xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ผ่าแผนป่วนเมือง ตีข่าวสังหาร “2 บิ๊ก คสช.”.... รู้นะคิดอะไรอยู่?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ขณะนำทีมแถลงข่าวพร้อมเปิดเผยแผนผังแสดงเครือข่ายผู้ต้องหาหาหมิ่นสถาบันกรณี “แก๊งแดงขอนแก่นโมเดล” เตรียมป่วนเมืองในช่วงงาน BIKE FOR DAD เตรียมวินาศกรรมกรุงเทพฯและพุ่งเป้าบุคคลสำคัญ
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ในการต่อสู้ทางการเมือง ไม่มีอะไรที่จะทำให้ถือแต้มต่อได้ดีไปกว่าการสร้างสถานการณ์ หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้ตนเองมีความสำคัญในระดับที่ขาดไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น การให้ข่าวของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณีแก๊งแดง “ขอนแก่นโมเดล” เตรียมป่วนเมือง ที่ขยายผลถึงการเตรียมวินาศกรรมกรุงเทพฯและพุ่งเป้าบุคคลสำคัญในรัฐบาล ซึ่ง “บิ๊กป้อม” สั่งการให้จับกุมและติดตามอย่างใกล้ชิด ได้สร้างความรู้สึกกดทับแก่สังคมว่าสถานการณ์ยังไม่สงบเรียบร้อย บ้านเมืองของเราต้องอยู่ภายใต้การคุ้มครองของทหารจริงๆ

ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง การสร้างความรู้สึกต่อสังคมหากต้องการไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย เสื้อแดงแกล้งตายก็ถึงเวลาฟื้นคืนชีพเป็นทัพหนุนเพื่อไทยเข้าช่วงชิงสถานการณ์ยามที่ทหารเพลี่ยงพล้ำจากปมปัญหาอุทยานราชภักดิ์ ที่ชุลมุนวุ่นวายและยังหาทางลงไม่ได้จนบัดนี้ และดูเหมือนพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ก็ชักจะ “เครียด” มากขึ้นเป็นลำดับ แผนป่วนเมืองจึงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดย บังเอิญ และเป็นเรื่องที่ต้องติดตามห้ามกระพริบตาด้วยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกกล่าวหาพัวพันทุจริตโครงการรับจำนำข้าว เดินเฉียดเข้าใกล้คุกทุกขณะจิตแล้ว

สถานการณ์ป่วนเมืองแต่ละเรื่องที่ถูกเปิดโปงจึงดูเหมือนลึกลับซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ลวงพราง ทั้งสองฟากฝั่ง ทั้ง คสช. และแก๊งแม้ว-ปู คล้ายกับว่าต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายเพื่ออะไรบางอย่าง?

เอาตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกันก่อน เริ่มจากรายงานการจับกุมกลุ่มป่วนการซ้อม Bike for Dad ปั่นเพื่อพ่อที่จังหวัดขอนแก่น ปรากฏเป็นข่าวครึกโครม เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ยอมรับว่ามีการจับกุมจริง

“ได้รับรายงานแล้ว ว่ามีกลุ่มป่วน คงต้องให้ทางการข่าวดำเนินการต่อไป”

“ขณะนี้จับกุมได้แล้วหลายราย และจะค่อยๆ นำตัวมาอีก แสดงให้เห็นถึงความไม่เรียบร้อย มีความขัดแย้ง แค่คิดก็แย่แล้ว มีกันเป็นขบวนการ สื่อก็ต้องช่วยกันหาข่าวในเรื่องนี้ด้วย เรื่องแบบนี้ส่วนใหญ่สื่อรู้แต่ไม่ถาม” พล.อ.ประวิตร โยนลูกกลับสื่อ

ปฏิบัติการรวบผู้ต้องสงสัยที่เกิดขึ้นดังกล่าว แหล่งข่าวด้านความมั่นคง แพลมออกมาว่า ผู้ต้องสงสัยยอมรับสารภาพเตรียมวางแผนป่วนในช่วงกิจกรรม Bike For Dad จริง รวมทั้งยังให้การซัดทอดบุคคลอื่นอีกหลายคน ทำให้เจ้าหน้าที่ขยายผลไปควบคุมตัวเพิ่มเติมได้อีก 1 คน รวมทั้งยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีข้อมูลสำคัญ และการวางแผนที่เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรมาตรวจสอบอย่างละเอียดด้วย

