xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

มรสุมซัด “เรือแป๊ะ” ง่อนแง่น กัปตันระทวย นายท้ายระส่ำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ที่วันนี้ยังแก้ไม่ตกเรื่องอุทยานราชภักดิ์ และยังมีปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจเข้ามาให้ปวดหัวอีก
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คลื่นลมในมหาสมุทรช่วงนี้ทำ “เรือแป๊ะ” โคลงเคลง หลังปมร้อนหลายเรื่องประดังประเดเข้ามา ซ้ายที ขวาที ดีไม่ดีจะล่มเอาได้ หากประคองใบพัดหางเสือกันไม่ดี เรียกว่า เป็น “ฤดูมรสุม” อย่างแท้จริง

เข้าสู่เดือนธันวาคม แทนที่อากาศในประเทศจะหนาวตามฤดูกาล กลับยังคงร้อนระอุแบบผิดธรรมชาติ ก็ไม่รู้ว่าอุณหภูมิที่ร้อนแรง เป็นเพราะปมร้อนๆ อย่างเรื่องความไม่ชอบมาพากลในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่บรรดา “บิ๊กๆ” ยังสลัดไม่หลุด และยังแก้ไม่ตกหรือเปล่า

ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่า รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยการนำของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. จะมาถึงจุดๆนี้ได้

ทางหนึ่งต้องโทษตัวเองที่ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก ไม่ว่าจะเป็นคิวการไม่ประสาทางการเมืองของ “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ดันหลุดปากยอมรับว่า มีการ “หักหัวคิว” จริง ทีนี้ก็ “เข้าตีน” ฝ่ายการเมืองที่กำลังรอ “ขย้ำ” อยู่แล้ว

ต่อเนื่องมาถึงฉาก “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ออกมาแถลงผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกองทัพบกชุด พล.อ.วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก ว่า การก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ “ขาวจั๊วะ” แบบไม่มีเอกสารหลักฐานมาแนบอิงให้คำพูดมีน้ำหนัก แล้วยังโยนบอมบ์ ไป ให้ “บิ๊กโด่ง” เป็นคนเคลียร์เรื่อง “ค่าหัวคิว” เอง

ฟังเผินๆ เหมือนจะช่วย “บิ๊กโด่ง” แต่ถอดรหัสแล้ว นี่มันเป็นการกรีดมีดซ้ำไปบนแผลเดิมที่ยังไม่หายชัดๆ

ขณะที่ “บิ๊ก คสช.” ก็ปิดประตูทุกบานที่จะเข้ามาตรวจสอบ เสมือนต้องการบังคับให้จบ แต่พอไม่จบ ความซับซ้อนของเรื่องมีมากขึ้นเรื่อยๆ ตามข้อมูลที่หลั่งไหลออกมา และมีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเกิดเรื่อง “ไม่บังควร” ขึ้นจริงๆ จนเกิดการออกมาเรียกร้องให้เปิดเผย และชี้แจงรายละเอียดตามข้อสงสัยต่างๆ ของหลายฝ่าย ไม่เว้นแม้แต่ฝั่งที่สนับสนุน คสช.

แรกๆ รัฐบาลและ คสช. อาจคิดว่า การตัดบทว่า “โปร่งใส” จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้ โดยใช้ต้นทุนการเป็น “รัฐบาลทหาร” ที่มีภาพลักษณ์ดีเป็นยันต์กันผี แต่ที่ไหนกลับกลายเป็นการโหมกระพือให้กองฟืนกองเล็กๆ กองหนึ่งใหญ่ขึ้นจนลามทุ่งออกไปเรื่อยๆ

นั่นเป็นเพราะ เมื่อเป็น “รัฐบาลทหาร” ความรับผิดชอบจะต้องมีสูงมากกว่า “รัฐบาลเลือกตั้ง” เรื่องคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล ต้องเหนือกว่านักการเมืองหลายเท่า แต่พลันที่เกิดเรื่องอื้อฉาว กลับแก้ไขโดยการใช้วิธีไม่ต่างจากนักเลือกตั้งอาชีพ ประหนึ่ง “ติดกับดัก” ตัวเอง

แล้วยังออกลูกพาลเอาปมราชภักดิ์ไปเปรียบเทียบกับ “คดีจำนำข้าว” ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ฉาวโฉ่สร้างความเสียหายมโหฬาร ให้เสียเชิงชายชาติทหารเสียอีก

เมื่อเลยเถิดไปขนาดนั้นแล้วครั้นนึกอยากจะดับก็ยากเกินแกงเสียแล้ว ตลกร้ายกว่า วิธีการเอาตัวรอดยังดันไปใช้วิธีเดิมคือ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกระทรวงกลาโหมขึ้นมาอีกชุด โดยมี “บิ๊กช้าง” พล.อ.ชาญชัย ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน หวังจะเพลากระแสให้ดร็อปลงเมื่อมีการตั้งสอบเจาะจงไปที่กำลังพลที่เกี่ยวข้องแล้ว

