รมว.คลัง เตรียมเสนอ ครม.ภายใน 2-3 สัปดาห์ เพื่อเปิดรับลงทะเบียนคนจนผ่านแบงก์รัฐ โดยเบื้องต้น กำหนดเกณฑ์ผู้ที่เข้าข่ายเป็นผู้มีรายได้น้อยต้องมีรายได้ต่ำกว่าค่าแรงขึ้นต่ำ 300 บาทต่อวัน และมีเงินฝากในบัญชีของธนาคารไม่เกิน 3 หมื่นบาท ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ที่เข้าเกณฑ์ทั้งสิ้น 19 ล้านราย
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติการเปิดรับลงทะบียนผู้มีรายได้น้อยผ่านธนาคารของรัฐภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ เบื้องต้น กำหนดเกณฑ์ผู้ที่เข้าข่ายเป็นผู้มีรายได้น้อยจะต้องมีรายได้ต่ำกว่าค่าแรงขึ้นต่ำ 300 บาทต่อวัน และมีเงินฝากในบัญชีของธนาคารไม่เกิน 3 หมื่นบาท ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ที่เข้าเกณฑ์ทั้งสิ้น 19 ล้านราย
ทั้งนี้ รัฐบาลจะนำข้อมูลดังกล่าวไปเชื่อมโยงกับโครงการ National e-Payment ที่รัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการ ซึ่งจะนำไปใช้ร่วมกับข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย เพื่อเป็นเครื่องมือในการมอบสิทธิประโยชน์ และความช่วยเหลือได้ตรงกลุ่ม
“แนวคิดคือจะมีการเปิดลงทะเบียนในครั้งแรกก่อน หลังจากนี้จะอัปเดตข้อมูลทุกๆ ปี เพื่อยืนยันสถานะหากยังเป็นผู้เข้าเกณฑ์ที่ต้องได้รับความช่วยเหลือของรัฐบาลก็จะใช้ส่วนนี้เป็นข้อมูล รัฐบาลยืนยันว่า ไม่ได้ต้องการให้มีผู้มีรายได้น้อยเพิ่มขึ้น อยากให้ลดลงมากกว่า แต่การเปิดลงทะเบียน และการอัปเดตข้อมูลครั้งนี้ก็จะกลายเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศในอนาคต” นายอภิศักดิ์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผน National e-Payment ที่มี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับโครงการ National e-Payment นั้น นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า โครงการระบบการชำระเงินแบบ Any ID ที่จะอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถชำระเงิน หรือโอนเงินผ่านบัตรประชาชน หรือเบอร์โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ขณะนี้มีความพร้อม และคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในเดือน ก.ค.59 เชื่อว่าจะทำให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงการบริการทางการเงินมากขึ้น โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย และไม่มีบัญชีกับธนาคาร
สำหรับโครงการขยายการใช้บัตรนั้น เบื้องต้น ตั้งเป้ากระจายเครื่องรับบัตรเครดิต/เดบิต (EDC) ทั่วประเทศเพิ่มเป็น 1 ล้านเครื่อง โดยในเฟสแรกกำหนดไว้ 5 แสนเครื่อง เพื่อรองรับระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่รัฐบาลเร่งดำเนินการอยู่ ส่วนความคืบหน้าโครงการระบบภาษี และเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้กรมสรรพากร จะเปิดให้ประชาชนยื่นข้อมูลใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้ออกแบบเพื่อเปิดให้ใช้พร้อมกับระบบ Any ID ในช่วงเดือน ก.ค.นี้เช่นกัน
“รองนายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุมว่า อยากให้เร่งการดำเนินการให้เร็วขึ้น เพื่อให้เกิดการใช้งบประมาณโดยเฉพาะงบประมาณที่เกิดจากการประมูล 4G โดยอยากให้ใช้งบในส่วนนี้ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศมากขึ้น ซึ่งเมื่อระบบนี้มีการใช้จริงก็จะเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐ โดยเฉพาะในมุมของกรมสรรพากรที่จะสามารถเก็บข้อมูลการเสียภาษี และการเข้าระบบของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน”
ขณะที่โครงการ e-Payment ภาครัฐ ภายในสิ้นปีนี้ระบบการทำธุรกรรมของภาครัฐทั้งหมดทั้งรายรับ และรายจ่ายจะเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุนทางการเงิน และลดข้อผิดพลาดในการนับเงิน และจะทำให้การทำงานเร็วขึ้น ซึ่งจะครอบคลุมการเปิดรับลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยด้วย
นายอภิศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในด้านโครงการให้ความรู้ และส่งเสริมการใช้ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ภายในเดือน เม.ย.59 จะเริ่มมีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับประโยชน์ และสิทธิที่ประชาชนจะได้จากโครงการดังกล่าว เช่น หากใครที่เข้ามาใช้ระบบ e-Payment ก็อาจจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้วยการคิดภาษีมูลค่าเพิ่มต่ำกว่าอัตราปกติ เป็นต้น โดยยังอยู่ระหว่างการพิจารณาตามความเหมาะสม