“ตอนนี้ผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 คนอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทหารในสถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อขยายผลไปจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องตามแนวทางที่ พล.อ.ประวิตร กำชับไว้”แหล่งข่าวด้านความมั่นคง ระบุ

ความน่าตื่นเต้นเร้าใจอยู่ตรงที่ผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เป็นหนึ่งในบุคคลที่เคยถูกเจ้าหน้าที่ทหารจับกุมได้ระหว่างการตรวจค้นชลพฤกษ์อพาร์ตเมนต์ ต.บ้านกอก อ.เมืองขอนแก่น เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ซึ่งตอนนั้นสามารถตรวจยึดอาวุธสงครามและแผนการก่อเหตุไม่สงบในช่วงการชุมนุมของ กปปส. หรือที่รู้จักกันว่า “ขอนแก่นโมเดล” ก่อนที่ภายหลังจะได้รับการประกันตัวออกมา

ศูนย์ข่าวขอนแก่น ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ตามแกะรอยผู้ต้องสงสัยรายดังกล่าว พบว่า มีการควบคุมตัว จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ อดีต ตชด. ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายขอนแก่นโมเดล เมื่อวันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในบ้านพักของ จ.ส.ต.ประธิน แถวบึงแก่นนคร เขตเทศบาลนครขอนแก่น พร้อมกับยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือและควบคุมตัวสอบเพิ่มเพื่อขยายผล

จ.ส.ต.ประธิน เป็นหนึ่งในผู้ต้องหากลุ่มเสื้อแดงฮาร์ดคอร์เครือข่ายขอนแก่นโมเดล โดยเป็นจำเลยที่ 1 ในจำนวน 26 คนถูกจับกุม พร้อมยึดอาวุธปืนและระเบิดหลายชนิดในห้องพักอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งใน ต.บ้านเป็ด จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 (หลัง คสช.ยึดอำนาจ 1 วัน) โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าอาวุธสงครามเหล่านั้นเตรียมก่อการร้ายในพื้นที่ จ.ขอนแก่น และหลายพื้นที่ในภาคอีสาน เรียกตามรหัสว่า “ขอนแก่นโมเดล” และเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2557 ที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 23 จ.ขอนแก่น อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 23 ได้เบิกตัวผู้ต้องหาทั้ง 26 คนเพื่อสืบพยาน ในคดีหมายเลขดำ ที่ 10 ก./2557 โดยตั้งข้อกล่าวหาในฐานความผิด 9 ข้อกล่าวหา โทษสูงสุดถึงประหารชีวิต

สถานะของ “จ.ส.ต.ประธิน” ก่อนถูกจับครั้งนั้นทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของแบงก์ชาติ จ.ขอนแก่น จัดเป็น “ตัวเอ้” ในขบวนการ แต่ไม่ถึงระดับ “หัว” ในภายหลังได้รับการประกันตัวมา แต่ยังคงมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ตามรายงานของเจ้าหน้าที่

หลังจากได้รับการประกันตัวออกมาแล้วกว่าปี จ.ส.ต.ประธิน พร้อมพรรคพวกในเครือข่ายบางกลุ่มไม่หยุดเคลื่อนไหว พยายามสร้างกระแสความขัดแย้งอยู่เนืองๆ ในสังคมออนไลน์เฉพาะกลุ่ม แสดงออกให้เห็นว่ายังจงรักภักดีกับรัฐบาลเก่า ไม่ยอมรับอำนาจของรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร อ้างตัวเองอย่างเท่ๆ ว่าเป็นกลุ่มใต้ดิน

การบุกเข้าจับกุม จ.ส.ต.ประธิน คาบ้านพักกลางเมืองขอนแก่นพร้อมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือครั้งนี้ จะว่าไปแล้วเป็นการ “ตบหน้าฉาดใหญ่” หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เพราะเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปจับกุมมาจากฝ่ายความมั่นคงหน่วยงานส่วนกลาง บรรดาตำรวจทหารในพื้นที่มารู้ข่าวการจับกุมในภายหลังพร้อมๆ กับชาวบ้าน สะท้อนให้เห็นความบกพร่องในการทำงานด้านการข่าวได้เป็นอย่างดี