แต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย! ในเมื่อรัฐบาลและคสช. เสียเครดิตตั้งแต่การตั้งคนกันเองแล้วผลออกมา “เสียความรู้สึก” ในรอบแรกของ “บิ๊กหมู” ไปเรียบร้อยแล้ว

กระแสความไม่ไว้วางใจทหารในเรื่องนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆ กับการกระโจนเข้างับของฝ่ายการเมืองที่อาศัยช่วงเหยื่อกำลังโรยรา ดังที่ “ตู่ - เต้น” จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รีบออกโรง “อ่อยเหยื่อ” ให้ทหารเข้าล็อกตัว เพื่อให้ซีรีส์เรื่องนี้ไม่น่าเบื่อ มีประเด็นให้ตามต่อรายวัน

“สองเกลอ” ตั้งใจให้ถูกจับ จงใจนัดหมายกันในที่สาธารณะ หวังอาศัย “มวลมหาไทยมุง” ขยายความให้ดูใหญ่โต เพื่อแลกกับข้อครหาของประชาชนที่จะมีขึ้นตามมาว่า รัฐบาลกลัวการตรวจสอบ ถึงไม่ยอมให้ไป “พี่ทหาร” ก็ตะครุบเหยื่อย่างง่ายดาย

แม้จะไม่ได้ผลนัก เพราะเครดิตของทั้งคู่ทำให้ถูกมองว่า เป็นเกมการเมืองมากกว่า แต่ก็เพียงพอที่จะเป็นการปูทางให้กลุ่มอื่นๆ อยากจะเข้าไปลองของ โดยเฉพาะเมื่อกลุ่มนักศึกษาที่นำโดย “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ จัดอีเวนต์ไปส่องไฟฉายที่อุทยานฯ

แน่นอนทหารอาจรู้ว่า เด็กบางคน “ไม่คลีน” เพราะมีสายสัมพันธ์กับกลุ่มการเมืองบางกลุ่มจึงรีบเข้าชาร์จ รุกตัดตู้รถไฟให้เส้นทางจบแค่ จ.ราชบุรี แต่ต้องบอกว่า การตัดสินใจครั้งนี้ได้ไม่คุ้มเสีย เมื่อปฏิกิริยาของสังคมส่วนใหญ่เห็นว่า เป็นการทำเกินกว่าเหตุ และหากจะขัดขวางไม่ให้ไป ทำมาย...ทำไม ไม่ปฏิบัติการตั้งแต่จุดเริ่มต้น ที่สถานีรถไฟธนบุรี

กระแส “วัวสันหลังหวะ” กลายเป็นที่โจษจัน ทั้งที่ความจริงหากรัฐบาลปล่อยให้ “จ่านิว” และพวกเดินทางไปถึง กระแสอาจตีกลับไปที่ตัวพวกเขาเอง นั่นเพราะ เด็กเหล่านี้ไม่มีข้อมูลเชิงลึกหรือหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลตามหน้าสื่อ กับวาทกรรมธรรมดาๆ ดีไม่ดีหากไปทะเล่อทะล่า จัดกิจกรรมอะไรไม่เหมาะสมในพื้นที่ที่ประชาชนสักการะเทิดทูน “จ่านิว” และพวกจะกลายเป็น “หมู่บ้านกระสุนตก” โดนสังคมประณามเองด้วยซ้ำ

แล้วจะเป็น “ใบเสร็จ” มัดเด็กเหล่านี้ว่า “หวังผลทางการเมือง” มากกว่าการตรวจสอบ เพราะการเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ย่อมไม่ได้หลักฐานอะไรนอกจากภาพ “อีเวนต์” แอ็กคท่าชี้โบ๊ชี้เบ๊ แทนที่จะไปแสวงหาข้อมูล รวบรวมพยานหลักฐาน แล้วนำเรื่องไปยื่นให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวน

ทว่ารัฐบาลใจร้อน ใช้วิธีการ “บ้องตื้น” แบบทหารเข้าจัดการ มันจึงทำให้ทุกอย่างไปเข้าเหลี่ยมเข้าทางฝ่ายการเมืองไปเสียหมดทุกอย่าง ซึ่งจะว่าไปปมร้อนหนนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่า นอกจากทหารยังตามหลังเล่ห์เหลี่ยมนักการเมืองไม่ทันแล้ว ยังไปเสียท่าให้กับ “เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” อีกต่างหาก

