นทุนแบงก์ ช่วยรัฐบาลสะดวก ป้องกันเงินรั่วไหล ยันเริ่มใช้กลางปี 59
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (22 ธ.ค.) เห็นชอบการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเป็นประธาน เพื่อผลักดันการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแผนยุทธศาสตร์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดย National e-Payment Master Plan จัดทำขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินของประเทศไทยให้เข้าสู่ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) อย่างครบวงจร
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งจะช่วยลดการทำธุรกรรมด้วยเงินสดผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยประหยัดต้นทุนให้กับระบบธนาคารได้ราวปีละ 3 หมื่นล้านบาท และระบบธุรกิจอีก 4.5 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 7.5 หมื่นล้านบาท/ปี
นอกจากนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่าย การเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชน การเข้าถึงผู้มีรายได้น้อยเรื่องการจัดสวัสดิการ การขยายฐานการจัดเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น
"จะเป็นระบบที่ดีที่สุดในโลก เมื่อไปถึงจุดหนึ่งเราจะใช้เงินสดน้อยลง เราดูต้นแบบมาจากประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งจะใช้เป็นพื้นฐานในการทำอีคอมเมิร์ช" นายอภิศักดิ์ กล่าว
นายอุตตม สาวนายน รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้นำงบที่เหลือจากโครงการคอมพิวเตอร์แบบพกพา 3,756 ล้านบาทมาใช้ในการพัฒนาด้านต่างๆ รวม 24 โครงการเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายนี้
รมว.ไอซีที กล่าวว่า การดำเนินโครงการ Any ID จะเกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปี 59 ส่วนโครงการตั๋วร่วมจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3-4 ของปี 59 ซึ่งกระทรวงฯจะเสนอแผนยุทธศาสตร์ฯให้ ครม.พิจารณาในเดือน ม.ค.59
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นการบูรณาการเพื่อพัฒนาด้านการเงินที่ดีขึ้น เพราะในอดีตทำได้ลำบาก
แผนดังกล่าวจะนำมาสู่ (1) การเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงิน (2) การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (3) การลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งบูรณาการระบบสวัสดิการสังคม (4) การส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน และ (5) การส่งเสริม e-Payment ในทุกภาคส่วน ทำให้ธุรกรรมทางการเงินและกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ดำเนินไปได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เป็นกลไกสำคัญในการยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของภาคธุรกิจและของประเทศไทย และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และสร้างความมั่นคงให้กับระบบบริหารจัดการการเงินการคลัง อีกทั้งแผนยุทธศาสตร์นี้ยังจะช่วยสนับสนุนนโยบายอื่น ๆ ของประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น นโยบาย Digital Economy โครงการระบบตั๋วร่วมของกระทรวงคมนาคม นโยบายกองทุนการออมแห่งชาติ นโยบายการส่งเงินช่วยเหลือแก่ประชาชนในกรณีต่างๆ ของภาครัฐ เป็นต้น
National e-Payment Master Plan ประกอบด้วยแผนงานสำคัญ 5 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการระบบการชำระเงินแบบ Any ID (นานานาม) (2) โครงการการขยายการใช้บัตร (3) โครงการระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (4) โครงการ e-Payment ภาครัฐ และ (5) โครงการการให้ความรู้และส่งเสริมการใช้ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในการขับเคลื่อนโครงการทั้ง 5 จะดำเนินการผ่าน “คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment" โดยจะเร่งดำเนินการตามแผนและคาดว่าในส่วนแรกจะพร้อมใช้งานได้ในช่วงกลางปี 2559.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (22 ธ.ค.) เห็นชอบการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเป็นประธาน เพื่อผลักดันการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแผนยุทธศาสตร์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดย National e-Payment Master Plan จัดทำขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินของประเทศไทยให้เข้าสู่ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) อย่างครบวงจร
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งจะช่วยลดการทำธุรกรรมด้วยเงินสดผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยประหยัดต้นทุนให้กับระบบธนาคารได้ราวปีละ 3 หมื่นล้านบาท และระบบธุรกิจอีก 4.5 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 7.5 หมื่นล้านบาท/ปี
นอกจากนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่าย การเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชน การเข้าถึงผู้มีรายได้น้อยเรื่องการจัดสวัสดิการ การขยายฐานการจัดเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น
"จะเป็นระบบที่ดีที่สุดในโลก เมื่อไปถึงจุดหนึ่งเราจะใช้เงินสดน้อยลง เราดูต้นแบบมาจากประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งจะใช้เป็นพื้นฐานในการทำอีคอมเมิร์ช" นายอภิศักดิ์ กล่าว
นายอุตตม สาวนายน รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้นำงบที่เหลือจากโครงการคอมพิวเตอร์แบบพกพา 3,756 ล้านบาทมาใช้ในการพัฒนาด้านต่างๆ รวม 24 โครงการเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายนี้
รมว.ไอซีที กล่าวว่า การดำเนินโครงการ Any ID จะเกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปี 59 ส่วนโครงการตั๋วร่วมจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3-4 ของปี 59 ซึ่งกระทรวงฯจะเสนอแผนยุทธศาสตร์ฯให้ ครม.พิจารณาในเดือน ม.ค.59
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นการบูรณาการเพื่อพัฒนาด้านการเงินที่ดีขึ้น เพราะในอดีตทำได้ลำบาก
แผนดังกล่าวจะนำมาสู่ (1) การเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงิน (2) การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (3) การลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งบูรณาการระบบสวัสดิการสังคม (4) การส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน และ (5) การส่งเสริม e-Payment ในทุกภาคส่วน ทำให้ธุรกรรมทางการเงินและกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ดำเนินไปได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เป็นกลไกสำคัญในการยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของภาคธุรกิจและของประเทศไทย และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และสร้างความมั่นคงให้กับระบบบริหารจัดการการเงินการคลัง อีกทั้งแผนยุทธศาสตร์นี้ยังจะช่วยสนับสนุนนโยบายอื่น ๆ ของประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น นโยบาย Digital Economy โครงการระบบตั๋วร่วมของกระทรวงคมนาคม นโยบายกองทุนการออมแห่งชาติ นโยบายการส่งเงินช่วยเหลือแก่ประชาชนในกรณีต่างๆ ของภาครัฐ เป็นต้น
National e-Payment Master Plan ประกอบด้วยแผนงานสำคัญ 5 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการระบบการชำระเงินแบบ Any ID (นานานาม) (2) โครงการการขยายการใช้บัตร (3) โครงการระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (4) โครงการ e-Payment ภาครัฐ และ (5) โครงการการให้ความรู้และส่งเสริมการใช้ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในการขับเคลื่อนโครงการทั้ง 5 จะดำเนินการผ่าน “คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment" โดยจะเร่งดำเนินการตามแผนและคาดว่าในส่วนแรกจะพร้อมใช้งานได้ในช่วงกลางปี 2559.