สำหรับชนวนเหตุที่ต้องบุกจับ จ.ส.ต.ประธิน คาบ้านพักชนิดที่ตั้งตัวไม่ทัน เพราะข้อความที่โพสต์ลงเฟซบุ๊ก ระบุในทำนองที่ว่า “ให้ติดตามวันซ้อมกิจกรรมปั่นเพื่อพ่อ...ว่าจะมีการลอบทำร้ายบุคคลสำคัญของประเทศ” แต่ไม่ได้ระบุชื่อว่าบุคคลสำคัญนั้นเป็นใคร เมื่อฝ่ายความมั่นคงตรวจสอบ ก็พบว่าคนที่โพสต์ข้อความดังกล่าวมีประวัติเป็นผู้ต้องหาคดีความมั่นคงในนาม “ขอนแก่นโมเดล” และอยู่ระหว่างการประกันตัว

แหล่งข่าววงในระบุว่า การบุกชาร์จจับกุมครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ จ.ส.ต.ประธิน เพียงคนเดียว ยังมีอีกหนึ่งคนที่ถูกจับได้ในจังหวัดขอนแก่น แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ เป็นคนในเครือข่ายอุดมการณ์ทางการเมืองเดียวกันแต่อยู่นอกกลุ่มขอนแก่นโมเดล ถือเป็นตัวละครสำคัญที่เป็นธุระจัดหาอุปกรณ์ เครื่องมือเพื่อใช้ปฏิบัติการป่วนบ้านทำลายเมือง ขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งสอบสวนขยายผล ซึ่งเป้าหมายไม่ใช่แค่วันปั่นเพื่อพ่อ 11 ธันวาคมนี้เท่านั้น รวมถึงวันสำคัญเทศกาลอื่นๆ ทั้งลอยกระทง หรือห้วงเวลาส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

ตัวละครร่วมเครือข่ายที่ถูกรวบพร้อมกับ จ.ส.ต.ประธิน เป็นใคร? สำคัญขนาดไหน ได้รับการเฉลยจากปาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ว่า มีผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับ 9 คน และสามารถควบคุมตัวมาดำเนินคดีได้แล้ว 2 คนคือจ.ส.ต.ประธินน จันทร์เกศ และนายณัฐพล ณวรรณ์เล

ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออีก 7 คน คือ นายพิษณุ พรหมสร ชาวจังหวัดเชียงใหม่ นายวัลลภ บุญจันทร์, นายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม และ นายวีรชัย ชาบุญมี ชาวจังหวัดขอนแก่น นายฉัตรชัย ศรีวงษา ชาวจังหวัดมหาสารคาม นายมีชัย ม่วงมนตรี ชาวจังหวัดร้อยเอ็ด และ นายพาหิรัณ กองคำ ชาวจังหวัดบึงกาฬ ในข้อหา

ทั้งนี้ ทั้ง 9 คนร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ

“ยืนยันว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นไปตามพยานหลักฐานที่มี และไม่ใช่การจัดฉาก และโยนความผิดให้กับฝ่ายการเมืองฝ่ายใด ซึ่งขบวนการดังกล่าวมีจริง และได้สั่งการให้ ตำรวจติดตามตัวมาดำเนินคดี”

“ที่บอกได้คือกลุ่มนี้พุ่งเป้ามาที่ กทม. มาก่อเหตุ มีมูลว่าพุ่งเป้ามาที่บุคคลสำคัญในรัฐบาล ในทำนองว่ามาก่อวินาศกรรม วางระเบิดประมาณนั้น แต่ยังไม่ทราบแนวคิดของกลุ่มนี้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองหรือไม่ เรามีหลักฐานแต่อยู่ในขั้นตอนสืบสวนสอบสวนยังไม่สามารถบอกได้ อย่างที่รู้ๆ กันก็มีข้อมูลการสื่อสาร ทั้งการติดต่อในแอปพลิเคชันไลน์ ลายมือชื่อ ที่ปรากฏในโลกออนไลน์ ซึ่งการที่ศาลทหารอนุมัติหมายจับผู้ต้องหากลุ่มนี้ เพราะมีข้อมูลยืนยันได้ว่าจะมาก่อเหตุใน กทม.” ผบ.ตร.กล่าว