เรียกว่า “พี่ทหาร” จัดให้ จากที่นักข่าวจะได้ภาพ “นักศึกษากะโหลกกะลา” ไม่กี่คนไปชี้มือชี้ไม้ที่อุทยานฯ กลับได้ช็อตความรุนแรงตอนเข้าชาร์จเพื่อควบคุมตัว กลายเป็นภาพความรุนแรงที่ถูกประโคมไปทั่วโลก

ไม่เท่านั้นยังทะเร่อทะร่าไปสั่งปิดอุทยานฯแบบกะทันหัน ในวันที่กลุ่มนักศึกษาจะเดินทางไปอย่างบังเอิ๊ญ..บังเอิญ โดย “อ้าง” ว่าปรับปรุงระบบไฟฟ้า-ประปา ซึ่งมุกไม่เนียนแบบนี้หลอกคนไทยไม่ได้ดอก ซ้ำร้ายยังเป็นการตอกย้ำประจาน “ความเขลา” ของบรรดา “ฝ่าย เสธ.คสช.” ทั้งในแง่การประเมินสถานการณ์ผิดพลาด และการแก้ไขปัญหาที่สร้างปัญหาให้เพิ่มขึ้นมากกว่า

ฉายภาพ “เขตทหารห้ามเข้า” ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก

แม้กระทั่งเรื่องการพยายามใช้ปฏิบัติการการข่าวของทหาร หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ไอโอ” เพื่อแย่งซีนชิงพื้นที่ความสนใจที่ค่อยจะแนบเนียนสักเท่าไหร่ จนถูกค่อนแคะว่า เป็นการปล่อยข่าวเบี่ยงกระแส ไม่ว่าจะเป็นการจับกุมแก๊ง “ขอนแก่นโมเดล” ที่วางแผนจะสังหารผู้นำในงาน “Bike For Dad” แต่สุดท้ายกลายเป็น “ขอนแก่นโปรดักชั่น” เพราะมีข้อพิรุธหลายจุด โดยเฉพาะการออกหมายจับคนที่ติดคุกอยู่ หรือการที่ข่าวจับกุมเริ่มต้นจากตัวผู้ใหญ่ในรัฐบาลอย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นคนออกมาเปิดเผยเอง ทั้งที่ปกติปากอย่างกับ “ปะแจปากตาย” ที่งัดยากประไร

ไม่เว้นแต่เรื่องเอกสารที่หน่วยข่าวกรองรัสเซียส่งมายังไทยเพื่อแจ้งว่า มีชาวซีเรียที่ร่วมกับขบวนการรัฐอิสลาม (ไอเอส) “รั่ว” ออกมาในช่วงเข้าเทศกาลมหามงคล จนสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน ก็ถูกสงสัยว่า สุดท้ายมีใคร “ตั้งใจ” ทำ “รั่ว” หรือเปล่า เพราะจนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถลากตัวมาลงโทษได้ นอกจากคำขู่ว่า มีความผิดทางอาญา

หรือเรื่องกระแสข่าวการจับตัว “วรรณา สวนสัน” พร้อมสามี ผู้ต้องหาคดีบึ้มราชประสงค์ที่อยู่ต่างประเทศ และอยู่ระหว่างประสานตุรกีเพื่อนำตัวกลับไทย แต่ก็ไม่หวือหวาจนเรียกคนไปสนใจได้เท่าที่ควร เพราะมันยังดูล่องลอยเกินไป

หรือล่าสุดกรณีที่มี “ผังราชภักดิ์ปลอม” เรื่องขบวนการทุจริตในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ว่อนโซเชียล ที่แป๊บเดียวตำรวจสามารถลากตัวเอาไว้ได้ ที่ฝ่ายตรงข้ามแกล้งประชดว่า ตกลงทำเองปล่อยเองหรือไม่

เหล่านี้ล้วนถูกมองว่า เป็น “ไอโอ” ทั้งนั้น

ซึ่งหากยังเรื้อรังแบบนี้ “รัฐบาลทหาร” จะเข้าเนื้อไปเรื่อยๆ ถึงขนาด “พัง” ได้หากไม่รีบแก้

กระทั่ง เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย มาร์ค เคนท์ ก็ยังออกมาเหน็บแนมเรื่อง “สิทธิภาพ” ในยุค คสช. โดยได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว แปลเป็นไทยคร่าวๆ ว่า "คิดว่าการที่รัฐบาลไทยอนุญาตให้มีการชุมนุมหน้าสถานทูตสหรัฐฯ ถึง 200 คน แสดงให้เห็นถึงการผ่อนคลายมาตรการจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมแล้วเสียอีก"