นอกจากนั้น ผบ.ตร. ยังบอกด้วยว่า ตำรวจยังกำลังสืบสวนขยายผลอีกด้วยว่ามีความเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดก่อนหน้านี้ ทั้งที่ราชประสงค์ และห้างสยามพารากอนหรือไม่ ตอนนี้ให้น้ำหนักมูลเหตุจูงใจทุกประเด็นรวมถึงเรื่องการเมือง ไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง หรือให้น้ำหนักประเด็นใดเป็นพิเศษ และตำรวจจะสืบสวนขยายผลขบวนการนี้ เชื่อว่ามีมากกว่า 3 คน และมีผู้ที่ใหญ่กว่านี้สั่งการอยู่ข้างบน

ขณะที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า พฤติการณ์ของผู้ต้องหา เริ่มซ่องสุมอาวุธและกำลังพลตั้งแต่การชุมนุมทางการเมือง ที่ถนนอักษะ และเคยถูกดำเนินคดีไปแล้ว แต่ยังคงมีพฤติการณ์ในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง

ปล่อยข่าวเขย่าขวัญพร้อมกับปลุกปลอบว่าประชาชนอย่าตื่นตระหนก ตำรวจและหน่วยข่าวกรองจับตาเฝ้าระวังกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ได้สั่งให้ติดตามเฝ้าระวังเหตุต่อไป

คำให้สัมภาษณ์สื่อของ ผบ.ตร.เฉลยที่มาที่ไปของปฏิบัติการนี้เสร็จสรรพว่าทั้ง “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กป้อม” รู้เรื่องเป็นอย่างดีและได้รับรายงานโดยตลอด แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการถามถึงแผนวินาศกรรมและประทุษร้ายบุคคลสำคัญในรัฐบาลในวันถัดมา น่าสังเกตว่า พล.อ.ประวิตร กลับทำท่าชิ่ง โยนลูกไปให้ทางตำรวจเสียงั้น

“กำลังสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้อยู่ ต้องรอดูว่าจะเป็นอย่างไร เพราะศาลได้ออกหมายจับไปแล้ว จากนั้นจะมีการสอบสวนว่าขบวนการเป็นอย่างไร ส่วนกระแสข่าวที่ระบุว่าจะมีแผนลอบทำร้ายบุคคลสำคัญในรัฐบาลนั้น ต้องไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากการรายงานเบื้องต้นตำรวจระบุว่ามีข่าวว่าจะเป็นอย่างนั้น

พล.อ.ประวิตร ยังออกอาการหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อถูกถามย้ำว่านอกจาก ผู้ต้องหาที่มีการจับกุมได้ยังมีแนวร่วมที่ยังอยู่ในเครือข่ายอีกหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “คุณไปหามาสิ ผมจะไปรู้ได้อย่างไร เดี๋ยวให้ตำรวจเขาดู”

เมื่อถามต่อว่าฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมองว่ากรณีนี้เป็นปฏิบัติการข่าวสาร (ไอโอ) ซึ่งอาจจะไม่มีผู้เตรียมก่อเหตุจริง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า มีจริงหรือไม่มีจริง แต่ศาลได้ออกหมายจับไปแล้ว เพราะมีหลักฐาน ส่วนจะเป็นอย่างไรต่อไปยังไม่รู้ ต้องรอให้ตำรวจเข้าสอบสวนก่อน

จะเป็นปฏิบัติการไอโอ กลบข่าวฉาวอุทยานราชภักดิ์หรือไม่ ยังไม่เป็นที่ชัดเจน แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ถ้าหาก คสช.ไม่มั่นใจในข่าวกรองที่ได้รับ มีหรือจะกล้าโยงเรื่องวินาศกรรมเข้ากับงานสำคัญและบุคคลสำคัญในคณะรัฐบาล อีกทั้งถ้าจะว่าไปเครือข่ายขอนแก่นโมเดล หรือแก๊งแดงแกล้งตายกำลังถูกปลุกชีพขึ้นมาช่วยน้องสาวคนสวยให้พ้นข้อกล่าวหาพัวพันทุจริตจำนำข้าว ก็มีเค้าลางความจริงอยู่หลายส่วน

อย่างไรก็ดี หากเป็นการปล่อยข่าวเพื่อเบี่ยงกระแสของฝ่ายความมั่นคงจริง ผลลัพธ์จะคุ้มกันหรือไม่ เพราะข่าวดังกล่าวอาจทำให้เศรษฐกิจในประเทศซึ่งมีความอ่อนไหวพอสมควรได้รับผลกระทบ ไม่ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นแน่ ยิ่งในตอนนี้ที่รัฐบาลกำลังกระท่อนกระแท่นอยู่