กรีดแทงเบาๆ สไตล์ “นักการทูต” ไปถึงคนในรัฐบาล คสช. ที่ทำรุนแรงกับกลุ่มนักศึกษาที่จะไปอุทยานราชภักดิ์ แต่กลับปล่อยคนอีกกลุ่มไปเย้วๆที่หน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา

เรื่องการเมืองก็ทำจนยุ่งเป็น “ลิงแก้แห” เรื่องเศรษฐกิจนี่ท่าจะไม่รอดอีก เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศยังลูกผีลูกคน ไร้งี่แววจะโงหัวขึ้น โดยเฉพาะวงการการบินของไทยกำลังเผชิญวิกฤตอย่างหนัก ตั้งแต่ กรณีองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ให้ธงแดง มาถึงคิวองค์การความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรป (EASA) ที่ลางสังหรณ์ไม่ดี มีโอกาสที่ไทยจะยวบได้

ส่วนปีหน้าปัญหาภัยแล้งเริ่มส่งสัญญาณแล้วว่า จะสาหัสกว่าปีนี้ แน่นอนรัฐบาลต้องเตรียมรับมือเรื่องการบริหารจัดการน้ำให้ดี เพราะหากพลาด “ม็อบเกษตร” จะรุนแรงกว่า “ม็อบการเมือง” หลายเท่า เพราะเป็นเรื่องของความเดือดร้อนและทั่วทุกหัวระแหงจริงๆ แค่ลำพังราคายางพาราที่ตกต่ำอยู่ทุกวันนี้ก็เป็น “หนังตัวอย่าง” ชั้นดีว่า หากปล่อยไปถึงขั้นนั้นรัฐบาลจะปวดหัวขนาดไหน

แล้วอยู่ดีไม่ว่าดียังไปสร้าง “วาระร้อน” ขึ้นอีก หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างพ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพ พ.ศ. … หรือ “พ.ร.บ.จีเอ็มโอ” ที่ต้องยอมรับว่า รัฐบาลกล้ามากที่ไฟเขียว เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลในอดีตเคยโดนต่อต้านจนถอยร่นแทบไม่ทัน

ซึ่งมีการประเมินว่า ถ้ารัฐบาลกล้าลุยฝ่าดันสุดซอย ม็อบนี้จะน่ากลัวไม่แพ้ม็อบใดเช่นเดียวกัน

ขณะที่ผลงานรัฐบาลเองก็ยังไม่เป็นที่ประทับใจขนาดประชาชนโห่ร้องให้การสนับสนุน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการประชาสัมพันธ์หรือทีมงานข่าวสารของรัฐบาล “ชื่อชั้นไม่ถึง” ยังเป็นรองใน “สงครามข่าวสาร” แก่ฝ่ายตรงข้ามอยู่หลายช่วงตัว ยังเป็นฝ่ายวิ่งไล่เช็ด ปล่อยให้อีกฝั่งเป็น “คนเปิด” แล้วได้เปรียบเสมอ

ไม่นับรวมกรณีที่บรรดาเจ้าสัวที่บ่นกับนายกฯในการพูดคุยเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการดำเนินงานรัฐบาลเลย นั่นหมายความว่า มีจุดบอดอยู่ที่ “ทีมพีอาร์” ที่ต้องตั้งคำถามเหมือนกันว่า “มือไม่ถึง” หรือ “วางยา” กันแน่ เพราะไม่สามารถสร้างความได้เปรียบให้กับรัฐบาลได้เลย

ดังนั้น หากจะบอกว่า “เรือแป๊ะ” กำลังเผชิญมรสุมที่หนักหน่วงที่สุดช่วงหนึ่งก็คงไม่ผิดนัก ถึงคราวต้องวัดฝีมือการแก้ไขปัญหา เพราะหลังจากนี้คงไม่มี “เผาหลอก” อีกแล้ว มีแต่ “เผาจริง” ล้วนๆ.



พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ที่ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่ามีการหักค่าหัวคิวในการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ จนกลายเป็นกระแสให้มีการตรวจสอบ และเปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมดของโครงการ
จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สองคู่หู นปช.ที่ประกาศเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ แต่ถูกทหารสกัดไว้เสียก่อน
มาร์ค เคนท์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ทวีตข้อความถามถึงมาตรการจำกัดเสรีภาพหลังเกิดเหตุทหารควบคุมตัว “จ่านิว”
“จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นักศึกษากลุ่มประชาธิปไตยศึกษา ที่เดินตามรอยรุ่นพี่ นปช.จัดอีเวนต์ไปส่องไฟฉายที่อุทยานราชภักดิ์ แต่ก็ไปได้เพียงครึ่งทาง ถูกทหารเข้าควบคุมตัวที่สถานีบ้านโป่ง จ.ราชบุรี
กำลังโหลดความคิดเห็น