สถานการณ์ในวันนี้ทำให้นึกย้อนไปถึงในอดีตช่วงปลายสมัยรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” ที่มีการก่อหวอดประท้วงขับไล่อย่างหนัก เมื่อเห็นว่าจะถึงทางตันแล้วก็ปั้นข่าวสร้างกระแสว่า ตัวเองจะถูกลอบสังหารจากเครือข่ายยาเสพติดที่ลงขันกันบ้าง หรือรอดพ้นจากการก่อวินาศกรรมอย่างหวุดหวิด

แต่เมื่อ “บิ๊ก คสช.” เลือกเล่นเกมนี้ อีกแง่หนึ่งก็เหมือนเป็นการชี้โพรงให้กระรอก เพราะฝ่ายตรงข้ามจ้องจะดิสเครดิตรัฐบาลทหารอยู่แล้ว อาจใช้จังหวะนี้ผสมโรงให้เกิดเหตุขึ้นจริงตามความต้องการของรัฐบาล ทำลายความน่าเชื่อมถือของ คสช. บั่นทอนภาพลักษณ์เศรษฐกิจ-การท่องเที่ยว ตัดแขนตัดขารัฐบาล ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการ “ตบหน้า” อำนาจ คสช.ที่อยู่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้

แถมยังมีสถานการณ์ความไม่สงบจากการก่อการร้ายนอกประเทศ ที่อาจจะเป็นตัวแปรให้เกิดความรุนแรงขึ้นในประเทศไทยอีกด้วย

อีกมุมหนึ่งเรื่องนี้หากเป็นการปล่อยข่าวก็ “ไม่บูม” เท่าที่ควร เพราะข่าวความไม่ชอบมาพากลในก่อการสร้างอุทยานราชภักดิ์ยังได้รับความสนใจจากประชาชนแบบเกาะติดเพื่ออยากรู้ข้อสรุป ยิ่งช่วงนี้ทหารตั้งคณะกรรมการกันไปมากันมาจนเวียนหัวยิ่งทำให้ประชาชนสงสัยเข้าไปใหญ่ ซึ่งหาก “บิ๊กโด่ง” ซึ่งเป็นคนที่ออกมาทิ้งบอมบ์ว่า มีการหักหัวคิวจริง ยังเคลียร์ไม่ได้จนคนรู้สึกว่า “จบ” เรื่องนี้คง “ไม่จบ”

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังถือว่า งานนี้เจ้าหน้าที่สามารถกุมตัว “คีย์แมน” คนสำคัญมาได้เร็ว ทำให้แผนดังกล่าวล่มไป ไม่มีเหตุที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้น ทว่าจากเหตุการณ์นี้มันกลับแสดงให้เห็นว่า “พวกสายเหยี่ยว” ของฝั่งตรงข้ามยังรอวันสร้างความรุนแรงขึ้นทุกเมื่อที่มีโอกาส

ตามข้อมูลจากหน่วยงานด้านความมั่นคงพบว่า บรรดาแกนนำสายเหยี่ยวเหล่านี้ยังคงกบดานอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทย หลายเหตุการณ์ความไม่สงบหลังเหตุการณ์รัฐประหารล้วนแล้วมาจากการบัญชาการจากคนพวกนี้

ในเมื่อบุคคลพวกนี้ยังเอ้อระเหยลอยชายอยู่ได้ โอกาสจะเกิดเหตุรุนแรงก็มีทุกเมื่อ พวกที่จับได้ก็แค่หมากเบี้ยปลายแถวธรรมดา

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม แผนป่วนคราวนี้ก็ต้องถือเป็นเดิมพันของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ด้วยเช่นกันว่าจะเอาอยู่หรือไม่ เนื่องจากเหตุวินาศกรรมกลางกรุงบริเวณสี่แยกราชประสงค์ คราวก่อนก็เกิดขึ้นหลังงานปั่นเพื่อแม่เพียงแค่หนึ่งวัน และคราวนี้ งานปั่นเพื่อพ่อ ใกล้เข้ามาแล้ว ก็ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น



จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ
นายณัฐพล ณวรรณณ์แล
กำลังโหลดความคิดเห็น